PPD's Official Website

Showing posts with label ราชวงศ์จักรี. Show all posts
Showing posts with label ราชวงศ์จักรี. Show all posts

Wednesday, July 15, 2015

สามสิบคำถาม เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ไทย สำหรับคนไทยทุกหมู่เหล่า

สามสิบคำถาม เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ไทย สำหรับคนไทยทุกหมู่เหล่า

30 คำถามจากคนไม่รักเจ้า


สามสิบคำถาม เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ไทย สำหรับคนไทยทุกหมู่เหล่า

ขอเดชะ ประชาชนไทยที่รักทุกท่าน

ผม จะเขียนบทความชิ้นนี้ ในรูปคำถามทั้งหมด เพื่อให้พี่น้องคนไทยทุกหมู่เหล่า ได้คิดตาม คำถามผม อาจจะเหมือนมีอคติอยู่บ้าง แต่มันก็เป็นโอกาสให้คนที่รักสถาบันกษัตริย์ได้คิดหาคำตอบ หาหลักฐานมาหักล้าง และอธิบายความให้สังคมไทยได้เช่นกัน

หวังว่า คำตอบ จะทำให้ท่านเดินหน้าไปอีกหลายก้าวในเชิงการเมือง เพื่อจะได้ตาสว่างกันยิ่งขึ้น
และ กลายเป็นผู้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ชาติเราต้องการในที่สุดในเวลานี้  หรือท่านอาจจะรักสถาบันกษัตริย์ และระบอบการปกครองอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ต่อไปหรืออาจจะมากขึ้นด้วย ซ้ำ.... ผมไม่ได้คิดเรียบเรียงอย่างรอบคอบนักนะครับ  ลองคิดไปด้วย และหากมีคำถามชวนคิดมากกว่านี้  ก็กรุณาช่วยกันเติมได้นะครับ เชื่อว่ามีอีกมากมาย และการได้เกิดสัมมาทิฏฐิ ไม่อยู่บนความลุ่มหลง หรือถูกผลักดันด้วยความโกรธแค้น หรือรักแบบงมงาย แล้วทำลายแบ่งแยกกันเอง แล้วให้ชนชั้นปกครองหลอกใช้

  1. ประเทศไทย เป็นของประชาชนทุกคนโดยเท่าเทียมกัน หรือเป็นของกษัตริย์คนเดียว หรือเป็นของชนชั้นสูงส่วนน้อยที่เขาอ้างว่ามีอำนาจ มีคุณธรรม และมีบุญบารมีมากกว่าประชาชนทั่วไป?
  2. กษัตริย์ภูมิพลและบรรพบุรุษ ท่านใดเคยรบข้าศึก เคยปกป้องประเทศ เคยก่อตั้งประเทศอย่างแท้จริง? ในการรบแต่ละครั้ง กษัตริย์ได้รบจริงกี่ครั้ง ในกองทัพมีครอบครัวกษัตริย์กี่คน มีลูกหลานชาวบ้านกี่คน? การอ้างว่ากษัตริย์รักษาบ้านเมือง ทำให้ชาติอยู่รอด เป็นวาทกรรมโดยใคร? เพื่ออะไร? 
  3. พฤติกรรมใดของกษัตริย์ คือพฤติกรรมที่เหมือนพ่อของท่านจริง ๆ? สิ่งใดที่ทำให้ประชาชน สมควรต้องเคารพรักและเทิดทูนไว้เหนือหัว เสมือนบิดามารดา หรือดั่งเทวดา? พฤติกรรมใดของกษัตริย์และครอบครัวที่ทำให้เราสมควรอยู่ใต้ฝุ่นที่อยู่ ใต้เท้าของพวกเขา?
  4. กษัตริย์ภูมิพลและครอบครัว แสดงอาการใดบ้าง ที่สรุปได้ชัดว่า รักประชาชน ห่วงใยประชาชน และทำประโยชน์ให้ประชาชน? ท่านมีหลักฐานใดชัดเจนที่ไมใช่แค่เขาเล่ามา?
  5. ในบรรดาพระราชกรณียกิจ และโครงการพระราชดำริที่ออกอากาศแทบทุกวัน ท่านได้รับประโยชน์โดยตรงใด ๆ บ้าง  ทำให้ชีวิตท่านดีขึ้นอย่างไรบ้าง มีหลักฐานใด? ทำไมต้องมีการนำเสนอกันแบบสม่ำเสมอ? หากให้เลือกดูข่าวสารความรู้เกี่ยวกับโลก วิชาชีพ และองค์ความรู้อันเป็นประโยชน์ต่าง ๆ ในช่วงสองทุ่มทุก ๆ วัน วันนี้ความรู้ของท่านจะก้าวไกลไปแค่ไหน?  และการโฆษณาเรื่องผลงานครอบครัวกษัตริย์ ทำขึ้นเพื่อสิ่งใด เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนจริงหรือ?
  6. กษัตริย์ภูมิพลเหาะมาจากฟ้า พร้อมกับวงศ์ตระกูลหรือไม่? ทราบได้อย่างไรว่าท่านมีบุญบารมีเหนือมนุษย์? ก่อนเป็นกษัตริย์ ฐานะท่านและครอบครัวเป็นอย่างไร? วันนี้ฐานะท่านเป็นอย่างไร?
  7. ทำไมพิธีกรรมต่าง ๆ จึงเป็นการชูกษัตริย์เป็นเทวดา ตามลัทธิพราหมณ์  ทั้ง ๆ ที่กษัตริย์เป็นผู้ที่นับถือพุทธ และต้องพระราชทาน พระบรมราชูปถัมน์ให้กับศาสนานี้? 
  8. การที่กษัตริย์ยกตัวเหนือสงฆ์ ด้วยการแต่งตั้งและให้ลาภยศแก่พระสงฆ์นั้น ส่งเสริมหรือทำลายศาสนาพุทธ ที่สอนให้ลด ละ และเลิก ความเป็นตัวตน การครอบครองสิ่งต่าง ๆ อันรวมถึงลาภ ยศ สรรเสริญ เพื่อเข้าสู่การก้าวไปสู่นิพพาน?
  9. ทำไมท่านต้องจงรักภักดีกับกษัตริย์? การจงรักภักดีนั้น ชูกันขึ้นมาเพื่อชาติ หรือเพื่อใคร? 
  10. ใคร เป็นคนสร้างความคิดว่า คนทั้งหลายต้องรัก ต้องภักดี แบบไม่ต้องคิดถึงเหตุผล เขาทำเพื่ออะไร? ท่านสมควรเชื่อตามนั้นหรือไม่? เพราะเหตุใด?
  11. กษัตริย์ ไทยร่ำรวยที่สุดในโลก ในบรรดาราชาทั่วโลก แล้วทำไมจึงทรงสอนให้ประชาชนอยู่อย่างพอเพียง? กษัตริย์ไทยทำตัวอย่างไรที่เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าอยู่อย่างพอเพียง?  การบีบหลอดยาสีฟัน เป็นภาพความจริง หรือแค่ภาพเล็ก ๆ ท่ามกลางภาพความหรูหรา เช่น เครื่องบิน รถ ปราสาท อาหารการกิน ฯลฯ ของคนในราชสำนัก?
  12. ทำไมประเทศที่กษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลก จึงมีโสเภณีเต็มทั่วทุกจังหวัด มีนักท่องเที่ยวเพื่อกิจกรรมทางเพศ เข้าประเทศไทยเพื่อเสวยสุขจากเด็กหญิง เด็กชาย และหนุ่มสาวของประเทศอย่างคับคั่ง? ท่านรวยได้อย่างไร ทำมาหากินอะไร รับเงินภาษีประชาชนไปใช้ทางตรงและทางอ้อมเท่าได้ และได้ช่วยเหลือประชาชนแค่ไหน?  ท่านมีหลักฐานในประเด็นเหล่านี้เพียงใด? ท่านได้พยายามหาเพิ่มหรือไม่?
  13. ทำไมมีการฆ่าประชาชนในประเทศไทยใน ช่วงรัชกาลที่เก้า จนมีคนตายมากมาย หลายครั้ง นับตั้งแต่ตุลาคม 251425-16, พฤษภาคม 2535, เมษายน 2552 และเมษา-พฤษภา 2553 โดยคนสั่งและคนปฏิบัติการฆ่าไม่ได้ถูกพิจารณาและลงโทษเลย แถมผู้เกี่ยวข้องจำนวนหลายคน โดยเฉพาะในกลุ่มทหารและผู้ใกล้ชิดกับวัง ต่างได้ดิบได้ดีหลังความรุนแรงแทบทุกครั้ง?
  14. ทำไมเราบอกว่า ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ซึ่งอำนาจเป็นของประชาชน แต่รัฐบาลที่ประชาชนเลือกเข้าไปหลายครั้ง ถูกทหารแย่งอำนาจแบบหน้าตาเฉย แล้วก็มีความชอบธรรม เพียงแค่กษัตริย์ลงนาม? ทำไมความผิดใด ๆ ที่หนักหน่วงขนาดถึงกับต้องโทษประหารชีวิต ก็ได้รับการพระราชทานอภัยโทษหมด?  แปลว่ากษัตริย์ร่วมกับทหารและนักการเมืองมักง่าย ปล้นอำนาจประชาชน ใช่หรือไม่ใช่? เพราะเหตุใด? ทำไมเวลามีการรัฐประหาร การทำม็อบล้มรัฐบาลฝั่งปชต. หรือเวลามีทหารหรือกองกำลังพลเรือนออกมาฆ่าประชาชนหัวก้าวหน้าหรือเอียงซ้าย จึงต้องมีการใช้สัญลักษณ์ของกษัตริย์หรืออ้างความจงรักภักดี โดยกษัตริย์เองก็ไม่ได้คัดค้านหรือห้าม?
  15. กษัตริย์อยู่เหนือการเมือง เป็นวาทกรรมที่หลอกลวง หรือเป็นจริง?  อำนาจบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ต้องผ่านด้วยลายเซ็นต์ของกษัตริย์ทุกครั้ง ใช่หรือไม่?
  16. ทำไมทหาร ที่อยู่ใกล้ชิดกับสถาบันกษัตริย์ คือกษัตริย์และพระราชินี จึงออกมามีส่วนในกิจกรรมการเมือง จนทำให้มีการยิงหัวประชาชนมือเปล่านับร้อยคน  และกษัตริย์ไม่ได้แสดงความเสียพระทัยหรือให้ข้อคิด เตือนสติ หรือห้ามปรามใด ๆ เลย?  นี่ใช่ครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ไทยหรือไม่ใช่? ทำไมจึงไม่มีการลงสัตยาบันรับอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ? ทำไมจึงมีการปิดปากประชาชนไม่ให้วิพากษ์วิจารณ์กษัตริย์และสถาบันด้วยมาตรา 112?
  17. กษัตริย์ภูมิพล ถือศีลห้า ครบหรือไม่?  ท่านทราบได้อย่างไร? 
  18. ใน ทศพิธราชธรรม สิบข้อนั้น มีสิ่งใดบ้าง ท่านทราบหรือไม่ว่าเหตุใดคนถึงอ้างว่ากษัตริย์ไทยเป็นธรรมราชา?  ประเทศที่มีธรรมราชา ควรมีคุณลักษณะอย่างประเทศไทยหรือ?
  19. เอาล่ะ ช่วยทบทวนความจำให้นะครับ ทศพิธราชธรรมประกอบด้วย ๑. ทาน l ๒. ศีล l ๓. บริจาค l ๔. ความซื่อตรง l ๕. ความอ่อนโยน l ๖. ความเพียร ๗. ความไม่โกรธ l ๘. ความไม่เบียดเบียน l ๙. ความอดทน l ๑๐. ความเที่ยงธรรม   ท่านคิดว่า กษัตริย์ภูมิพล ถือครบสิบข้อนี้หรือไม่ ดีเพียงใด? ทราบได้อย่างไร? ครอบครัวของท่านปฏิบัติศีลและธรรมเหนือกว่ามนุษย์ธรรมดาจริงหรือ? ท่านมีหลักฐานเต็มหูเต็มตาหรือไม่?
  20. มีคนกล่าวว่า รัฐธรรมนูญการปกครองประเทศไทย มีพัฒนาการเชิงเป็นประชาธิปไตยน้อยลง หรือหมกเม็ดเพื่อริดรอนเสรีภาพ และความเสมอภาค แล้วก็สร้างความแตกแยกรุนแรงในชาติไทยเพิ่มยิ่งขึ้นในระยะหลังนี้ เพราะอะไร?  บางคนบอกว่า เพราะประชาชนรู้ความจริง และความกลัวก็ทำให้คนสำคัญ ๆ ของชาติต้องออกมาใช้อำนาจเผด็จการ ผ่านการสุมหัวกันของรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร ทหาร ศาลที่คณะรัฐประหารตั้ง สื่อที่เอียงขวาและอิงกับพ่อค้าและผู้ดีที่ได้ประโยชน์จากการทำธุรกิจเคียง ข้างหรือได้ผลประโยชน์ร่วมกับเจ้า ถึงกับต้องสั่งฆ่าประชาชน   ท่านเห็นด้วยหรือไม่? เพราะอะไร?
  21. เกิดมาชาตินี้ ท่านเคยเจอกษัตริย์ตัวเป็น ๆ กี่ครั้ง?  พระองค์และครอบครัวได้ทำอะไรที่ให้ประโยชน์กับท่านหรือครอบครัว หรือคนในชุมชนท่านบ้าง? คิดเป็นเงินได้กี่บาท? คิดเป็นความเจริญได้กี่กิโลกรัม?
  22. การมีกษัตริย์อยู่ ให้คุณประโยชน์อะไรแก่ประเทศชาติ ที่จับต้องได้ อยู่บนหลักเหตุผลมากกว่าอารมณ์ และมีหลักฐานชัดเจนที่ท่านเห็นและรับรู้กับหู กับตา?
  23. หากสถาบัน กษัตริย์หมดไปจากสังคมไทย หรือไม่มีอำนาจใด ๆ ให้ใครไปอ้างใช้ได้อีก จะมีอะไรเกิดขึ้นที่เป็นผลร้ายที่แก้ไขไม่ได้?  คนไทยขาดกษัตริย์ไม่ได้จริง ๆ หรือ? ให้คิดทั้งทางการปกครอง การเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การศึกษา และแม้แต่วิถีชีวิตประจำวันของท่าน และระบบราชการในบ้านในเมืองระดับต่าง ๆ?
  24. หากกษัตริย์หมดไป หรืออำนาจกษัตริย์หมดไป ประเทศไทยจะได้อะไรเพิ่มขึ้นบ้าง?  ใครจะได้ประโยชน์สูงสุด? ใครจะเสียประโยชน์สูงสุด? 
  25. ที่ บอกว่ากษัตริย์ไทยทรงพระปรีชาสามารถด้านดนตรี กีฬา เรื่องน้ำ เรื่องเขื่อนฝายกั้นน้ำ เรื่องการพัฒนา เรื่องเทคโนโลยี ฯลฯ  ท่านเห็นด้วยหรือไม่? มีหลักฐานและการตรวจสอบใด ๆ หรือไม่? ท่านทราบได้อย่างไร? ทำไมกษัตริย์และราชวงศ์จึงไม่ได้เรียนจบอะไรมากมาย? ทำไมกษัตริย์ภูมิพลและพระราชินีจึงไม่จบปริญญาตรี และลูก ๆ ไม่มีใครเรียนจบปริญญาเอกเหมือนลูกชาวบ้านสักคน?  
  26. ทำไมคนบางกลุ่ม ถึงอ้างว่าเขาจงรักภักดีกษัตริย์นักหนาและมากกว่าคนอื่น เขารู้ได้อย่างไร เรารู้ได้อย่างไร   และพวกเหล่านั้น ได้ประโยชน์มากกว่าพวกเราหรือไม่ อย่างไร?  
  27. ท่านทราบไหมว่ากษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลกของพระราชา เสียภาษีเท่าไหร่  เอาเงินภาษีประชาชนเข้าไปใช้ปีละเท่าไหร่  และเงินบริจาคแต่ละปีเป็นเงินเท่าไหร่ กษัตริย์และราชวงศ์บริจาคเงินและทรัพย์สินในยามชาวบ้านเดือดร้อนเท่าไหร่?  พฤติกรรมของพ่อของแผ่นดิน สรุปได้จากความรักความใสใจตรงนี้ ได้มากน้อยแค่ไหน?
  28. กษัตริย์ไทยดีจริงแค่ไหน  ทำไมต้องมีการบังคับให้ยืนเคารพในโรงหนัง ทำไมต้องมีซุ้มเต็มบ้านเมือง ทำไมต้องจัดงานต่าง ๆ อย่างยิ่งใหญ่เพื่อเชิดชู ทำไมต้องแสดงภาพการมีคนบริจาคเงินแทบทุกวัน และทำไมจึงต้องห้ามประชาชนวิพากษ์วิจารณ์ หรือละเมิดไม่ได้เลย?
  29. ความ ดีของกษัตริย์ภูมิพล วัดได้จากตรงไหน? ท่านมีเหตุผลและหลักฐานใดบ้าง? คนดี ของระบอบการปกครองปัจจุบัน ทำไมต้องจงรักภักดีและมียศตำแหน่งใกล้ชิดและรับใช้วังด้วย?  
  30. เมื่อ มีกษัตริย์ ก็มีชนชั้น และการแบ่งชนชั้น  ทำให้คนเหยียดหยามคนที่ตนมองว่าต่ำกว่า  ซึ่งไม่ใช่สิ่งดี  หากไม่มีกษัตริย์ ปัญหาใด ๆ ของชาติจะลดหรือหายไปได้ง่ายหรือเร็วขึ้น? เสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ (ความเป็นพี่น้องและกลมเกลียว) ถูกส่งเสริมหรือบั่นทอนโดยสถาบันกษัตริย์ไทย??? กษัตริย์ไทยส่งเสริมประชาธิปไตยหรือบ่อนทำลาย? ท่านมีเรื่องราวและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ใดสนับสนุนคำตอบของท่าน 

Thursday, May 28, 2015

"ภูมิพล เป็นคนยิง ร. 8"

ภูมิพล เป็นคนยิง ร. 8




ภูมิพล เป็นคนยิง ร. 8



Andrew MacGregor Marshall
เรียบเรียงจากเรื่อง ความลับอันสุดเศร้าของประเทศไทย  http://www.zenjournalist.org  

ของ Andrew MacGregor Marshall ผู้เขียน Thailand : A Kingdom in Crisis
ช่วงเช้าของวันที่ 9 มิถุนายน  2489

ในหลวงอานันทมหิดล รัชกาลที่ 
8 ของประเทศสยามที่มีพระชนมายุ 21 พรรษา ได้ถูกยิงที่ศีรษะและเสด็จสวรรคตอยู่ในห้องบรรทมของพระองค์ในพระที่นั่งบรมพิมาน ภายในพระบรมมหาราชวังในกรุงเทพฯ ตอนเย็นของวันนั้น เจ้าฟ้าชายภูมิพลอดุลยเดชซึ่งเป็นพระอนุชาของพระองค์พระชนมายุ 19 พรรษา ได้รับการสถาปนาให้เป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 9 ได้ครองราชสมบัติตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ขณะนี้พระองค์ทรงชราภาพและเจ็บป่วยบ่อยครั้ง ทรงเก็บพระองค์เองอยู่ในโรงพยาบาลศิริราช แต่พระองค์ก็ยังคงดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์ของประเทศไทยต่อไปอย่างไม่มีกำหนด
โดยทางการแล้ว คดีฆาตกรรมเรื่องนี้ได้ถูกพรรณาไว้ว่าเป็นเรื่องลึกลับ เป็นปริศนาทางอาชญากรรมที่ผิดวิสัยที่สุดเรื่องหนึ่งของโลก ซึ่งไม่สามารถเฉลยข้อเท็จจริงออกมาได้ในศตวรรษที่ผ่านมา แต่ในความจริงแล้ว มันชัดเจนมาเป็นเวลานานแล้วว่าใครเป็นผู้ปลงพระชนม์รัชกาลที่ 8  ความจริงได้ถูกปกปิดโดยระบอบเครือข่ายนิยมกษัตริย์ของประเทศไทย ซึ่งส่วนหนึ่งจากการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอันแสนเข้มงวด นั่นคือ กฎหมายอาญามาตรา 112  ซึ่งได้ถูกนำมาใช้เพื่อจัดการบุคคลต่างๆให้กลายเป็นอาชญากร เมื่อมีการสนทนาพูดคุยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และการเมืองของประเทศไทยอย่างเปิดเผยและโดยสุจริตใจ


หลังจากที่ในหลวงอานันท์ได้เสด็จสวรรคตไปเพียงไม่กี่นาที สถานที่เกิดเหตุได้ถูกจัดเปลี่ยนอย่างจงใจเพื่อปกปิดหลักฐานต่างๆว่า สิ่งที่เกิดขึ้นแท้จริงแล้วคืออะไร บุคคลที่อยู่ในพระที่นั่งบรมพิมานในตอนเช้าของวันนัั้น ไม่เคยเปิดเผยความจริงต่อหน้าสาธารณะว่าได้เกิดอะไรขึ้น และบุคคลคนเดียวในขณะนั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน คือ ตัวกษัตริย์ภูมิพลนั่นเอง ดูเหมือนว่าพระองค์ไม่เคยเปิดเผยเลยว่าอะไรได้เกิดขึ้น และคงจะนำความลับนี้ลงสู่หลุมฝังศพไปพร้อมๆ กับตัวพระองค์เอง ถึงแม้ว่าจะมีการทำลายหลักฐานต่างๆ และข้อเท็จจริงตามที่บุคคลที่เกี่ยวข้องได้โกหกว่าอะไรเกิดขึ้นในกรณีสวรรคต  แต่จุดสำคัญประการแรกคือ ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะมีผู้ลอบสังหารที่ไม่มีใครรู้จัก สามารถหลบหลีกเข้าไปในพระบรมมหาราชวังในตอนเช้าของวันนั้นได้ การนำเอาปืนสั้น โคลท์ .45 อัตโนมัติออกมาจากตู้ที่อยู่ข้างเตียงนอนของพระองค์ ยิงพระองค์ตรงกลางศีรษะด้วยปืนกระบอกนั้น แล้วหลบหนีไปได้โดยที่ไม่มีใครเห็นเลย คนที่เป็นฆาตกรจะต้องเป็นใครคนใดคนหนึ่งที่อยู่พักอาศัยในพระที่นั่งบรมพิมานเท่านััน

วิถีกระสุนเฉียงลงล่างซ้าย
แต่ทันทีหลังจากที่ในหลวงอานันท์สวรรคตไปแล้ว กลับมีการกระจายข่าวออกไปอย่างกว้างขวางว่า พระองค์ทรงกระทำอัตวินิบาตกรรมคือฆ่าตัวตายเอง พระชนนีศรีสังวาลย์ ได้ขอร้องกับนายกรัฐมนตรีปรีดี พนมยงค์ ให้ประกาศว่า การสวรรคตเป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากตัวในหลวงอานันท์เอง นายปรีดีและรัฐบาลก็ยินยอมทำตามคำขอร้องนั้น แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ในหลวงอานันท์จะยิงพระองค์เองด้วยความผิดพลาดหรืออุบัติเหตุทำปืนลั่น ในขณะที่ปืนกระบอกนี้จี้อยู่ตรงหน้าผากของพระองค์ขณะที่นอนหงาย และจากวิถีกระสุนที่วิ่งจากหน้าผากผ่านกระโหลกศีรษะทะลุท้ายทอยของในหลวงอานันท์ ขณะฝ่ายนิยมระบอบเจ้าหลายคนที่เป็นนักการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช เป็นผู้เริ่มการปล่อยข่าวว่า นายปรีดี พนมยงค์เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในการปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์ นำการสวรรคตมาแสวงหาผลประโยชน์เพื่อต้องการฟื้นระบอบเจ้าแบบเก่า เพื่อเปลี่ยนประเทศไทยให้คืนกลับสู่อดีต

อุปทูตสหรัฐ Charle Woodruff Yost
2450-2524
วันที่ 
13 มิถุนายน2489 อุปทูตชาร์ล ดับเบิ้ลยู โยสท์ (Charge d’affaires Charles W. Yost )ส่งโทรเลขลับไปถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในกรุงวอชิงตัน เล่าถึงการสนทนากับนายดิเรก ชัยนาม ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่เพิ่งเข้าเฝ้าฯ กษัตริย์ภูมิพลที่ได้กล่าวยืนยันกับนายดิเรกว่า ข่าวลือต่างๆ ที่ว่านายปรีดีวางแผนปลงsพระชนม์หรือนายหลวงปลงพระชนม์พระองค์เอง เป็นเรื่องที่ไร้สาระ และพระองค์มีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า การสวรรคตของในหลวงอานันท์เป็นเรื่องอุบัติเหตุ…… ขณะที่มรว.เสนีย์ ปราโมชส่งหลานและภรรยาของตนไปที่สถานทูตของสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ กล่าวหาว่า นายกรัฐมนตรีปรีดีเป็นผู้วางแผนทำการปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์

ดิเรก ชัยนาม 2447-2510
นายปรีดีและรัฐบาลของเขาได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อทำหน้าที่ค้นหาความจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต ในวันที่
18 มิถุนายน 2489ประกอบด้วย ประธานศาลทั้งสามศาล พระบรมวงศานุวงศ์ ผู้บัญชาการทหารสามเหล่าทัพ ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภา และอนุกรรมการทางการแพทย์จากหลายฝ่าย
ขณะที่ฝ่ายนิยมระบอบเจ้าได้ปล่อยข่าวว่า กษัตริย์ภูมิพลก็กำลังตกอยู่ในอันตรายด้วย และขอการสนับสนุนจากทูตสหรัฐและอังกฤษ เพื่อการทำรัฐประหารรัฐบาลของนายปรีดี โดยอ้างว่าเพื่อปกป้องพระราชวงศ์ ขณะที่รายงานจากคณะแพทย์เมื่อวันที่
27 มิถุนายน 2489 ลงความเห็นว่ามีคนยิงรัชกาลที่ 8 




Sir Geoffrey Stuart Thompson
2448-2526
โทรเลขลับจากเอกอัครราชทูตอังกฤษเซอร์เจฟฟรี่ย์ ทอมพ์สัน บันทึกการเปิดเผยของนายดิเรก ชัยนาม ว่าทางวังสั่งให้ปกปิดรายงานของคณะแพทย์เป็นความลับห้ามเผยแพร่เด็ดขาด
ความพยายามของรัฐบาลนายปรีดี ที่พยายามชี้ว่าเป็นเรื่องอุบัติเหตุนับเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงของรัฐบาลเอง แม้ว่านายกปรีดีมีเจตนาจะรักษาศักดิ์ศรีของสถาบันกษัตริย์ ดังนั้นรัฐบาลนายปรีดีจำเป็นต้องดำเนินการสอบสวนเพื่อค้นหาข้อเท็จจริงที่จะแสดงความบริสุทธิ์ใจของตน โดยไม่ต้องไปหวั่นเกรงเรื่องใดๆอีกต่อไปโดยอาจมีการเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ ถ้าจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนตัวกษัตริย์ เพราะได้เห็นพิรุธชัดเจนว่าฝ่ายราชวังได้รีบทำความสะอาดเพื่อลบร่องรอยพยานหลักฐานก่อนที่จะยอมให้ใครเข้าไปในห้องพระบรรทมที่เกิดเหตุ ส่วนปืนก็ได้ถูกนำมาวางไว้ข้างๆ และมีการจัดฉากสร้างกระแสให้เกิดความสะเทือนใจ และโกรธแค้น เพื่อโหมโจมตีนายกรัฐมนตรีปรีดีอย่างขนานใหญ่หลายระลอก  
  
ส่วนกษัตริย์ภูมิพลแสดงอาการรู้สึกหดหู่อย่างเห็นได้ชัดต่อการสวรรคตของพระเชษฐา กษัตริย์ภูมิพลดูเหมือนป่วยและซึมเศร้าตลอดเวลาไม่อยากพูดจา และเสด็จไปประทับยังเมืองโลว์ซานน์พร้อมพระชนนี เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2489 เพื่อศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยโลว์ซานน์ ถึงแม้ว่าการไว้ทุกข์ยังไม่ครบ100 วัน แต่พระองค์ยังคงมีอาการซึมเศร้าเสมอ นานๆครั้งจึงจะเข้าไปเรียนในห้องเรียน และไม่เคยเรียนจบปริญญาใดๆเลย ในปลายปี  2489 พระองค์ส่งข้อความว่า จะไม่เสด็จกลับกรุงเทพเพื่อร่วมงานพระราชพิธีพระบรมศพของในหลวงอานันท์ ดูเหมือนว่าพระองค์มีพระประสงค์จะประทับอยู่ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์อีกเป็นเวลาสองถึงสามปี เพื่อที่จะได้สำเร็จการศึกษาของพระองค์ โดยไม่มีแนวโน้มเลยว่า จะสามารถไขปริศนาเบื้องหน้าเบื้องหลังให้กระจ่างแจ้งออกมาได้


มีแต่ภูมิพล ที่เป็นคนยิงรัชกาลที่ 8

ในขณะที่การสืบสวนกรณีสวรรคตได้เริ่มเข้มข้นขึ้นถึงจุดที่พุ่งเป้าไปยังกษัตริย์ภูมิพลว่าเป็นผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นผู้ปลงพระชนม์รัชกาลที่ และต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ รัฐบาลกลัวว่าจะมีผลกระทบที่สั่นคลอนต่อเสถียรภาพในการเปิดเผยเรื่องราวนี้ออกมา และไม่ต้องการให้กษัตริย์ภูมิพลสละราชสมบัติ 

จุมภฏพงษ์และมรว.พันธุ์ทิพย์
ขณะที่พวกเจ้าบางฝ่ายได้จัดเตรียมให้พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตรขึ้นมาดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์แทน รัฐบาลนายปรีดีได้ตัดสินใจเก็บข้อมูลในส่วนที่เกี่ยวโยงถึงกษัตริย์ภูมิพลไว้เป็นความลับและทำการควบคุมการเสนอข่าวสารมิให้โยงใยไปถึงตัวกษัตริย์ภูมิพล ดังนั้น พวกนิยมระบอบเจ้าจึงต้องรีบทำการโค่นล้มรัฐบาลของนายปรีดี พนมยงค์เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 โดยร่วมมือกับกลุ่มคณะทหารของจอมพล ป  พิบูลสงคราม ใช้การโหมโฆษณาชวนเชื่อที่ว่า นายปรีดี พยายามปกปิดซุกซ่อนหลักฐานสำคัญเกี่ยวกับกรณีสวรรคต เพื่อสร้างความชอบธรรมให้การยึดอำนาจของพวกเขา นายปรีดี พนมยงค์ได้หลบหนีออกนอกประเทศเพื่อความปลอดภัยในชีวิตของตนเอง แล้วทำการกล่าวหาจับกุมมหาดเล็กสองคนคือ นายบุศย์ ปัทมศริน และ นายชิต สิงหเสนีพร้อมกันกับนายเฉลียว ปทุมรส อดีตราชเลขาธิการ  รัฐบาลนายควงที่มาจากการรัฐประหารได้กล่าวหาว่า พวกเขาร่วมกันวางแผนเรื่องลัทธิคอมมิวนิสต์ โดยมีนายปรีดีเป็นต้นคิดในการปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์ แต่พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร ซึ่งเป็นรัชทายาทของการสืบราชสมบัติ ได้แจ้งกับเอกอัครราชทูตอังกฤษ เจฟฟรี่ย์ ทอมพ์สันว่ารัฐบุรุษอาวุโสไม่เคยมีส่วนรู้เห็นแต่ประการใดในเรื่องการเสด็จสวรรคตของรัชกาลที่ 8และที่สำคัญคือกรณีสวรรคตน่าจะเกิดจากที่พระอนุชาภูมิพลทำปืนลั่นโดยอุบัติเหตุ จึงต้องปกปิดเป็นความลับต่อไปอีกนานรวมทั้งการที่รัฐบาลต้องหาทางแก้ตัวให้กษัตริย์ภูมิพล รัฐบาลนายปรีดีต้องพยายามปกปิดข้อเท็จจริงแต่มันกลายเป็นว่าทำคุณบูชาโทษ โปรดสัตว์กลับได้บาป

หลวงธำรงค์นาวาสวัสดิ์ ( 2444-2531)
ในเดือนกุมภาพันธ์  2491 พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกรัฐประหารในเดือนพฤศจิกายน2490 จากเดือนสิงหาคม2489 จนถึงวันที่เขาถูกปลดออกจากตำแหน่งจาก หลวงธำรงค์ได้กล่าวต่อเอกอัครราชทูตทอมพ์สันของอังกฤษอย่างหนักแน่นว่า กษัตริย์อานันทมหิดลได้ถูกยิงสวรรคตโดยกษัตริย์ภูมิพล โดยที่รัฐบาลของเขาไม่สามารถเปิดเผยข่าวนี้ได้ การสอบสวนที่ดำเนินการในขณะที่เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่นั้น ได้ตัดเรื่องอัตวินิบาตกรรมหรือฆ่าตัวตายออกไป แต่สาธารณชนไม่ควรรับทราบสิ่งต่างๆ ที่เจ้าหน้าที่สอบสวนได้ค้นพบ เนื่องจากเหตุผลของความจงรักภักดีต่อพระราชวงศ์จักรี นายกรัฐมนตรีหลวงธำรงได้มีคำสั่งห้ามทุกคนเปิดเผยข้อเท็จจริงตามสำนวนการสอบสวนโดยเด็ดขาด

Edwin F. Stanton
ในเดือนถัดมา หลวงธำรงค์ฯ ได้กล่าวอย่างชัดเจนยิ่งกว่าทุกๆ ครั้ง กับนายเอ๊ดวิน สแตนตั้น (Ambassador Edwin Stanton ) เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ในการดื่มน้ำชาร่วมกันเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2491 ที่สถานทูตสหรัฐ ว่ากรณีสวรรคตอันเศร้าสลดคงจะต้องเป็นความลับสุดยอดของประเทศไปแล้ว แม้ว่าหลักฐานต่างๆที่มีการรวบรวมกันในขณะที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่นั้น มีแนวโน้มที่จะพัวพันเชื่อมโยงมุ่งไปที่กษัตริย์ภูมิพลองค์ หลวงธำรงค์และนายปรีดีเองต่างก็อยู่ในสถานการณ์น้ำท่วมปากแบบเดียวกัน เพราะถ้ามีการเปิดเผยว่ากษัตริย์ภูมิพลเป็นผู้เกี่ยวข้องกรณีสวรรคตอย่างแท้จริง เชื่อว่ากษัตริย์ภูมิพลคงจะต้องสละราชสมบัติ และคงเกิดเรื่องสับสนอลหม่านติดตามมา พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิตจะเป็นรัชทายาทผู้สืบราชสมบัติองค์ต่อไป แต่พระองค์เจ้าจุมภฏฯ และพระชายาไม่ได้รับความนิยม รัชทายาทองค์ต่อมาจากพระองค์เจ้าจุมภฏคือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ก็ไม่ได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน ขณะที่อำนาจของสถาบันกษัตริย์ยังคงฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทย


ควง อภัยวงศ์ ( 2445 - 2511 )
ในเวลานั้น ได้เกิดความตื่นตระหนกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในเรื่องที่กษัตริย์ภูมิพลปฏิเสธที่จะเสด็จกลับจากเมืองโลว์ซานน์ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ และความกังวลใจเรื่องที่กษัตริย์ภูมิพลมีส่วนรู้เห็นในกรณีสวรรคต ซึ่งจะสั่นสะเทือนสถานภาพของพระองค์  ผู้นำของกลุ่มนิยมระบอบกษัตริย์รวมทั้งนายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ 
มรว.เสนีย์ ปราโมช ( 2448 -2540 )

และพี่น้องตระกูลปราโมชคือ หม่อมราชวงศ์ เสนีย์ และ หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ได้ร่วมกันวางแผนเตรียมการประกาศว่า กษัตริย์ภูมิพลได้ทำการปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์ โดยพวกเขาหวังว่าจะเป็นการบังคับให้กษัตริย์ภูมิพลสละราชสมบัติเพื่อเปิดทางให้กับพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตรขึ้นเป็นกษัตริย์แทน 
Kenneth Landon ( 2446- 2536)
นายเคนเนท แลนดอน ( Kenneth Landon ) ผู้ช่วยหัวหน้าสำนักงานฝ่ายเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้ส่งโทรเลขถึงกรุงวอชิงตัน เมื่อวันที่20 กุมภาพันธ์ 2491มีข้อความว่า...รายงานล่าสุดจากแหล่งข่าวหลายแห่ง ซึ่งมีส่วนเชื่อมโยงกับการลอบปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์ ส่งผลให้ นายควง เตรียมที่จะแถลงการณ์ว่า กษัตริย์ภูมิพลปลงพระชนม์พระเชษฐาของพระองค์โดยอุบัติเหตุ ซึ่งกษัตริย์ภูมิพลจะสละราชสมบัติ  ต่อจากนั้นพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร จะได้รับการสถาปนาให้เป็นพระมหากษัตริย์องค์ต่อไป เนื่องจากพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตรเป็นคนที่มีวุฒิภาวะสูง รวมทั้งมีความมั่งคั่งอย่างมากด้วย พร้อมทั้งมีประสบการณ์อย่างยาวนานด้านการเมืองภายในวัง  แต่จอมพล ป พิบูลสงคราม ยืนกรานคัดค้านข้อเสนอของนายควงที่จะให้พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตรได้รับการสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์องค์ต่อไป แม้ว่ากษัตริย์ภูมิพลจะปลงพระชนม์พระเชษฐาของพระองค์ด้วยความตั้งใจหรือเป็นอุบัติเหตุก็ตาม จอมพลป.และนายปรีดีเป็นคู่ปรปักษ์หรือศัตรูทางการเมืองซึ่งสังกัดอยู่ในพรรคการเมืองเดียวกัน แม้ว่าเขาทั้งสองเห็นพ้องต้องกันในการต่อต้านไม่ให้สถาบันกษัตริย์กลับคืนสู่อำนาจอีก แต่พวกเขาไม่ได้ต่อต้านกษัตริย์ภูมิพลเพราะว่าพระองค์ยังไม่ได้เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวและไม่มีบริวารห้อมล้อม จอมพล ป ซึ่งเป็นนายทหารผู้มีอิทธิพลมากของกองทัพ ได้รีบทำรัฐประหารล้มรัฐบาลของนายควง ในเดือนเมษายน  2491  เพราะจอมพล ป. ต้องการให้กษัตริย์ภูมิพลครองราชบัลลังก์ต่อไป โดยจะใช้พยานหลักฐานในคดีสวรรคตมาต่อรองผลประโยชน์กับกษัตริย์ภูมิพลได้ในภายหลัง

เฉลียว บุศย์ และชิต ในศาล
การพิจารณาคดีการเสด็จสวรรคตของในหลวงอานันท์ได้เริ่มขึ้น ในตอนบ่ายของวันพุธที่ 
28กันยายน 2491 โดยมีมหาดเล็กสองคนคือ นายบุศย์ ปัทมศริน และ นายชิต สิงหเสนี รวมทั้งนายเฉลียว ปทุมรส ซึ่งเป็นอดีตราชเลขาธิการ  ถูกกล่าวหาว่า สมคบกันทำการปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์ การพิจารณาคดีและการอุทธรณ์ได้ถูกดึงให้ยืดเยื้อเป็นเวลามากกว่า 6 ปี
ในท้ายที่สุด กษัตริย์ภูมิพลได้เสด็จกลับมาสู่ประเทศไทยอย่างเมื่อเดือนมีนาคม  
2493 เพื่อร่วมพระราชพิธีพระบรมศพฯพระเชษฐาของพระองค์ และเข้าพิธีบรมราชาภิเษกอย่างเป็นทางการ รวมทั้งพิธีราชาภิเษกสมรสกับ มรว.หญิงสิริกิติ์ กิติยากร  แล้วพระองค์ก็เสด็จออกจากประเทศไทยเมื่อวันที่ 6มิถุนายน 2493 ซึ่งเป็นเวลาเพียงสองสามวัน ก่อนที่จะครบรอบการเสด็จสวรรคตของพระเชษฐา  ต่อมาพระองค์จึงได้เสด็จกลับสู่ประเทศไทยเพื่อปฏิบัติหน้าที่พระมหากษัตริย์เมื่อปลายปี  2494  กษัตริย์ภูมิพลทรงทราบดีว่า นายบุศย์ ปัทมศรินนายชิต สิงหเสนี และนายเฉลียว ปทุมรส ไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆ เกี่ยวกับการปลงพระชนม์ของพระเชษฐาของพระองค์ แต่พระองค์ก็ไม่กระทำการใดๆ เพื่อช่วยชีวิตของพวกเขา  บุคคลทั้งสามได้ถูกประหารชีวิตในเดือนกุมภาพันธ์ 2498 ด้วยข้อหาอาชญากรรมที่พวกเขาไม่ได้เป็นผู้ลงมือกระทำแต่อย่างใด


กษัตริย์ภูมิพลได้เปลี่ยนคำให้การของพระองค์เองหลายครั้ง ทั้งๆที่กษัตริย์ภูมิพลเคยยืนยันอย่างแข็งขันไม่กี่วันหลังจากที่พระเชษฐาสวรรคตว่ามันเป็นอุบัติเหตุ แต่พระองค์กลับยกเลิกคำให้การเหล่านั้นในการพิจารณาคดีครั้งต่อมา โดยพระองค์หันไปเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยหลายเรื่อง ที่เป็นการทำลายความน่าเชื่อถือคือให้ร้ายนายเฉลียว ปทุมรส  กษัตริย์ภูมิพลได้พระราชทานสัมภาษณ์แก่สถานีโทรทัศน์ บีบีซี ซึ่งออกอากาศเมื่อปี 2523 โดยแก้ตัวว่า การคดีสวรรคตเป็นเรื่องที่ลึกลับซับซ้อน จากการอำพรางคดีโดยบุคคลหลายคนที่มีอำนาจมากทั้งในและต่างประเทศที่ไม่ทราบว่าเป็นใครบ้าง 


William Stevenson กับภูมิพล
ระหว่างปีทศวรรษ 2530 กษัตริย์ภูมิพลยังได้ให้นายวิลเลียม สตีเวนสัน ( William Stevenson นักเขียนชาวแคนาดา เขียนชีวประวัติกึ่งทางการโดยกษัตริย์ภูมิพลแต่งเรื่องว่านายมาซาโนบุ ซูจิ (Masanobu Tsuji )นายทหารที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่นได้ลักลอบเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง โดยปลอมตัวเป็นพระภิกษุ 
Masanobu Tsuji ( 2444-2504 )
ทั้งๆที่นายมาซาโนบุ ซุจิ ผู้นี้ไม่ได้อยู่ใกล้กรุงเทพเลย ในขณะที่ในหลวงอานันท์ถูกปลงพระชนม์ การเปลี่ยนเรื่องราวครั้งแล้วครั้งเล่าไปเรื่อยๆของกษัตริย์ภูมิพลเอง แสดงให้เห็นพิรุธว่า กษัตริย์ภูมิพลพยายามปกปิดสิ่งที่เกิดขึ้นจริงเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน  2489  โดยที่กษัตริย์ภูมิพลไม่เคยให้คำอธิบายที่น่าเชื่้อถือเกี่ยวกับกรณีสวรรคตเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่เป็นเรื่องที่น่าแปลกเกี่ยวที่ภายในวงการระดับสูงของประเทศไทย กลับรับรู้กันมาตลอดว่า กษัตริย์ภูมิพลเองที่เป็นผู้ปลงพระชนม์พระเชษฐาของพระองค์ ซึ่งอาจจะเป็นอุบัติเหตุ 

บันทึกของนางมากาเร็ต แลนดอน
(
Margaret Landon) 



Margaret และ Kenneth Landon
นางมากาเร็ต แลนดอนเป็นภรรยาของนายเคนเนท แลนดอน (Kenneth Landon )นักการทูตสหรัฐอเมริกาเมื่อปี  2514 ได้เขียนบันทึกด้วยลายมือเกี่ยวกับกรณีสวรรคตเก็บไว้ที่หอสมุดวิทยาลัยวีตั้น (Wheaton College ) สหรัฐอเมริกา  อ้างการสนทนากับนางลิเดีย ณ ระนอง ( Lydia Na Ranong ) ซึ่งเป็นผู้หญิงที่เกิดในตระกูลผู้ดีของจีนและเป็นคนสนิทของกลุ่มพระบรมวงศานุวงศ์ระดับสูงในกรุงเทพฯที่ได้เล่าเรื่องราวที่ได้ยินมาจากแวดวงของพระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ว่า มหาดเล็กทั้งสองคน คือ นายบุศย์ ปัทมศริน และ นายชิต สิงหเสนี ได้รู้เห็นต่อการปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์

โดยที่อดีตราชเลขาธิการ คือ นายเฉลียว ปทุมรส มีความสัมพันธ์เป็นชู้สาวกับนางสังวาลย์ และอยู่ในห้องบรรทมของพระนางในขณะที่ในหลวงอานันท์ถูกยิงสวรรคต โดยพระนางสังวาลย์ ซึ่งเป็นพระชนนีมาจากตระกูลสามัญชนและไม่เคยได้รับความชื่นชอบ จากกลุ่มพระบรมวงศานุวงศ์ส่วนใหญ่เลย  


วไลยอลงกรณ์ สว่างวัฒนาและมหิดล
พระนางเจ้าสว่างวัฒนาส่งเจ้าฟ้ามหิดลไปเรียนที่อเมริกา ได้ส่งเด็กสาวให้เป็นผู้ติดตามไปด้วยสองคนไปเรียนให้ดูเหมือนว่าไปเรียนด้วยกัน แต่ที่จริงแล้วก็ส่งไปเป็นเมียน้อยเพื่อประกบเจ้าฟ้ามหิดล เพราะพระนางสว่างวัฒนากลัวว่าเจ้าฟ้ามหิดลจะไปได้ผู้หญิงต่างชาติเป็นเมีย  
เจ้าฟ้ามหิดลกับนส.สังวาลย์
แต่เจ้าฟ้ามหิดลได้ตกหลุมรักกับนางสาวสังวาลย์และตัดสินพระทัยที่จะอภิเษกสมรสกับเธอ ซึ่งได้สร้างความตกตะลึงในหมู่พระบรมวงศานุวงศ์เป็นอย่างมาก โดยมีแนวโน้มว่าพระนางเจ้าสว่างวัฒนาและรัชกาลที่ คงยังคงปฎิเสธที่จะจัดพระราชพิธีอภิเษกสมรส แต่เจ้าฟ้ามหิดลเองได้วางแผนให้เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เป็นผู้ประกอบพิธีอภิเษกสมรสให้จนสำเร็จ แต่พระบรมวงศานุวงศ์ก็ยังแสดงความเกลียดชังต่อนางสังวาลย์ตลอดมา

ในตอนเช้าของวันที่ 
9 มิถุนายน 2489 ในหลวงอนันท์อานันท์ยังประชวรอยู่ โดยบรรทมอยู่บนเตียงพร้อมกับหยิบปืนขึ้นมาเล่น เจ้าฟ้าชายภูมิพลเสด็จเข้ามาข้างในห้องบรรทม ในหลวงอานันท์จับปืนขึ้นจ่อมาที่พระเศียรของเจ้าฟ้าภูมิพลและกล่าวว่า  ฉันสามารถฆ่าเธอได้  แต่เจ้าฟ้าภูมิพลก็แย่งปืนมาและยกปืนจ่อที่พระเศียรของในหลวงอานันท์ แล้วกล่าวว่า“ ฉันก็ฆ่าเธอได้เช่นกัน   ในหลวงอานันท์ ร้องว่า เหนี่ยวไกเลย  เหนี่ยวไกเลย 

พระอนุชาขึ้นเป็นกษัตริย์ภูมิพลหลังยิงพระเชษฐา
เจ้าฟ้าภูมิพลก็ทำตามนั้นและก็ได้สังหารหรือปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์จริงๆ นางลิเดียเชื่อว่า การปลงพระชนม์เป็นอุบัติเหตุ และมันเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีการจัดการสะสางข้อเท็จจริงกันเลย เจ้าฟ้าภูมิพลตกใจจนลนลานและหวาดกลัวสุดขีด  หลังจากนั้น มหาดเล็กสองคนก็ต้องถูกประหารชีวิตเนื่องจาก ได้เห็นการฆาตกรรมที่เกิดขึ้นตรงหน้า   พระบรมวงศานุวงศ์เชื่อว่า พระชนนีสังวาลย์ควรจะต้องยืนกรานที่จะเปิดเผยความจริงให้เป็นที่รับรู้กัน เพราะพวกเขาเชื่อว่าการสวรรคตเป็นเรื่องของอุบัติเหตุโดยแท้ มิใช่การฆาตกรรมหรือเจตนาปลงพระชนม์  และประชาชนควรได้รับทราบว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากนั้น เจ้าฟ้าภูมิพลควรสละราชสมบัติไปเป็นพระภิกษุตลอดชีวิตและยินยอมให้ราชสมบัตินั้นเปลี่ยนผ่านไปยังสมาชิกของพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์อื่นแทน วิธีการนี้จะเป็นวิถีทางที่น่ายกย่องซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสุจริตใจ 

พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์

ฝ่ายพระบรมวงศานุวงศ์เชื่อว่า การสืบราชสมบัตินั้นจะถูกผ่านมายังพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ทั้งๆที่พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ได้ถูกกันออกไปแล้วตามพระประสงค์ของรัชกาลที่เนื่องจากว่า พระมารดาของพระองค์เป็นชาวรัสเซีย บุคคลที่น่าจะได้รับการเลือกให้สืบราชบัลลังก์ตามหลักแล้วน่าจะเป็นพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร แต่พระองค์ไม่มีพระโอรส และมีแต่เพียงพระธิดา ซึ่งสมรสกับผู้ชายชาวฝรั่งเศส นายปรีดี พนมยงค์ มีจดหมายฉบับหนึ่งซึ่งเขียนโดยจอม ป พิบูลสงคราม  1 ปีก่อนหน้าที่จอมพลแปลกจะถึงแก่อสัญกรรม โดยยอมรับสารภาพว่า ข้อกล่าวหาให้ร้ายนายปรีดีในกรณีสวรรคตล้วนเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น และตัวจอมพล ป.เอง ก็รู้ดีในเรื่องนี้
...................

Monday, May 4, 2015

"เมื่อคนในครอบครัวยังฆ่าได้ ไฉนเลยเขาจะไยดีกับชีวิตของไพร่ ที่ด้อยค่ากว่าผักปลา"

ผมชอบการตัดต่อเรื่องหลากหลายที่เกิดในไทย มาเป็นเรื่องราว ชวนคิดชวนคุย





Published on May 3, 2015
หากพี่ชายตามสายเลือด เขายังฆ่าได้แล้ว
ฝุ่นใต้ตีนอย่างเราจงอย่าได้หวังความปราณี­จาก มัน
충명철 Shared on Google+ · 1 hour ago · Extended circles



Friday, May 1, 2015

ข่าวส่วนตัว คุณพลอยไพลิน วันนี้


ได้รับข่าวก้อมอันนี้มา แต่ไม่ทราบว่าเป็นพลอยไพลินคนไหน... อ่านเอาเพลินนะครับ อิ ๆ
แต่ไม่มีภาพประกอบนะครับ



26 เมษายน 2558

พลอยไพลินพาลูกกับผัวที่เป็นตัวเป็นตนของพลอยมาอวดคะ ไม่ใช่คนในคลิปอมแท่งอ้อยนะคะ ขนาดไม่ใหญ่เท่าคนนั้นหรอกคะ แต่ทำลูกให้พลอยสองคนแล้วคะ ก็พากันมากราบคุณน้าทอม ผัวพลอยเคยได้ยินแต่คุณตาทวดของพลอยรวยที่สุดในโลก ก็อยากมาเห็นด้วยตาตัวเอง  เดวิดสามีพลอยตื่นเต้นมากตามประสาคนอเมริกาตื่นรวย เขาคาดว่าคุณน้าทอมของพลอยจะฝากขวัญถุงให้น้องแม็กซ์และน้องลีโอ เป็นกอบเป็นกำตอนกลับบ้าน แต่กลับมาเที่ยวนี้แปลกตาดูคนไทยจนไปเยอะ ส่งสัยเพราะพลอยผลาญเงินภาษีเรียนไปเรียนการดนตรีที่ออสเตรียไม่จบก็เป็นได้ ทำไงได้ละ มีตาทวดเป็นเทวดาลูกๆหลานๆเหลนๆก็ไม่ต้องเอาดีทางการงานเหมือนคนทั่วไป แค่สร้างภาพว่าเก่งทุกอย่างดังทุกเรื่องไปวันๆ
 พลอยลืมบอกไปคุณน้าทอมไม่ชอบชื่อฝรั่ง เพราะจะนำมาสร้างภาพหากินกับคนไทยไม่ได้แน่ น้าทอมกำลังไปเข็ญโปรเจ็คใหญ่มาทำรถไฟฟ้ากับจีนในไทย เลยตั้งชื่อเสียใหม่ให้เป็นแบบไทยๆ  น้องแม็กซ์เรียก "จุลรัตน์" ส่วนน้องลีโอชื่อเรียกว่า "ภัททพงศ์"ดีกว่า คนไทยจะได้จำง่ายๆ ไหนๆในอนาคตข้างหน้าทำอะไรไม่เป็น เอาตัวไม่รอดแบบเด็จยายของแม็กซ์ก็มาเกาะภาษีคนไทยกินแบบที่พลอยและน้องสาวทำกันตอนเด็กๆ เพราะพ่อเลี้ยงพวกเราไม่ไหว แม่พลอยเลยเขียนด่าประจานพ่อปีเตอร์ในหนังสืองานศพน้องภูมิ เจนเซ่นให้พวกไฮโซอ่านกันมันส์ ตามนั้นค่ะแม่ยายวัยกลับของเดวิด ไม่ปลื้มพาลลูกเขยเชื้อเม็กซิกันตัวนี้ ทำยิ้มหล่อปลื้มแต่ญาติข้างพลอยทั้งวัน เงินเดือนกระจอกๆของเดวิดอยู่ที่อเมริกาจะส่งแม็กซ์เรียนไปโรงเรียนดีๆไม่ได้เลย ก็ต้องมากราบมาคลานกราบขอค่าเลี้ยงดูจากคุณน้าทอมที่รวยอู้ฟู่ยึดที่ดินคนจนไปทั่วไปเพื่อยื่นให้เศรษฐีเพื่อนจุฬาฯเอาไปหาช่องรวย ทุกคนพาตื่นเต้นที่พลอยมีลูกผู้ชายตั้งสองคน เห่อกันมากค่ะ



Saturday, April 18, 2015

หลักฐานชัด หางโผล่แล้ว อำมาตย์หัวม่วง ร่วมมือปล้นอำนาจ เสี่ยโอ จริง!!!

การยึดอำนาจ จากรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร  และการ ไล่ทำร้าย กดหัว และทำลายขบวนการของคนเสื้อแดง และแกนนำฝ่ายประชาธิปไตย นั้น  ชัดเจนแล้วว่า เป็นเรื่องเกี่ยวกับวังจริงๆ  กล่าวคือ  ฝ่ายอำมาตย์ ซึ่งเลือกที่จะ สนับสนุน พระเทพ ขึ้นเป็นกษัตริย์  ต้องการ ตัดเส้นทางของพระบรม  ซึ่งเห็นได้ชัดว่า เชื่อมโยง กับอำนาจของ นักการเมืองที่สนับสนุนดอกเตอร์ทักษิณ  ชินวัตร  ที่ได้ กุมเสียงส่วนใหญ่ ผ่านการเลือกตั้ง มาตลอด ในช่วง 20 ปีหลัง แถมยังมีความชอบธรรมมากกว่า ตามธรรมเนียมไทย ที่ผู้ชายเป็นใหญ่ และยังเป็นพี่ชายด้วย   การเข้ายึดอำนาจโดย คสช.​ก็เช่นกัน ก็ถือเป็นส่วนหนึ่ง ของการหยุด อำนาจ ทางรัฐสภา  และควบคุมกลไกต่าง ๆ อย่างเบ็ดเสร็จ ทั้งทางการบริหาร  นิติบัญญัติ  และตุลาการ 




 อนึ่ง   การเลือกเข้าข้าง ฟังที่จ้องทำลายตระกูลชินวัตร  ของพระเทพฯ​  จนนำไปสู่การใช้อำนาจ นั้น   หากมองตื้น ๆ ก็แค่เป็นเรื่องการเมืองสองฝั่งต่อสู้กัน แล้วเจ้าถูกชูมาเพื่อสร้างความชอบธรรมเฉย ๆ  แต่หากมองลึก ๆ แล้ว ผู้กำผลประโยชน์รอบฐานวัง ๆ น่าจะรู้เห็นเป็นใจกับพระเทพฯ และมีแผนจะชูพระเทพฯ​เพื่อรักษาฐานอำนาจและผลประโยชน์ของพวกตน    พวกนี้มีเป้าที่จะรักษาอำนาจและผลประโยชน์ของตน โดยการร่วมมือกับทหาร (ครบสูตรฝนตกขี้หมูไหล คือมีนายทุน ขุนศึก ศักดินา) ล้มระบอบชินวัตร แล้วสถาปนาระบอบ อำมาตยา-ศักดินา ราชาธิปไตย ๆ โดยใช้อำนาจเบ็ดเสร็จผ่านทหารของวังและเครือข่ายพระราชาที่เหลือทั้งหมด อันได้แก่มวลชนหัวเหลืองที่เขาสร้างมานานแล้ว

ด้วยธงดังกล่าว พวกนี้ไม่สนใจว่าจะขัดใจใคร จะทำบ้านเมืองเสียหายเพียงใด ยังไงเสีย พวกเขาต้องได้ในสิ่งที่มุ่งหวัง จะต้องไม่เสียของอีกเด็ดขาด แม้ว่าบ้านเมืองจะต้องแตกเป็นเสี่ยง ๆ หรือถูกต่างชาติต่อรองผลประโยชน์ในภาวะที่ชาวโลกที่พัฒนาแล้วเขาไม่เอาด้วย


 ผม เขียนแบบคร่าว ๆ และอยากจะชี้ไปที่หลักฐานสำคัญ ว่ากลุ่มเครือข่ายพระราชา ต้องการรักษาสถาบันฯ​เพื่อประโยชน์ของเครือข่าย ด้วยการกระชับระบอบ ไม่ให้เป็นประชาธิปไตย แล้วให้เจ้าที่ตนต้องการ ได้ขึ้นสู่ตำแหน่ง จะได้เชื่อมต่อการทำมาหากินและการกดขี่ข่มเหง เอารัดเอาเปรียบประชาชนได้ดั่งใจและดังเดิมต่อไปอย่างไม่หมดสิ้น  อนึ่ง วันนี้ หนึ่งในเครือข่ายเจ้า คือ เจ๊กซีพีและคณะฯ ก็มีบทบาทใกล้ชิดกับเกมการเมืองนี้อย่างไม่เคยเห็นมาก่อน ถือเป็นช่วงรับผลประโยชน์ และวางรากฐานการครอบงำประเทศอย่างแท้จริง   วันนี้ ศัตรูของระบอบประชาธิปไตย ยืนเรียงหน้ากันครบสมบูรณ์แล้ว และไม่ต้องสงสัยว่า การเมืองที่ซับซ้อนที่อาจจะมองได้จากหลายมิตินั้น ในเรื่องของวัง หรือการเปลี่ยนรัชกาลที่เคยสงสัยนั้น วันนี้ ไม่ต้องแล้ว  มันเกี่ยวข้องอย่างไม่มีปิดบังกันอีกต่อไปแล้ว ดูร่างรัฐธรรมนูญฉบับอำมาตย์บงการข้างล่างนี้ประกอบนะครับ



Thursday, April 16, 2015

ดร.เพียงดิน รักไทย 2013-02-10- ประเทศไทยหลังยุคกษัตริย์ภูมิพล

ดร.เพียงดิน รักไทย 2013-02-10- ประเทศไทยหลังยุคกษัตริย์ภูมิพล

กษัตริย์ภูมิพล เป็นประมุขที่รวยกว่า "ข้าพสกนิกร" มากที่สุดในโลก... แต่รวยกว่ากี่เท่าล่ะ?

http://www.dailymail.co.uk/femail/article-2908369/Meet-European-dynasties-make-Queen-look-poor-Wealthiest-royals-revealed-richest-family-isn-t-one-d-expect.html


คำตอบตามลิ้งค์ข้างบนคือ


5,400,000 เท่า 

ที่ต่างกันลับลิ่ว  เพราะกษัตริย์ต้องการให้:
  • ราษฎรพอเพียง 
  • คนรวยที่เอื้อประโยชน์ให้วังได้รวยกันสุด ๆ แบบรวยกระจุก แล้วให้คนส่วนใหญ่จนกระจาย
ดูเพิ่มเติม (ภาคภาษาไทย) ที่ https://thaipoliticalprisoners.wordpress.com/2014/11/05/king-is-5-4-million-times-wealthier-than-his-average-subject/

Tuesday, April 14, 2015

รัชกาลที่ 10 ของไทย มีดีไหม? เอาแบบญี่ปุ่นดีไหม?

รัชกาลที่ 10 ของไทย มีดีไหม? เอาแบบญี่ปุ่นดีไหม?

ข่าวลับกรองแล้ว สงกรานต์ 13 เมษา 2558 (โปรดใช้พิจารณญาณ)

ข่าวลับกรองแล้ว สงกรานต์ 13 เมษา 2558 (โปรดใช้พิจารณญาณ)
ข่าวลับกรองแล้ว  สงกรานต์ 13 เมษา 2558 

"หุ้นรูดหลุดกรอบบอกสัญญาณว่างานรดน้ำปู่อยู่ไม่ไกลแล้ว"


สืบความลับจับมาตีแผ่เผยแพร่เป็นประจำในขบวนการประชาธิปไตยไทยในสแกนดิเนียเวียโดยกลุ่มเสียงประชาชนไทย(สปท.)  http://thaiscandemo.blogspot.com/


๐๐๐ข่าววงในพระราชสำนัก๐๐๐

*งานวันสงกรานต์(หรือวันสังขาร)ปีนี้ทั้งโลกสวรรค์และโลกมนุษย์มีกิจกรรมเหมือนกัน,สวรรค์แห่หัวพระพรหมแต่โลกมนุษย์แห่หัวพระภูมิพรหมประกาศศักราชใหม่

*ประกาศงานวันสงกาฬแห่หัวพระภูมิพรหมปีนี้ขอประกาศว่าเกิดการเปลี่ยนผ่านจากรัชกาลที่9สู่รัชกาลที่9ครึ่ง!!อย่างไม่เป็นทางการแล้วเมื่อ5ธันวา57จนถึงวันนี้ทั้งน้องทั้งพี่กำลังทำหน้าที่รัชกาลที่เก้าครึ่งจนประยุทธ์ก็จัดเติมเต็มให้เป็น10ไม่ถูก

*ประกาศวาระงานพระราชพิธีที่ออกประจำทุกปีแต่นับแต่นี้ไม่มีอีกแล้วตามวาระดังนี้

(1) 5ธันวา57ไม่ออกงานมหาสมคมเพราะสังขารล่องพูดเป็นประโยคไม่ได้...ดังนั้นยิ่งจะออกงานงานก็จะยิ่งเข้าและตลาดหุ้นไทยที่อกสั่นขวัญหายก็จะกลายเป็นไข้จับสั่นเพราะเจ้าเข้าจนเอาไม่ออก

(2) 31ธันวา57ก็ไม่ออกงานอ่านประกาศอวยพรปีใหม่1มกรา2558

(3) 2เมษาชาวประชาเฝ้าชมบารมีคู่กับลูกสาวคนโปรดก็อดชม

(4) เมื่อ6เมษาวันปฐมบรมทวดฆ่าพระเจ้าตากสินมหาราชและประกาศจักรีวงศ์ก็ลงจากสวรรค์ชั้น16ไม่ได้

(5) ประกาศล่วงหน้างานวันสังขารล่อง28เมษา58วันราชาภิเษกสมรสที่จะถึงก็ต้องงดอีกเช่นกัน

(6) 5 พฤษภาวันฉัตรมงคลจนถึง2สิงหาและ5ธันวา58สารพัดพระราชพิธีปีนี้ก็ไม่อาจจะอวดพระบารมีและพระสุรเสียงได้แล้ว

*ตลอด 60 กว่าปีถึงวันนี้อวดบารมีออกทีวีเป็นประจำเลยกลายเป็นกรรมจะอำประชาชนชาวโลกร้องเพลง"ฉันยังอยู่"เลยกลายเป็นงานประกาศละสังขารทางการเมืองอย่างไม่มีหวลกลับ

*การปรากฎตัวครั้่งล่าสุดที่วังสวนจิตรลดาแล้วก็ทำท่าจะถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจเป็นงานใหญ่ก็กลายเป็นงานประกาศหมดสภาพไปอย่างปกปิดไม่ได้

*หลังวันพลัดแผ่นดินเมื่อ5ธันวา57นักลงทุนรู้ความจริงหุ้นจึงทะยอยดิ่งลงเรื่อยๆและถ้าใครถอนช้าขาจะชายืนไม่ได้แต่ถ้าถอนไวฮวบฮาบก็จะถูกงาบเมื่อใครไม่อยากเลือดอาบก็ต้องเริ่มถอยเพราะถ้าจะรอความเงียบจากพระสุรเสียงจนถึงธันวาปีนี้เห็นทีจะจมดิ่งกู้ไม่ขึ้นยิ่งเจอระเบิดรายวันขยายวงจาก3จังหวัดภาคใต้มาใกล้ถึงพังงาสุราษฎร์ภูเก็ตสะเด็ดสะเด่าเขาก็รู้ว่าสงครามชิงราชบัลลังก์เริ่มลั่นระฆังแล้วและจะมีเรื่อยๆ


๐๐๐ข่าวขี้ข้าพระราชสำนัก๐๐๐

*สปท.ได้รับรายงานจากสายข่าวในกอ.รมน.ยืนยันว่าเอกสารรายงานสรุปสถานการณ์ประจำสัปดาห์ที่ส่งไปให้ประธานองคมนตรีฉบับลงวันที่27มีนา58กล่าวหาประชาชนที่เชื่อคำแถลงของหมอประจำพระองค์ว่าในหลวงทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงเป็นปกติจึงเชิญชวนกันเฝ้าชมพระบารมีที่พระองค์จะทรงฉายภาพถ่ายทอดสดๆในงานวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระเทพในวันที่2เมษายนว่า"เป็นพวกไม่จงรักภักดี"

*ในรายงานย่อหน้าที่สองของหน้าแรกหน่วยข่าวกรองสูงสุดของเผด็จการคสช.สาวกหมอดูป.ส.ด.(ประสาทแดก)วารินยังกล่าวหาชาวเนตที่นำภาพพระอริยาบทของพระองค์ภากับพระกิ๊กใหม่พันโทปริทัศน์ บุนนาคโดยเฉพาะภาพพระองค์ทรงนุ่งบิกินนีและภาพแนบชิดกับพระกิ๊กใหม่รวมทั้งที่ทรงฉายร่วมกับพระมารดาพระองค์โสมออกเผยแพร่ว่า"เป็นพวกไม่จงรักภักดี"ทั้งๆที่ภาพถ่ายเหล่านั้พระองค์ภาฯทรงอนุญาติให้ถ่ายอันแสดงออกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ไม่ทรงหวงพระมังษาต่อพสกนิกรแท้ๆก็ยังกลายเป็นความผิด

*ใครก็รู้ทั้งนั้นว่าพระองค์ภาทรงเปิดเผยพระวรกายในอินสตาแกรมโดยใช้นามแฝงว่า"Superpatgirl"หน่วยข่าวกรองงี่เง่านี้ก็ยังหาว่าพวกไม่จงรักภักดีได้แอบอ้างชื่อของพระองค์ภามาเปิดเผยข่าว...ป๋าเปรมฟังรายงานคงมึนตึ๊บ

*รายงานย่อหน้าที่สามต่อมายังกล่าวหาเอาผิดยัดเยียดคุกให้อดีตอุปนายกองค์การนักศึกษามหาลัยธรรมศาสตร์รองเลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษา(สนนท.)ระบุชืรอชัดเจนว่า"นายรักชาติ"พร้อมนามสกุลโดยกล่าวหาว่าไปแอบอ้างชื่อพระเจ้าหลานเธอสิริวัณณวลีที่ใช้ชื่อในอินสตาแกรมว่า"Sirivannavari Mahidol"ซึ่งเป็นชื่อคล้ายแต่ไม่ใช่ตัวพระเจ้าหลานเธอโดยออกเผยแพร่ข่าวว่า"พระเจ้าหลานเธอทรงท้อแท้เสียใจที่คนส่วนใหญ่ไม่สนใจสินค้าของพระองค์"...หน่วยข่าวคสช.เลวได้ที่จริงๆคนทั้งบ้านทั้งเมืองเขาก็รู้ว่าชื่อในอินสตาแกรมนี้คือ"สิริวัณณวลีมหิดล"ตัวจริงเสียงจริงและพระองค์ก็เขียนข้อความตามสำนวนของพระองค์ที่รู้กันทั้งบ้านเมือง(แต่หน่วยข่าวกรองคสช.แกล้งโง่ว่าไม่รู้)แล้วก็ดันจะยัดคุกตะรางมาให้ชาวบ้าน...พวกมันสอพลอแบบโง่หลุดโลกจริงๆ

*คสช.ถนัดยัดตะรางโดยอ้างพระราชวงศ์ในนามทหารพระราชาอย่างนี้นี่เองพอเกิดระเบิดและไฟใหม้ห้างสรรพสินค้ากับสหกรณ์ที่เกาะสมุยและในตัวเมืองจังหวัดสุราษฎร์,พังงาและภูเก็ตพร้อมๆกันในกลางดึกของคืนวันที่10เมษาพอรุ่งสางโฆษกคสช.ไก่อูก็ขันทันที่ว่าคนวางระเบิดชื่อ"นายเอ็มเสื้อแดง"ที่ตัวอยู่กรุงเทพพร้อมยืนยันว่ามีสลิปโอนเงินของทักษิณตกอยู่ในที่เกิดเหตุทำเอาตำรวจที่ต้องทำคดีปวดหัวขนาดสมยศ พุ่มพันธุ์มั่ว ผบ.ตร.ยังไม่กล้ามั่วต่อจากคำสำภาษของ"เจ้ากรมข่าวมั่ว"ไก่อูเลย

*นับวันยิ่งมีเสียงระเบิดกระชั้น,ใครทำก็"ชั่งหัวมัน"(เพราะคนใหญ่เมืองไทยชั่งหัวมันเป็นประจำ)แต่ชาวบ้านนั่งฝันแอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เพราะสะใจให้มันเจอเสียบ้างเนื่องจากที่ผ่านมาประยุทธ์มันทำใหญ่ทำกร่างจับคนยัดตะรางเป็นว่าเล่น,ให้ลูกน้องซ้อมผู้ต้องหาตามอำเภอใจ,บังคับใช้กฎหมายกับเสื้อแดงฝ่ายเดียวเจอเสียวๆลูกสองลูกยังน้อยไป...โสน้าน่า555


๐๐๐ข่าวเศรษฐ(ราช)กิจ๐๐๐

*กลุ่มบริษัทเครือข่ายที่จ่ายเงินให้ม๊อบหนุนช่วยให้คสช.ยึดอำนาจกำลังอิ่มหมีพีมันฟันสิทธิพิเศษในภาวะที่มีนายกงี่เง่าดังตัวอย่างซีพีที่ผูกขาดตั้งแต่เมล็ดพันธุ์พืช,อาหาร,ค้าปลีก,ค้าส่งจนถึงโทรคมนาคมวันนี้ประยุทธ์ก็ช่วยทำหน้าที่ด้วยความโง่ช่วยขยายงานการผูกขาดครบวงจรให้ซีพีเปิดการค้าขายรถยนต์และทำไฟแนนซ์และยังแล่นจะไปทำรถไฟความเร็วต่ำเพราะท่านจัดแบ่งประโยชน์ให้นายทหารและวังอย่างพอใจและอย่างเงียบๆแต่สุดท้ายลงเอยที่ซีพีกลายเป็นนายทุนนายหน้าผูกขาดจัดแบ่งต๋งโดยเฉพาะทำกับจีน...ด้วยเหตุนี้ละมั้ง?โครงการปฏิรูประบบรถไฟให้คงความเร็วต่ำของคสช.จึงแพงกว่าโครงการรถไฟความเร็วสูงของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ขึ้นไปอีก1ล้านล้านบาทเพื่อให้พอแบ่ง...ข่าวอย่างนี้เหมือนมีดยิ่งตัดขาดจากโลกไร้พรมแดน"ยิ่งผูกขาดต้นทุนยิ่งแพงประชาชนมีแต่จ่ายภาษีแพงจนลงแดง"

*ข่าวนิวยอร์คไทม์สื่อยักษ์ใหญ่ในอเมริกาลงวันที่11เมษาด่ารัฐบาลคสช.เป็นเผด็จการตลบแตลงโดยใช้คำว่า"Trickery and False Promises inThailand"ยังไม่ทันจางสื่อยักษ์รัสเซีย"มอสควาไทม์"ก็ซัดอีกว่าโลกตะวันตกเมินไทยจึงดิ้นหนีตายไปหารัสเซียและชี้เศรษธกิจท่องเที่ยวของไทยพังยับเยินหลังกองทัพทำรัฐประหาร...ตรงๆอย่างนี้ยังจะมีโอกาสฟื้นอีกหรือรัฐมนตรีเชื้อพระวงศ์หม่อมอุ๋ย

*โปรดติดตามข่าวสังขารล่องของพระภูมิพรหมในอีกไม่นานรับรองหุ้นดิ่งจมบาดาลแน่...แล้วพบกันใหม่//จบ

Tuesday, April 7, 2015

ราชวงศ์จักรี ในมุมที่ท่านอาจไม่เคยได้ยินมาก่อน ในสังคมไทย

ราชวงศ์จักรี ในมุมที่ท่านอาจไม่เคยได้ยินมาก่อน ในสังคมไทย เครดิต สนามหลวง2008 โปรดช่วยกันเผยแพร่ เพื่อความเข้าใจร่วมกันถึงปัญหาของชาติไทยที่แท้จริง

ดร.เพียงดิน รักไทย 2014-12-04 ตอน บังคับให้ใส่สีประจำตัวเจ้า จะหยุดอวสานราชวงศ์จักรี ได้หรือ?

คู่แข่งกษัตริย์ภูมิพล และตระกูลมหิดล ในเรื่องการมอมเมาประชาชน ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ

คู่แข่งกษัตริย์ภูมิพล และตระกูลมหิดล ในเรื่องการมอมเมาประชาชน ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ

The world's most popular leader, Kim Jong-un, as seen on North Korean state broadcaster KCTV.

Posted by Shanghaiist on Wednesday, April 1, 2015

Monday, April 6, 2015

เดอะคิงชื่อสมชาย ตอนที่ 1 : เก็บตกวงศ์จักราวี (สาระควรอ่าน จาก Sanamluang2008)

เดอะคิงชื่อสมชาย ตอนที่ 1 : เก็บตกวงศ์จักราวี (สาระควรอ่าน จาก Sanamluang2008)

เดอะคิงชื่อสมชาย ตอนที่ 1 : เก็บตกวงศ์จักราวี Xomxai 01
ฟังเสียง : http://www.mediafire.com/?gq8rbails8b9bpmหรือที่  http://www.4shared.com/mp3/m4rGJmwY/The_Godfather_Named_Xomxai_01_.html 
เดอะคิงชื่อสมชายจากเค้าโครงการศึกษาของนายพร แฮงดีตอนที่ 01 เก็บตกวงศ์จักราวี เรื่องราวในวังสมัยอยุธยา เป็นเรื่องที่โกลาหลวุ่นวาย และเต็มไปด้วยการนองเลือด ช่วงชิงราชบัลลังก์ การลอบปลงพระชนม์ เป็นสิ่งที่เขย่าขวัญและเกิดขึ้นบ่อย จนกลายเป็นเรื่องธรรมดา ของพวกกษัตริย์ มีหลายครั้งที่มีการกบฏจากคนนอกราชวงศ์ อาณาจักรอยุธยาก็อ่อนแอลง เพราะการแก่งแย่งอำนาจ และราชสมบัติ หลังจากถูกปิดล้อมหนึ่งปี ในเดือนเมษายน 2310 กองกำลังทหารพม่าก็ตีผ่านกำแพงเมืองอยุธยา เข้าทำลายปราสาท ราชวัง เจดีย์ วัดวาอาราม และชาวเมืองอยุธยาต่างพากันหนีกระจัดกระจายไปสู่ชนบท อาณาจักรอยุธยาได้ถึงวาระสิ้นสุดลง
ตากสินซึ่งเป็นเจ้าเมืองตากเชื้อสายจีน ได้รวบรวมผู้คนขับไล่พม่าออกไป แล้วตั้งเมืองใหม่ที่กรุงธนบุรี ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาเมื่อปี 2311 โดยมีฐานสนับสนุน เป็นกลุ่มพ่อค้าคนจีน และกลุ่มขุนนางที่เหลือรอดตายจากอยุธยาแต่หลังจากที่เจ้าตากได้ฟื้นฟูอาณาจักร ได้เป็นปึกแผ่นพอสมควรแล้ว ชนชั้นนำเก่าของอยุธยาได้หันมาต่อต้านเจ้าตาก นำโดยตระกูลบุนนาค ซึ่งเป็นขุนนางและพ่อค้าเชื้อสายเปอร์เซีย ที่มีอิทธิพลมากและเป็นคู่แข่งผลประโยชน์ทางการค้ากับพวกคนจีน ที่เป็นพรรคพวกของเจ้าตาก โดยโจมตีกล่าวหาว่าเจ้าตากมีสติฟั่นเฟือน หลงอำนาจ แตกแยกกับข้าราชการพวกขุนนางเก่าอยุธยาได้สนับสนุนแม่ทัพสองคน คือพระยาจักรี (ทองด้วง)  และพระยาสุรสีห์ (บุญมาทำการโค่นล้มปลงพระชนม์แย่งชิงราชบัลลังก์จากเจ้าตากและตั้งตนเป็นกษัตริย์ ทองด้วง เดิมรับราชการได้เป็นยกกระบัตร เมืองราชบุรี ต่อมาในสมัยเจ้าเอกทัศน์ออกไปอยู่นอกราชการแถวอัมพวา เพราะทองด้วงไปอยู่ฝ่ายเจ้าอุทุมพร ตอนนั้นเจ้าตากได้เป็นพระยาวชิรปราการเจ้าเมืองตากในปี 2310 กองทัพพม่าได้บุกเข้ายึดและเผาทำลายกรุงศรีอยุธยาที่อ่อนแอจนเหลือแต่เพียงซากปรักหักพัง พระยาตากเจ้าเมืองกำแพงเพชรผู้มาจากสามัญชนได้รวบรวมกำลังพลขับไล่กองกำลังพม่า ปราบปรามเหล่าขุนนางศักดินาที่ตั้งตัวเป็นก๊กเป็นเหล่า และรวบรวมชนกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยให้เข้ามาอยู่ร่วมกันภายใต้การปกครองของสยามอีกครั้งหลังจากกองทัพใหญ่ของพม่าถอนกำลังจากกรุงศรีอยุธยาเพื่อกลับไปจัดการปัญหาในบ้านเมืองของตนเอง โดยทิ้งกองกำลังรักษาการณ์ไว้จำนวนหนึ่ง 
ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน เจ้าตากสินก็ตีกองกำลังพม่าที่เหลืออยู่จนแตกพ่าย และจัดการรวบรวมขุนนางที่แตกเป็นก๊กเป็นเหล่าให้มาอยู่ใต้การบังคับบัญชาได้อีกครั้ง ในปี 2311 ด้วยอายุเพียง 34 ปี เจ้าตากก็ได้สถาปนาขึ้นเป็นเจ้ากรุงธนบุรี มีกรุงธนบรีเป็นเมืองหลวง บนฝั่งตะวันตกแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงข้ามกับศูนย์กลางการค้าขายที่เรียกว่าบางมะกอก
น้องของทองด้วงคือบุญมา ตำแหน่งมหาดเล็ก ตอนที่กรุงแตก บุญมาหนีไปเป็นทหารของเจ้าตาก เมื่อเจ้าตากรบชนะและเป็นกษัตริย์ บุญมาจึงได้พาทองด้วงพี่ชายมารับราชการ ต่อมาเมื่อบุญมาเลื่อนยศขึ้นไปก็เอาทองด้วงมักสวมตำแหน่งแทน บุญมาได้เลื่อนจากพระยายมราช เป็น พระยาสุรสีห์ ทองด้วงก็ได้เป็นพระยายมราชแทน ทำให้ทองด้วงจะเริ่มมีอำนาจมากขึ้น เพราะบุญมาต้องไปครองเมืองพิษณุโลกหัวเมืองเอกทางเหนือ ทองด้วงได้เป็นพระยมราช คือ กรมวังที่อยู่ในเมืองต่อมาพระยาจักรีซึ่งเป็นสมุหนายกตาย เจ้าตากจึงเลื่อนทองด้วงขึ้นมาเป็นพระยาจักรีตำแหน่งสมุหนายก ทองด้วงยังได้ถวายลูกสาวแก่เจ้าตากชื่อ ฉิมใหญ่ให้เป็นมเหสี มีลูกกับเจ้าตาก ชื่อเจ้าฟ้าเหม็นหรือกรมขุนกษัตรานุชิตเจ้าตากมีนายทหารใหญ่ที่มีฝีมืออยู่ 2 คน คือ คนหนึ่ง คือบุญมา อีกคน คือ พระยาสวรรคโลก เป็นแม่ทัพที่รบเก่งเคยรบเคียงคู่กับเจ้าตากมาตลอด ต่อมาพระยาสวรรคโลกทูลขอธิดาของเจ้าตาก ถือเป็นการอาจเอื้อม เจ้าตากจึงสั่งประหารพระยาสวรรคโลก ทำให้ 2 คนพี่น้อง คือ พระยาสุรสีห์ และพระยาจักรี มีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งตอนหลังเจ้าตากหันไปสนใจศาสนามากขึ้นอำนาจทางการเมืองจึงตกอยู่ในมือสองพี่น้องมากขึ้นทุกทีจนกระทั่งในปี 2324 เกิดจลาจลในเขมร สาเหตุมาจากองค์เชียงชุนและองค์เชียงสือของเวียตนามที่พ่ายหนีพวกกบฏไตเซิน (หรือเล้)ถอยร่นลงมาทางใต้ หวังได้กำลังจากเขมร จึงเข้าไปคุมเขมร ซึ่งเป็นประเทศราชของไทย เจ้าตากได้แต่งตั้งนักองค์นนเป็นกษัตริย์กัมพูชา แต่ถูกเจ้าฟ้าทะละหะ (มูจับประหารในพ.. 2322 แล้วให้นักองค์เองอายุ 7 ปีเป็นกษัตริย์โดยตนเป็นมหาอุปราช ฝ่ายกรุงธนบุรีไม่ไว้ใจ จึงสั่งให้พระยาจักรี พระยาสุรสีห์ กรมขุนอินทรพิทักษ์ ราชโอรสเป็นทัพหลวงยกไปถึงถึงพนมเปญ แต่ทัพรองเพิ่งไปถึงแค่เสียมราฐ  ทำให้ทัพญวน 3 หมื่นคนและทัพเขมร8,000 คน ล้อมทัพหลวงไว้ขณะที่เกิดกบฏในกรุงธนบุรีโดยคนของพระยาจักรี  มีผู้ปลุกปั่นยุยง และชักชวนทำการกบฏ ตั้งกองรบทำร้ายผู้รักษากรุงเก่า แล้วเดินทางมายังกรุงธนบุรี ยิงปืนเข้าพระนครโดยมีพวกกบฏในกรุงธนบุรีก่อการจลาจล สมทบกับกบฏที่ยกมาจากกรุงเก่าหรืออยุธยาขณะที่เจ้าตากไม่มีกำลังเหลืออยู่เลย พระยาจักรีและพระยาสุรสีห์ก็ยกทัพกลับมาทันที แต่เจ้าฟ้าจุ้ยกลับไม่ได้เพราะถูกทัพญวนล้อมไว้ การจลาจลที่เขมรก็เป็นแค่การสร้างเรื่อง โดยมีการตกลงกับญวนให้ช่วยล้อมทัพหลวงไว้พวกกบฏให้พระไปขอให้เจ้าตากบวชเพื่อสะเดาะเคราะห์เมือง 3 เดือน เจ้าตากรับคำขอ เพราะเห็นว่าทัพหลวงที่ไปรบเขมรยังกลับมาไม่ทัน และราษฎรก็ถูกปลุกปั่นให้เข้าใจผิดว่าเจ้าตากเสียสติ จึงต้องยอมบวชไปก่อนที่วัดแจ้ง ในมหาราชวัง เมื่อบวชได้12 วัน ทองอินหลานพระยาจักรี ยกทัพมาจากโคราชสมทบกับพวกบฏ พอเช้าวันที่ เมษายน 2325 พระยาจักรี รีบเดินทัพใหญ่มาถึงพระนคร มีการสอบถามความเห็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ มีข้าราชการที่ยังจงรักภักดีในเจ้าตาก และยืนยันให้ไปขอให้เจ้าตากสึกออกมาครองราชสมบัติหรือไม่ก็ควรยกราชสมบัติให้รัชทายาทของพระองค์ พวกข้าราชการที่กล้าพูดเช่นนั้นก็ถูกคุมตัวไปประหารชีวิตทั้งหมด
เจ้าตากถูกประหารในวันนั้น ณ พระวิหารที่ประทับในวัดแจ้ง หลังจากบวชได้ 28 วัน โหรจดไว้ว่าดับขันธ์ เพื่อยืนยันว่าเจ้าตากถูกประหารขณะที่เป็นพระ เมื่ออายุ 48ปี นิธิ เอียวศรีวงศ์ กล่าวถึงวาระสุดท้ายของเจ้าตากในหนังสือ “การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ” ว่า " (พระพุทธยอดฟ้าฯจึงมีรับสั่งให้เอาไปประหารชีวิตสำเร็จโทษเสีย เพชฌฆาตกับผู้คุม ก็ลากเอาตัวขึ้นแคร่หามไปกับทั้งสังขลิกพันธนาการ เจ้าตากสินจึงว่าแก่ผู้คุมเพชฌฆาตว่า ตัวเราก็สิ้นบุญจะถึงที่ตายแล้ว ช่วยพาเราแวะเข้าไปหาท่านผู้สำเร็จราชการ จะขอเจรจาด้วยสักสองสามคำ ผู้คุมก็ให้หามเข้ามา ครั้น ( พระพุทธยอดฟ้าฯ)ได้ทอดพระเนตร จึ่งโบกพระหัตถ์มิให้นำมาเฝ้า ผู้คุมแลเพชฌฆาตก็ให้หามออกไปนอกพระราชวัง ถึงหน้าป้อมวิชัยประสิทธิ์ ( ที่ตั้งกองทัพเรือติดวัดอรุณ ) ก็ประหารชีวิตตัดศีรษะเสีย ถึงแก่พิราลัย จึ่งรับสั่งให้เอาศพไปฝัง ณ วัดบางยี่เรือใต้ "
แล้วเชิญพระศพไปฝังไว้ที่วัดอินทารามหรือ วัดบางยี่เรือ บรรดาศพข้าราชการที่จงรักภักดีกว่า 50 นาย ถูกฝังเรียงรายใกล้ศพเจ้าตากฝ่ายราชวงศ์ของเจ้าตากที่ยังเหลือ ถ้าเป็นเจ้าชายที่โตแล้วก็ถูกจับประหารหมด บรรดาบุตรชายน้อยๆ ของเจ้าตากสิน ให้เอาไปใส่เรือล่มน้ำเสียให้สิ้น ดังคำบุราณกล่าวไว้ ตัดหวายอย่าไว้หนามหน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก ซึ่งจะเลี้ยงไว้นั้นหาประโยชน์ไม่ จะเป็นเสี้ยนหนามไปภายหน้า ส่วนเจ้าหญิงก็ถูกถอดพระยศออกแล้วเรียกว่าหม่อม แม้แต่แม่และน้าของเจ้าตากและไทยต้องช่วยองค์เชียงสือรบกับพวกราชวงศ์เล้หรือกบฎไตเซิน 2 ครั้ง ต้องช่วยอาวุธยุทธภัณฑ์อีกมากตามข้อตกลงลับที่ได้ช่วยกันล้มบัลลังก์ของเจ้าตาก รวมทั้งต้องเสียเมืองพุทไธมาศแก่ญวน
หลังจากนั้นทองด้วงก็ตั้งตนขึ้นเป็นกษัตริย์ ตั้งเมืองหลวงที่บางมะกอก ในปี 2325 และเป็นต้นวงศ์จักราวี
หลังจากนั้นทองด้วงก็ตั้งตนขึ้นเป็นกษัตริย์ ตั้งเมืองหลวงที่บางมะกอก ในปี 2325 และเป็นต้นวงศ์จักราวีแม้จะมีคนแต่งเรื่องแก้ตัวให้ทองด้วง ว่า เจ้าตากสินกู้เงินจากจีนมาทำสงครามกู้เอกราชและคิดจะไม่จ่ายหนี้ จึงคิดอุบายหลบหนี้โดยให้พระยาจักรียึดอำนาจ และบางตำนานก็ว่าเพชฌฆาตใจอ่อนปล่อยเจ้าตากหนีไปบวชอยู่ที่วัดเขาขุนพนมนครศรีธรรมราช แต่หลักฐานทางประวัติศาสตร์ชี้ชัดว่าเจ้าตากถูกพระยาจักรี สั่งประหารชีวิตเพื่อปราบดาภิเษกตั้งราชวงศ์ใหม่ และมีการกำจัดขุดรากถอนโคนเชื้อสายเจ้าตากสินอีกหลายครั้งเมื่อทองด้วง ย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่กรุงเทพแล้ว ก็พยายามทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนเป็นเอกบุรุษที่สมบูรณ์ไปด้วยบุญญาบารมีและบริสุทธิ์กว่าผู้อื่นทั้งแผ่นดิน  อะแซหวุ่นกี้รบชนะเมืองพิษณุโลกที่มีพระยาจักรีเป็นแม่ทัพ แต่ก็ถูกกองทัพของเจ้าตากตีจนแตกพ่ายยับเยิน ทองด้วงรู้สึกอับอายที่ต้องถอยทัพหนีพม่า จึงบังคับอาลักษณ์แก้ไขประวัติศาสตร์ทุกฉบับ ว่าอะแซหวุ่นกี้มิได้รบกับเจ้าตาก แต่กษัตริย์พม่ามีหมายเรียกตัวกลับ และแต่งเรื่องโกหกว่าอะแซหวุ่นกี้ขอดูตัวพระยาจักรี เพื่อสรรเสริญว่าเก่งกาจสามารถเป็นเยี่ยม ซึ่งเข้าข่ายมีความผิดอัยการสงครามมีโทษถึงตายทองด้วงยังเล่าเรื่องโกหกว่าเคยมีหมอดูจีนทำนายว่า พระยาจักรีกับพระยาตากสินจะได้เป็นกษัตริย์ทั้งคู่ เพื่อทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่า ตนมีความสามารถเป็นเลิศ มีบุญญาอภินิหารกว่าใครในแผ่นดิน เพื่อหาเหตุผลมาสนับสนุนการล้มบัลลังก์ของเจ้าตากหลังจากที่ขึ้นมาเป็นกษัตริย์แล้ว ทองด้วงไม่เคยออกรบด้วยตนเองเลย โดยมากจะแต่งตั้งวังหน้าออกรบเสมอ ตนจะเป็นกองเสริม วังหน้ามักจะรบชนะเสมอ ทองด้วงเลยไม่ค่อยได้รบ ตอนไปตีเมืองทวาย ในปี 2340 ทองด้วงเป็นแม่ทัพบก แต่เดินทัพผิดทำให้ถึงเมืองทวายช้ากว่าวังหน้าถึง 3 เดือน ทำให้ต้องเสียเมืองทวาย ตะนาวศรี ให้แก่พม่าพวกประเทศราชต่างๆ มีการพูดกันทั่วไปว่าบุญมาหรือวังหน้าเก่งกว่าทองด้วง เพราะฉะนั้นหัวเมืองทั่วไปจึงมีความเคารพวังหน้ามากกว่าวังหลวงวังหน้าไม่พอใจที่วังหลวงจัดเงินให้น้อยไป จึงขอเงินเพิ่ม วังหลวงอ้างว่าตนก็ฝืดเคือง จนกระทั่งมีการตีกันในการแสดงโขนงานสมโภชน์พระนคร ทั้ง 2 ฝ่ายตั้งปืนเข้าหากัน พี่สาวของทองด้วงและบุญมา เข้ามาห้ามโดยรำพันถึงความยากลำบากก่อนที่สองพี่น้องจะได้มาเป็นใหญ่ จึงตกลงกันได้ จนกระทั่งบุญมาตายในปี 2346 วังหลวงก็ยึดวังหน้า โดยกล่าวหาว่าโอรสทั้ง 2 คนของวังหน้า ซ่องสุมกำลังคิดกบฏ จึงให้ประหารหลานทั้งสอง แล้วให้ลูกชายของตน คือ ชายฉิม เป็นวังหน้าแทนทองด้วงมีสนมและเจ้าจอมทั้งหมด 34 คน มีลูก 46 คน เป็นผู้ชาย16 คน ส่วนฟ้าเหม็นลูกชายของเจ้าตากซึ่งเป็นหลานตาที่ทองด้วงรักมาก ก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏและถูกประหารหลังจากทองด้วงถึงแก่กรรมไม่นาน 
ชายฉิมลูกคนโตของทองด้วงได้เป็นรามาที่ 2 ในปี 2352 มีมเหสีทั้งหมด 44 คน คนที่สำคัญ คือ เจ้าฟ้าบุญรอด ซึ่งเป็นลูกของพี่สาวทองด้วง ที่เกิดได้เสียกันและท้องขึ้นมา ทำให้ทองด้วงโกรธมากเพราะเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เจ้าฉิมได้แก้ตัวในภายหลังว่า ถ้าไม่แต่งงานในหมู่ญาติวงศ์แล้วจะแต่งกับใคร และยังได้แต่งวรรณคดีอิเหนาซึ่งคนในญาติวงศ์ได้แต่งงานกันเองหมดปี 2360 เจ้าฉิมไปรักเจ้าฟ้ากษัตรีซึ่งเป็นลูกทองด้วงเหมือนกัน เจ้าฟ้ากษัตรีไม่ยอม และยังด่าว่าทำไมจะเอาน้องเป็นเมีย เจ้าฉิมโกรธมาก จึงสั่งประหารชีวิต
ต่อมาเจ้าฉิมขอเจ้าฟ้ากุณฑลอายุ18 ปี ซึ่งเป็นลูกของทองด้วงเช่นกัน เจ้าฟ้ากุณฑลต้องยอม ทั้งๆที่มีอายุอ่อนกว่าถึง 31 ปี เจ้าฟ้ากุณฑลเป็นคนโปรดมากถึงกับเปรียบเป็นนางบุษบาในเรื่องอิเหนา เจ้าฉิมตั้งเจ้าฟ้ากุณฑลเป็นมเหสีฝ่ายซ้าย เนื่องจากมียศเป็นเจ้าฟ้าเหมือนกัน เจ้าฟ้าบุญรอดโกรธมากจึงออกจากวังหลวงไปอยู่กับลูกชายที่ฝั่งศิริราช ต่อมา คือ ปิ่นเกล้าหลังจากที่เจ้าฟ้าบุญรอดออกจากวัง ทำให้อำนาจวังในตกไปอยู่กับ เจ้าจอมเรียม ซึ่งมีลูกชายชื่อ ชายทับ เจษฎาบดินทร์เจ้าฉิมไม่ชอบการบริหารราชการบ้านเมือง โดยให้วังหน้า คือมหาเสนานุรักษ์ ซึ่งเป็นน้องชายว่าราชการแทนในตำแหน่งมหาอุปราช ส่วนเจ้าฉิมก็หมกมุ่นอยู่กับกวีและกามารมณ์เอาแต่แต่งวรรณคดี หลังจากที่มหาเสนานุรักษ์บริหารบ้านเมือง 8 ปี ก็สิ้นชีวิต
ใน 3 ปีสุดท้ายก่อนที่เจ้าฉิมจะเสียชีวิตได้ให้ชายทับลูกชายคนโตว่าราชการแทน แต่ชายทับไม่ใช่เจ้าฟ้าเพราะแม่เป็นแค่เจ้าจอม ขณะที่เจ้าฟ้ามังคุดที่เกิดจากมเหสีเอกยังเด็ก จนกระทั่งมังคุดอายุ 20 ปีได้บวช หลังจากบวชได้ 7 วัน เจ้าฉิมก็ถึงแก่กรรมแบบกระทันหัน ว่ากันว่า เจ้าจอมมารดาเรียมแม่ของชายทับซึ่งเป็นคนดูแลฝ่ายในเป็นคนวางยา เจ้าฟ้ามังคุดรีบเข้าวังหรือวัดพระแก้ว แต่ถูกปิดประตูขังอยู่ 7 วันก็มีคนมาเปิดประตู บอกว่าบิดาสวรรคตแล้ว เจ้าฟ้ามังคุดเดินเข้าไปในพระโรงที่ตั้งศพเห็นชายทับนั่งอยู่บนที่สูง มีแต่พวกของชายทับเต็มไปหมดก็ตกใจมาก คิดว่าตัวเองไม่รอดแน่จนปัสสาวะราดจีวรเปียก ชายทับจึงพูดปลอบใจว่าไม่เป็นไรเพราะเป็นพี่น้องกัน และถามว่า ตอนนี้บิดาก็สวรรคตแล้ว น้องจะว่าอย่างไร เจ้าฟ้ามังคุดก็ตอบว่า น้องก็ไม่ปรารถนาในทรัพย์สมบัติ ปรารถนาแต่ผ้ากาสาวพัตร ชายทับก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นดีแล้ว พี่จะรักษาแผ่นดินไปพลางก่อน หลังจากนั้นชายทับก็ขึ้นครองบัลลังก์ต่อไป เป็นเจ้าที่ขยันและบริหารบ้านเมืองจริงจังมาก ออกว่าราชการเอง ตรวจราชการเองจนกระทั่งดึกดื่น ทำให้เจ้าทับรามาที่ ร่ำรวย ฐานะประเทศค่อนข้างมั่นคง ทั้งเป็นนักรบที่โหดเหี้ยม ชอบการรบพุ่ง ในปี 2370 กองทัพสยามได้บุกตีทำลายกรุงเวียงจันทน์ เพราะทางหลวงพระบางแจ้งว่าเจ้าอนุวงศ์ขอความร่วมมือจะกู้เอกราชจากสยาม ทำให้ลาวแตกเป็นหัวเมืองย่อยๆ พร้อมทั้งขนเชลยจากลาวกลับมายังสยามและให้ตั้งถิ่นฐาน ณ บริเวณโขงตอนใต้ ที่ราบสูงโคราชหรือนำมาเป็นทาสขุดคลองที่บางกอก และกระจายไปอีกมากมายในปี 2374 เจ้าทับได้รวบรวมไพร่พลกว่า300,000 คนไปยึดครองภาคใต้ เมืองท่าปัตตานีถูกทำลายราบเป็นหน้ากลอง จับเชลยจากปัตตานีกว่า 4,000 คน ผูกเอ็นร้อยหวายร้อยโยงติดกันให้เดินทางร่วมพันกิโลเมตรมายังบางกอกที่สนามควายหรือถนนหลานหลวงในปัจจุบัน  

ฝ่ายเจ้าชายมังคุดหรือพระวชิรยางต้องบวชอยู่ถึง 27 ปี ใช้วิธีการซ่องสุมผู้คนและสะสมบารมีสารพัดทุกรูปแบบ มีสาวกมากมาย เป็นผู้ริเริ่มการเทศน์แบบปาฐกถาเหมือนการปราศรัยเร้าอารมณ์ โฆษณาด้วยวิธีที่แหวกแนว มีสาวกคอยช่วยโฆษณาชวนเชื่อ เช่น กระพือข่าวว่า ขณะที่บวชมีบรมธาตุพระปฐมเจดีย์แสดงปาฏิหาริย์ตามมาถึงกรุงเทพฯ ขณะธุดงค์ก็มีจระเข้ใหญ่ลอยขึ้นชมพระบุญญา เมื่อเข้าป่าก็พบเสือร้ายตัวใหญ่เท่าโค นอนชื่นชมบารมีโดยไม่ทำร้าย  มีปลาตะเพียนใหญ่กระโดดขึ้นตลิ่งแบบไม่มีสาเหตุ เมื่อไปสุโขทัยมีฝนตกใหญ่ 2 วันซ้อนในฤดูแล้ง มีแต่ปาฏิหาริย์ต่างๆมากมายที่จะสรรหามาโฆษณา พระวชิรยางหลอกให้คนเข้าใจว่าตนเป็นพระวิเศษและหาเรื่องบวชใหม่ถึง 6ครั้ง ทั้งๆที่ตนอยากเป็นกษัตริย์มากกว่าเป็นพระ แต่รู้ดีว่าถ้าสึกเมื่อใด ก็หัวขาดเมื่อนั้น จึงต้องทนสะสมกำลัง  
พอบวชอยู่ที่วัดมหาธาตุได้ไม่ถึงปี ก็วิจารณ์พระสงฆ์ไทยว่าไม่น่าเลื่อมใส ตอบปัญหาไม่ได้ อธิบายไม่ชัดเจน ตนต้องไปศึกษาพระธรรมวินัยจากพระมอญ หลังจากนั้น 5 ปี ก็กล่าวหาว่าสงฆ์หลายร้อยรูปในวัดมหาธาตุที่พระสังฆราชเป็นเจ้าอาวาส และเป็นพระอุปัชฌาย์ของตน เต็มไปด้วยพระอลัชชีไม่มีศีล ตนจึงหนีไปตั้งธรรมยุตินิกายที่วัดสมอรายหรือวัดราชาธิวาส ในปี 2376แล้วมาอยู่ที่วัดบวร ตั้งเป็นศูนย์กลางของธรรมยุติ แปลว่ายึดมั่นในธรรม โดยอ้างว่าเป็นนิกายที่มีความเคร่งครัดกว่า เป็นพุทธที่บริสุทธิ์กว่าและแท้จริงกว่า ยึดถือพิธีกรรมน้อยกว่า และได้ดูถูกเย้ยหยันนิกายเดิมหรือมหานิกาย ที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือกันอยู่ว่าเป็นนิกายที่โบราณคร่ำครึ ล้าสมัยงมงายไม่ใช้สติปัญญา ทั้งยังประกาศตนเป็นผู้นำพระสงฆ์ที่เหนือกว่าเจ้าทับรามา 3 โดยอ้างว่าเพื่อปฏิรูปและฟื้นฟูสงฆ์ ให้มีความถูกต้องและเข้มงวดตามพุทธบัญญัติ ซึ่งเป็นแค่ข้ออ้างเพื่อสร้างนิกายของตนเองขึ้นมาใหม่เพื่อเป็นฐานทางการเมืองส่วนตัว โดยตั้งตนเป็นประมุขของนิกายใหม่ ซึ่งเป็นเพียงการอวดอ้างสร้างบารมีเพื่อเตรียมเป็นกษัตริย์ในวันหน้า นอกจากนี้ยังโอ้อวดอภินิหารสารพัดเพื่อสร้างเสริมบารมี รวมทั้งการค้นพบหลักศิลาจารึกหลักที่ที่อ้างว่าเป็นหลักศิลาพ่อขุนรามคำแหง พบพระปฐมเจดีย์ อ้างว่าเป็นเจดีย์แห่งแรก ให้สร้างศาลหลักเมืองเพื่อผูกชะตาดวงเมืองและเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองสร้างสยามเทวาธิราช ให้เป็นเทวดาทำหน้าที่ปกปักรักษาราชอาณาจักร สร้างประเพณีให้เจ้าแต่งตั้งและมอบพัดยศแก่พระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
กำหนดให้วันเกิดของเจ้าและวันขึ้นครองบัลลังก์เป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ ที่มีการเฉลิมฉลองตามอย่างยุโรป เป็นการยกกษัตริย์ให้ศักดิ์สิทธิ์เทียบเท่าเทพเจ้าและพระพุทธเจ้า ซึ่งแม้แต่คนในราชวงศ์ก็ยังรู้สึกว่าชักจะมากเกินไปแล้ว ด้วยการโหมโฆษณาสารพัดทำให้วชิรยางหรือเจ้ามังคุดโดดเด่นมากจนคนเชื่อกันว่าคงไม่สึกแล้วเพราะมีศรัทธาในพระศาสนาแก่กล้ามากเมื่อเจ้าทับรามา 3 ป่วย ไกรสรรักษ์รณเรศซึ่งเป็นมือขวาของเจ้าทับ และเป็นศัตรูคู่อาฆาตของเจ้าชายมังคุด ได้เสนอให้ประหารเจ้าชายมังคุด เพราะไว้ใจไม่ได้ แต่เจ้าทับก็ไม่เชื่อและปล่อยไว้เรื่อยมา ทั้งเรียกรักษ์รณเรศเข้าพบเพื่อถามว่าทำไมถึงได้ซ่องสุมกำลังคน รักษ์รณเรศตอบว่า ตนจะไม่เป็นข้าใครนอกจากเจ้าทับ เจ้าทับจึงสั่งประหารรักษ์รณเรศด้วยท่อนจันทร์ที่วัดปทุมคงคาเขตสัมพันธวงศ์ ข้อหาซ่องสุมผู้คนเข้าข่ายเป็นกบฏ
 วันที่รักษ์รณเรศถูกประหารนั้น เจ้าชายมังคุดดีใจมาก สวดมนต์ตั้งแต่เช้าจนบ่าย วันนั้นมีญาติโยมเอาพระมาให้ จึงตั้งชื่อว่าไพรีพินาศ และสร้างเจดีย์ ชื่อ ไพรีพินาศ อยู่ในวัดบวร หลังจากนั้นการบริหารราชการจึงตกไปอยู่กับสองพี่น้องตระกูลบุญนาค คนพี่ คือ เจ้าพระยาพระคลัง(ดิศ บุนนาคส่วนน้อง คือ เจ้าพระยาศรีพิพัฒน์ (ทัต บุนนาค)ตอนปลายสมัย เมื่อเจ้าทับป่วยหนัก อยากให้ลูกคือเจ้าอรรณพขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่พวกบุนนาคได้ยกกำลังทหารเข้าล้อมวัง และเชิญเจ้าชายมังคุดรีบสึกทันทีแล้วนุ่งขาวเข้าวังมาเป็นกษัตริย์ เมื่อเจ้าชายมังคุดมาถึงหน้าวัง เจ้าทับจึงสวรรคต
 เมื่อเจ้ามังคุดขึ้นเป็นรามา 4 แล้ว แทนที่จะเคร่งในธรรม เพราะบวชมานานถึง 27 ปี แต่เมื่อขึ้นครองบัลลังก์ตอนอายุ 47 ปี ก็รีบมีชายาจำนวนมากถึง 50 คน มีลูก 82 คน เป็นเจ้าที่มีลูกมากที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย ในเวลาอันรวดเร็ว โดยชอบให้ขุนนางหรือราษฎรเอาผู้หญิงมาถวาย ถือว่าได้บุญเหมือนขนทรายเข้าวัด แม้ในบางครั้งมีเจ้าเมืองไปฉุดลูกสาวชาวบ้านมาถวายก็ตาม เจ้ามังคุดสะสมสนมในวังมากมายจนแน่นวัง แม้ตนจะแก่ชราเต็มที นางสนมทั้งหมดเพิ่งจะพ้นจากวัยเด็ก 

เจ้าจอมทับทิมในภาพยนต์เรื่อง Anna and the Kingเช่น เจ้าจอมทับทิม ที่แอนนา ลีโอโนเวนส์ เขียนไว้ว่า ทับทิมเป็นลูกชาวบ้านมีหน้าตางดงาม เมื่ออายุ 15 ปีได้เป็นผัวเมียกับนายแดง เมื่ออายุได้ 16 ปี ถูกเกณฑ์ไปเป็นคนงานก่อสร้างวัดราชประดิษฐ์ เจ้ามังคุดเห็นนางทับทิมในวันฝังลูกนิมิต จึงให้เอานางทับทิมเข้าวังเป็นสนม ฝ่ายนายแดงได้บวชเป็นพระที่วัดราชประดิษฐ์ จนได้เป็นพระครูใบฎีกา หรือพระครูปลัด ต่อมาเจ้าจอมทับทิมได้หายตัวไป มังคุดตั้งรางวัลนำจับ จนมีพระพบตัวทับทิม ซ่อนตัวอยู่ในกุฏิของพระครูปลัด โดยโกนศีรษะ โกนคิ้ว สวมจีวรปลอมตัวเป็นพระ และหลบออกมากับแถวพระที่เข้าไปรับบิณฑบาตในวัง และได้เข้าไปอยู่ในวัดราชประดิษฐ์ ร่วมกุฏิกับพระครูปลัด โดยพระครูปลัดไม่ทราบว่าเป็นหญิง และเป็นเมียเก่า เจ้าจอมทับทิมถูกจับขังพร้อมกับพระครูปลัด ในปี 2410 โดยถูกเฆี่ยนตี ทรมาน และเผาทั้งเป็น 
ส่วนเจ้าจอมที่มีอายุมากก็ถูกมองเป็นของเก่าแก่ถูกทอดทิ้งให้อยู่ตามลำพัง เช่น เจ้าจอมมารดาน้อยที่อยู่กินกับมังคุดตั้งแต่ขณะที่มิได้บวชเป็นพระ ไปทำให้มังคุดโกรธให้จับเอาตัวไปขังไว้ในวังหลวง ต้องติดคุกสนมจนตาย โดยไม่คิดถึงคุณงามความดีแต่ก่อนเลย
มังคุดไม่ชอบปิ่นเกล้าซึ่งเป็นน้องชายแท้ๆของตน ซึ่งตนตั้งให้เป็นวังหน้าหรือจุฑามณี โดยไม่เคยให้อำนาจทั้งๆที่เป็นนายทหาร ตอนมีศึกเมืองเชียงตุง ก็ไปตั้งวงศาธิราชสนิทเจ้ากรมแพทย์เป็นแม่ทัพใหญ่ ทำให้แพ้พม่ามา 2 ครั้ง ต่อมาปิ่นเกล้าตายด้วยยาพิษโดยมังคุดจ้างหมอให้วางยาในปี 2408  ตามบันทึกที่ของแอนนาเลียวโนเวนส์เลขาของมังคุดที่ได้เล่าว่ามังคุดเป็นคนที่โหดร้ายชั่วช้า อาฆาต พยาบาทอิจฉาริษยารุนแรง แถมบังคับสุนาถวิสมิตรา มเหสีของปิ่นเกล้าให้มาเป็นเจ้าจอมของตน แต่นางหลบหนีไปเมืองพม่าได้


มังคุดล้มป่วยหนักเป็นไข้ป่า จากการไปดูสุริยุปราคา และสิ้นชีวิต ในวันที่ 1 ตุลาคม2411
จุฬาซึ่งรอดตายจากไข้มาเลเลียจากการร่วมเดินทางไปดูสุริยุปราคาที่หว้ากอยังไม่ได้สืบบัลลังก์เต็มที่เพราะมีอายุแค่ 15 ปี อำนาจส่วนใหญ่จึงอยู่กับศรีสุริยวงศ์(ช่วง บุนนาค ซึ่งได้ใช้สิทธิ์พิเศษ แต่งตั้งเจ้านาย 2 คนเป็นเจ้าพร้อมๆ กัน คือทั้งจุฬาและยอดยิ่งยศ บวรวิไชยชาญ ลูกของปิ่นเกล้า ขึ้นเป็นวังหน้า 
แต่อำนาจการสั่งราชการอยู่ที่ศรีสุริยวงศ์ในฐานะผู้สำเร็จราชการ เป็นเวลา 5 ปี  ตระกูลบุนนาคมีอำนาจและอิทธิพลสูงมาก ขนาดในปี 2414 จุฬา ต้องขอยืมเงิน 8 ล้านบาทจากศรีสุริยวงศ์เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในราชสำนักและรัฐบาล พอเวลาผ่านไป พวกบุนนาคก็ทยอยเสียชีวิตไป โดยศรีสุริยวงศ์สิ้นชีวิตในปี 2426  ในขณะที่จุฬาก็ค่อยๆ แต่งตั้งญาติพี่น้องของตนที่ได้รับการศึกษาจากตะวันตก ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือลูกๆ ของมังคุด ที่มีถึง 82 คน เป็นการแทนที่อำนาจพวกบุนนาค ด้วยความสดใหม่ และการศึกษาที่ดีจากทางตะวันตก จุฬาแต่งตั้งน้องๆของตนเป็นสภาองคมนตรีและสภารัฐมนตรี ตามแบบอังกฤษ พยายามรวมศูนย์ ดึงอำนาจการเก็บภาษีอากรไว้ที่หอรัษฎากรซึ่งตนควบคุมอยู่ สร้างทางรถไฟ เพื่อส่งกองทัพไปควบคุมขุนนางตามหัวเมืองทำให้มีภาษีอากรเข้าท้องพระคลังมากกว่าเดิม ส่งลูกหลานญาติพี่น้องไปควบคุมหัวเมืองต่างๆ ที่ในอดีตปกครองกันโดยเจ้าเมืองท้องถิ่นที่เรียกว่าประเทศราช ประชาชนในพื้นที่รอบนอกต่างไม่พอใจ และต่อต้านวงศ์จักราวีที่จะเพิ่มการรีดนาทาเร้นยิ่งขึ้นไปอีก จุฬามีที่ปรึกษาชาวตะวันตก จัดการบริหารประเทศแบบสมัยใหม่ ก่อตั้งโรงเรียนข้าราชการพลเรือน โรงเรียนทหารบกและทหารเรือ จัดสรรงบประมาณสำหรับกระทรวงและกรมต่างๆ รัฐมีรายได้มากขึ้นเพราะมีการเปิดตลาดการค้ามากขึ้น อิทธิพลของพวกขุนนางลดน้อยลงไปมากจุฬาจัดสรรสัมปทานและที่ดินให้สมาชิกวงศ์จักราวี ยกที่ดินจำนวนมหาศาลให้ญาติพี่น้อง เพื่อให้สามารถเลี้ยงดูตนเองได้ โดยอาศัยการเก็บค่าเช่าที่ดินในเมืองและค่าเช่านา เพื่อเป็นรายได้มีการใกล้ชิดราษฎร ด้วยการปรากฏตามที่สาธารณะมากขึ้น ยกเลิกกฎที่ไพร่จะต้องหมอบกราบเวลาเข้าพบ ปรับปรุงการบริหารประเทศเพื่อรวมศูนย์อำนาจมาอยู่ที่ตนเอง หรือสถาปนาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เพราะนายทหารและข้าราชการระดับสูง ล้วนเป็นญาติพี่น้องที่จุฬาแต่งตั้งเองทั้งสิ้นยกฐานะนิกายธรรมยุติ ให้สูงกว่ามหานิกายโดยแต่งตั้งวชิรญาณเจ้าอาวาสวัดบวรหัวหน้าธรรมยุติ ให้เป็นสังฆราช มีการออกพรบ.สงฆ์ 2445ให้รัฐบาลรับผิดชอบกิจการสงฆ์ มีสมเด็จพระราชาคณะ และมีรองสมเด็จรวมเป็น 8 รูป ยกขึ้นเป็นมหาเถรสมาคมปกครองสงฆ์ และแต่งตั้งชั้นยศของสงฆ์ ทำให้เจ้ากลายเป็นประมุขสงฆ์ ให้วงการสงฆ์เป็นเครื่องมือเชิดชูและแผ่อำนาจของวงศ์จักราวีมีการเลิกทาสในปี 2417 และยกเลิกการเกณฑ์แรงงานไพร่ในปี 2421 เพื่อลดการซ่องสุมไพร่พลของขุนนางใหญ่ในกรุงและหัวเมือง โดยเฉพาะตระกูลบุนนาค ประกอบกับสยามเริ่มผลิตข้าวส่งออก จึงต้องการแรงงานอิสระเพื่อการผลิต มีการรวมศูนย์อำนาจทำให้ขุนนางไม่พอใจมาก ทำให้จุฬาได้ภาษีอากรมากกว่าเดิมมากมาย แต่ถูกนำไปใช้อย่างฟุ่มเฟือย มีการสร้างปราสาทราชวังมากที่สุด พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทแบบวิกตอเรียขนาดใหญ่ พระที่นั่งอนันตสมาคมซึ่งเป็นหินอ่อนอิตาลีทั้งหลัง เจ้าและมเหสีใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย สะสมเครื่องเพชรอัญมณีชั้นยอดมากกว่าใครในย่านเอเซีย
จุฬามีลูกทั้งหมด
 77 คน มีมเหสี 9 องค์ ที่เด่นๆ คือ สุนันทาเรือล่ม สว่าง เสาวภาหรือพัชริน ทั้งสามคนมีพ่อคือมังคุดและมีแม่คือเจ้าจอมเปี่ยม 
จุฬามีลูกทั้งหมด 77 คน มีมเหสี 9 องค์ ที่เด่นๆ คือ สุนันทาเรือล่ม สว่าง เสาวภาหรือพัชริน ทั้งสามคนมีพ่อคือมังคุดและมีแม่คือเจ้าจอมเปี่ยม 
ขณะที่พวกเจ้าเสพย์สุขอยู่ในวัง ชาวไร่ชาวนาซึ่งเป็นคนกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ต้องยากจนขัดสน ต้องกู้เงินเสียดอกเบี้ยแพง ต้องรีบขายข้าวในราคาต่ำ แต่เจ้ากลับมิได้เหลียวแล เอาเงินของแผ่นดินไปใช้ส่วนตัว ทำให้ขาดงบประมาณที่ใช้พัฒนาบ้านเมือง ราชสำนักได้รับงบถึง 1/7  ขณะที่ประชาชนหลายล้านคนที่เสียภาษี กลับได้รับงบเพียง 1/6 หรือพอๆกับรายจ่ายสำหรับเจ้าเพียงคนเดียวชาวนาภาคกลางต้องเสียภาษี ดอกเบี้ยและค่าเช่า รวม 60% ส่วนชาวนาอิสานต้องเร่ร่อนไปหากินยังที่ต่างๆ ในปี 2433 และ 2452 ชาวนายื่นฎีกาขอกู้เงินหลวงเพื่อนำไปซื้ออาหาร แต่จุฬาปฏิเสธ ทั้งๆที่ยอมปล่อยเงินกู้ให้พ่อค้าจีน เพราะได้ดอกเบี้ยงาม
 
 จุฬาไม่ได้เก่งกล้าสามารถอย่างที่ร่ำลือกัน เมื่อไหร่ที่มีเรื่องกระทบจิตใจ ก็จะหยุดบริหารบ้านเมืองทันที บางครั้งก็หยุดไปเป็นเดือน งานการคั่งค้าง ให้ดำรงสะสางแทน เช่น ถ้ามีเหตุลูกเมียตาย ก็จะหยุดบริหารบ้านเมือง หรือถ้าเมียป่วยก็จะหยุดว่าราชการ ซึ่งจุฬามีลูกเมียรวมกันเป็นร้อยบางทีต้นพยอมออกดอกทั่วทั้งวังก็ให้หยุดว่าราชการทันที วังสมัยจุฬาจึงเป็นวังที่สนุกสนานรื่นเริงเสมอ จุฬาส่งแต่ลูกหลานและญาติๆของตนไปเรียนนอก เกือบไม่มีสามัญชนที่จะมีโอกาสได้ไปศึกษา จนกระทั่งปลายสมัยจึงเริ่มให้นักเรียนที่สอบได้ที่ 1 ของประเทศ 2 คนได้ไป ลูกๆที่ส่งไปเรียนที่เมืองนอกทั้งหมดก็ให้เรียนวิชาทหารเท่านั้น หรือต้องเรียนวิชาทหารก่อน ยกเว้นราชบุรีที่ได้เรียนวิชากฎหมายสมัยจุฬาถือได้ว่าประเทศไทยกับญี่ปุ่นเริ่มพัฒนาพร้อมกัน แต่ญี่ปุ่นนำเงินไปพัฒนาประเทศ พัฒนาเทคโนโลยี พัฒนาอู่ต่อเรือ ญี่ปุ่นส่งคนไปนอกเพื่อพัฒนาความรู้ด้านต่างๆให้เก่ง แต่จุฬา อยากให้ลูกของตนทุกคนต้องมีวังเป็นของตัวเองเมื่ออายุครบ18 ปี งบประมาณจึงหมดไปกับการสร้างวังเป็นจำนวนมาก โดยย้ายจากมหาราชวังวัดพระแก้วมาอยู่ที่วังดุสิตโดยมีจุดเด่นคือวังอนันตสมาคมที่สร้างจากหินอ่อนที่นำเข้าจากอิตาลี  ลูกหลานของจุฬาทุกคนต้องมีเบี้ยหวัดเงินปีขั้นเศรษฐีกันทุกคน แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปพัฒนาประเทศฉะนั้นในสมัยราวุธและธิปก จะเห็นวังทุกหัวถนนเต็มไปหมดในกรุงเทพที่สนามหลวงมีวังหน้า (พุทไธศวรรย์ของบวรสถาน ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งชาติเลี้ยวไปถนนราชสีมามีวังสวนสุนันทา เพราะวังดุสิตเริ่มคับแคบวังปารุสกวัน มุมถนนพิษณุโลก ของจักรพงษ์เป็นของขวัญหลังเรียนจบการทหารจากรัสเซีย ปัจจุบันเป็นสำนักข่าวกรองแห่งชาติ และบก.ตำรวจนครบาลวังชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ หรือ วังนางเลิ้ง ใกล้ทำเนียบรัฐบาล ต่อมาเป็นโรงเรียนพณิชยการพระนครวังศุโขทัยที่ถนนสามเสนสร้างให้ธิปกเลี้ยวไปอีกเป็นวังลดาวัลย์ ให้เป็นที่อยู่ของยุคล เมื่อคราวใกล้จบจากเคมบริดจ์ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งสำนักงานทรัพย์สินของลุงสมชายมาทางถนนราชวิถีก็มีวังพญาไท ใช้เป็นที่ชมการทำนา การปลูกผักและการเลี้ยงสัตว์
วังสะพานขาว ริมถนนหลานหลวงตัดกับถนนกรุงเกษม สร้างให้วุฒิไชยเมื่อเรียนจบทหารเรือจากอังกฤษ เคยเป็นที่ทำการกรมประชาสงเคราะห์ ปัจจุบันเป็นกรมพัฒนาสังคมวังมหานาค ริมคลองมหานาค ใกล้สะพานกษัตริย์ศึก สร้างให้จิรประวัติ หลังจบการทหารที่เดนมาร์ก ต่อมาวังนี้ถูกตัดแบ่งขาย เป็นตลาดมหานาค โรมแรมปริ๊นซ์พาเลช และโบ๊เบ้ทาวเวอร์วังบูรพาภิรมย์หรือวังบูรพา สร้างให้ภาณุรังษีน้องสุดท้องของเทพศิรินทรา ต่อมาขายให้เอกชน มีการรื้อวังออก สร้างเป็นศูนย์การค้าและโรงภาพยนตร์คิงส์ ควีนส์ และแกรนด์ รวมกับตลาดมิ่งเมือง ปัจจุบัน คือ ดิโอลด์สยามและโรงหนังเฉลิมกรุงวังจักรพงษ์หรือวังท่าเตียน ของจักรพงษ์ สมัยจุฬามีการสร้างวังทุกหัวถนน จนเป็นเหตุให้ต้องมีการปฏิวัติ 2475 เพราะประชาชนจะลำบากแค่ไหนแต่วังทุกวังจะต้องสนุกสนานเสมอและวังบางวังใหญ่โตมาก เช่น วังบางขุนพรม ของบริพัตรซึ่งร่ำรวยมาก มีวงดนตรีส่วนตัว มีทั้งวงดนตรีไทย วงดนตรีสากล จะกินอาหารก็ต้องมีดนตรีบรรเลง จะนอนก็ต้องมีวงดนตรีกล่อม
เรื่องการประกาศเลิกทาสเหมือนเป็นคุณงามความดีที่ทำให้จุฬาได้เป็นอัครมหาราชา แต่ประเทศไทยเลิกทาสเป็นอันดับสุดท้ายของโลก หลังจีน อินเดีย ญี่ปุ่น อังกฤษ ฝรั่งเศส อเมริกา เนเธอร์แลนด์ ที่ทุกประเทศเลิกทาสก่อนประเทศไทยหมดการเลิกทาสเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องเลิกอยู่แล้ว แต่จุฬาออกพรบเกษียณอายุลูกทาสในปี 2417 ให้ทาสที่เกิดตั้งแต่ปีที่ตนขึ้นครองบัลลังก์ ยังเป็นทาสต่อไปอีกจนกว่าอายุครบ 21 ปี ถึงจะเลิกเป็นทาส และออกพรบ.เลิกทาสในปี 2448 เพราะว่าจุฬาเกรงใจขุนนาง ขณะที่เศรษฐกิจเริ่มเป็นแบบสมัยใหม่แล้ว การปลูกข้าวเพื่อส่งออกก็ต้องการชาวนา เริ่มมีอุตสาหกรรม มีโรงเลื่อยไม้ โรงสีข้าว ซึ่งต้องการกรรมกรที่เป็นแรงงานอิสระแต่ประชาชน กลับตกเป็นเป้าแห่งการรีดนาทาเร้นจากวงศ์จักราวีมากขึ้นกว่าเดิม และภาษีกว่า 80% ที่เก็บได้ ถูกดูดเข้ามายังคลังหลวงเพื่อหล่อเลี้ยงกรุงเทพเท่านั้น 
กระบวนการจัดเก็บภาษีของวงศ์จักราวี ส่งผลให้มีการต่อต้านการรวมศูนย์อำนาจที่สั่งการจากเบื้องบนอย่างต่อเนื่องและการใช้มาตราการปราบปรามอย่างรุนแรงต่อประชาชนในเมืองที่ห่างไกล ที่ต้องทนกับการถูกขูดรีดภาษีจนไม่เหลืออะไรไว้สำหรับการดำรงชีวิตของตัวเองและครอบครัว จนจำต้องลุกขึ้นมาต่อสู้จุฬาบังคับปัตตานีให้จ่ายภาษีตรงมายังท้องพระคลัง โดยใช้กองกำลังและความรุนแรงเพื่อบีบบังคับให้ชาวปัตตานีต้องปฎิบัติตาม เช่นเดียวกับที่เคยทำในอดีต โดยไม่เคยไว้วางใจชาวมุสลิมมาเลย์ที่พูดภาษายาวี ไม่สนใจพัฒนาภาคใต้อย่างแท้จริงประชาชนชาวอิสานก็ลุกขึ้นต่อสู้การกดขี่ของวงศ์จักราวีที่เรียกว่า กบฏผู้มีบุญอีสาน โดยมีผู้ตั้งตัวเป็นผู้มีบุญ ถึง 60 คน กระจายอยู่ถึง 13 จังหวัด การลุกขึ้นสู้ของกบฏร้อยเอ็ดในปี 2444 ที่นักสู้อิสานได้จับมีดพร้าลุกขึ้นสู้กับกองกำลังของจุฬา ในครั้งนั้นผู้กล้าชาวอิสานหลายร้อยคนต้องถูกสังหาร แกนนำหลายคนถูกตัดหัวเสียบประจานที่ทุ่งศรีเมือง อุบลราชธานี สงครามเพื่อขยายราชอาณาจักรของวงศ์จักราวี ควบคู่ไปกับวัฒนธรรมและภาษาไทย รวมทั้งการส่งเสริมพุทธศาสนาแค่เปลือกนอกเพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ศูนย์รวมใจของประชาชนวงศ์จักราวีเก่งในการปราบปรามประชาชนแต่ไม่เคยคิดสู้กับฝรั่งต่างชาติเลย และไทยก็เป็นประเทศเดียวในโลกนี้ที่ยอมเสียดินแดนให้พวกฝรั่งโดยไม่ต้องมีการต่อสู้เลย บ้านเมืองอื่นฝรั่งอยากได้ดินแดนต้องรบเอาอย่างเดียวเท่านั้น แต่เมืองไทยยกให้เลย แล้วยังอ้างว่าเป็นความปรีชาสามารถ ซึ่งที่จริงแล้วเป็นแค่นโยบายสิ้นคิดเท่านั้นเอง
บางดินแดนฝรั่งไม่ได้ขอแต่เจ้าไทยกลับยกให้เอง เช่น ไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู ปะริด ทั้ง 4 แคว้นนี้ จุฬายกให้ฝรั่งเอง เนื่องจากในราวปี 2440 จุฬาได้ทำสัญญาลับกับอังกฤษ ยอมให้อังกฤษได้สัมปทานแร่ดีบุกภาคใต้เพียงผู้เดียวและสัมปทานป่าไม้ภาคเหนือ  พอเยอรมันมาขอสัมปทานรถไฟในภาคใต้บ้าง  รัฐบาลสยามจึงไปขอเจรจาแก้สัญญากับอังกฤษ แต่อังกฤษไม่ยอม จึงต้องยกดินแดน เช่น ไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู ปะริด ให้อังกฤษอีก อังกฤษจึงยอมแก้สัญญา โดยจุฬาอธิบายว่า ขืนเอาไว้ก็รักษามิได้ ซึ่งเป็นคำอธิบายที่ไม่มีเหตุผลแม้แต่น้อยเมื่อฝรั่งเศสยึดจันทบุรี จุฬาไปเจรจาขอให้ฝรั่งเศสถอนกำลังจากจันทบุรี และจะยกพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณให้ ซึ่งเป็นการแลกที่เสียเปรียบ และยังเอาจำปาศักดิ์ไปแลกกับเมืองตราด ซึ่งจำปาศักดิ์เป็นเมืองเอกมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลจรดประเทศเขมร แต่เมืองตราดมีพื้นที่นิดเดียว 
ทางรถไฟที่สร้างเป็นสายแรก คือสายปากน้ำ เพื่อให้เจ้านายที่เดินเรือจากต่างประเทศได้นั่งรถไฟเข้ามากรุงเทพเท่านั้นเอง ทางรถไฟที่สร้างไปหัวหินก็เพราะเจ้านายที่กลับมาจากต่างประเทศจะได้ไปตากอากาศที่ชายทะเลหัวหิน ที่จริงแล้วทางรถไฟส่วนใหญ่มาเริ่มสร้างสมัยจอมพล ป.จุฬาสร้างโรงพยาบาลศิริราชเพราะลูกชายชื่อศิริราชป่วยและตายตั้งแต่เด็ก ทำให้เสียใจมากจึงสร้างโรงพยาบาลศิริราชตามชื่อลูกที่ตายไปสร้างโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย โดยเก็บเงินค่าการศึกษา 24 บาทซึ่งแพงมากสำหรับราษฎรสมัยนั้น โดยอ้างว่าต้องการให้เป็นที่ศึกษาของกุลบุตรผู้มีสกุล พวกไพร่เลวไม่สามารถเข้าเรียนได้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับจุฬาเลย ที่จริงถูกตั้งขึ้นสมัยราวุธโดยเอาเงินที่เหลือจากการสร้างอนุสาวรีย์ทรงม้าไปสร้างจุฬา จากการผลักดันของสุรศักดิ์มนตรี ซึ่งเป็นอาจารย์ของราวุธซึ่งราวุธก็ไม่ได้เห็นด้วยเลย แต่เนื่องจากว่าสุรศักดิ์มนตรีเป็นผู้ดูแลและเป็นอาจารย์ตั้งแต่ตอนที่อยู่อังกฤษก็เลยยอมในตอนนั้นราวุธต้องการสร้างโรงเรียนวชิราวุธซึ่งเป็นโรงเรียนของคนชั้นสูง แต่กระเบื้องที่มุงหลังคามีไม่พอ จึงสั่งให้เอากระเบื้องจากจุฬาลงกรณ์ไปมุงแทน และให้จุฬาลงกรณ์ใช้หลังคามุงจาก ส่วนสถานเสาวภากาชาดไทยก็พัฒนามาจากโรงเรียนเสาวภาที่เสาวภาแม่ของราวุธเปิดเป็นโรงเรียนเพื่อให้สตรีเข้ามาศึกษาการเป็นกุลสตรี จะได้เป็นเมียที่ดีของพวกขุนนางจุฬาได้เตรียมการสืบทอดทายาทและสืบทอดอำนาจไว้อย่างเต็มที่ ด้วยการมีลูกถึง 77 คน กับนางสนม 36 คน จากสนมทั้งหมด 92 คน โดยมีลูกกับพระมเหสีที่เป็นทางการ 18 คน รวมถึงมหิดรพ่อของพูมลำพอง โดยมเหสีทั้ง 3 ล้วนเป็นน้องสาวต่างแม่ คือ เป็นลูกของมังคุดเหมือนกัน เป็นการประกันความบริสุทธิ์ของสายเลือดวงศ์จักราวี คือ พี่น้องที่มีพ่อคนเดียวกันมาแต่งงานกันเองโดยไม่มีสายเลือดของสามัญชนเข้ามาเกี่ยวข้อง 
จุฬาได้ตั้งวชิรุณหิศ ลูกของสว่าง เป็นทายาท แต่อยู่ได้เพียง 8 ปี ก็เสียชีวิต ในปี 2437 อายุแค่ 16 ปี จุฬาให้ลูกสว่าง (หรือแม่กลางกับลูกแม่เล็ก (คือเสาวภาให้เหมือนแม่เดียวกัน เรียงตามอายุในการสืบบัลลังก์ จึงแต่งตั้งราวุธ และยกให้แม่เป็นมเหสีเอก คือเสาวภา ขึ้นเป็นศรีพัชรินทร มีลูกชายขึ้นเป็นเจ้า 2 คนต่อกัน คือราวุธและธิปก23 ตุลาคม 2453 จุฬาสิ้นชีวิต ราวุธได้ครองบัลลังก์ โดยจบจากออกฟอร์ดแล้วเรียนทหารที่แซนเฮิร์ส ได้สร้างอุดมการณ์แห่งชาติขึ้นใหม่ คือ ชาติ ศาสนาและกษัตริย์ กำหนดวันจักราวีและวันจุฬาเป็นวันหยุด ก่อตั้งกองเสือป่าขึ้นตรงต่อราชสำนัก เพื่อปลูกฝังความรักภักดี ปรับปรุงกองทัพบกและกองทัพเรือด้วยยุทโธปกรณ์ใหม่ๆ ก่อตั้งธนาคารสยามกัมมาจล (ไทยพาณิชย์เป็นธนาคารแห่งแรกของไทย และบริษัทปูนซิเมนต์ไทยโดยมีสำนักงานทรัพย์สินของเจ้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
แต่วงศ์จักราวีใหญ่โตมาก เพราะมังคุดและจุฬามีลูกหลานมาก รวมๆกันแล้วประมาณ 500 คน อยู่ใน 28 สกุลที่สืบเชื้อสายจากลูกของมังคุด นอกจากจุฬาที่มีลูกถึง 77 คนแล้วพี่น้องอีกคนหนึ่งในรุ่นเดียวกันก็มีลูกถึง 73 คน และหลายคนมีลูกคนละ 40-50 คน  ดำรงก็มีลูก 37 คน บรรดาลูกท่านหลานเธอเหล่านี้ เป็นภาระหนักอึ้งของท้องพระคลัง หรืองบประมาณแผ่นดิน สมัยจุฬาได้ลดภาระ โดยการไม่ให้ลูกสาวจำนวนมากแต่งงานอย่างเป็นทางการ แต่ในสมัยราวุธพวกเชื้อเจ้าจำนวนมาก กลับใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยจนน่าตกใจ พากันออกท่องเที่ยวทั่วโลก และโยกย้ายเงินทองออกนอกประเทศ เพื่อเตรียมตัวหนีเผื่อมีการปฏิวัติล้มล้างระบอบเจ้า แบบที่เกิดในจีนและรัสเซีย ธิปกใช้การจำกัดชั้นเชื้อพระวงศ์ และให้ใช้นามสกุลแบบตะวันตก เพื่อให้ชัดเจนว่าใครเป็นใคร และประกาศนโยบายแห่งชาติให้มีผัวเดียวเมียเดียว แต่สมาชิกวงศ์จักราวีก็ยังมีมากมายอยู่ดีเศรษฐกิจยิ่งแย่ลง แต่ราวุธกลับใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมากขึ้นในเรื่องโขนละคร ไม่ยอมแบ่งเงินไปพัฒนาประเทศ ประชาชนได้รับงบประมาณเพียงเล็กน้อยไม่ผิดกับสมัยจุฬาจนมีหนี้ส่วนตัวหลายล้านบาท ส่วนหนึ่งเกิดจากการซื้อเพชรพลอย แจกข้าราชบริพารคนโปรด สั่งกระทรวงพระคลังมหาสมบัติจ่ายเงินแผ่นดินใช้หนี้ของตนเพิ่มอีก 3 ล้านบาท
ราวุธไม่มีมเหสี คนรับใช้ใกล้ชิดส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายทั้งนั้น ที่โปรดปรานมาก ก็คือ 2 คนพี่น้อง คนพี่ชื่อ เฟ้อ พึ่งบุญ คนน้องชื่อ ฟื้น พึ่งบุญ ลูกหลานของรักษ์รณเรศ ลูกของทองด้วงที่ถูกประหารสมัยองค์ทับ 
 คนพี่เล่นเป็นเป็นพระราม จึงได้ชื่อว่าพระยารามราฆพได้บ้านนรสิงห์หรือทำเนียบไทยคู่ฟ้า คนน้องเล่นเป็นพระอนุชาจึงตั้งชื่อเป็นอนิรุธเทวาได้บ้านพิษณุโลกหรือบ้านบรรทมสินธุ์ เนื้อที่ 50 ไร่ตรงข้ามสนามม้านางเลิ้ง โดยสถาปนิกอิตาเลียนซึ่งว่างจากงานก่อสร้างวังอนันตสมาคมเป็นผู้ออกแบบ อุดมราชภักดี (โถ สุจริตกุล) อดีตอธิบดีกรมชาวที่ได้บ้านมนังคศิลา ถนนหลานหลวงราวุธชอบรามราฆพมากให้เข้าออกห้องนอนได้ตลอดเวลา ส่วนใหญ่ราวุธจะให้รามราฆพว่าราชการและเซ็นหนังสือแทน เพราะราวุธหกชอบเขียนหนังสือและแต่งนิยายมากกว่างานราชการ บางวันราวุธหกสวมเสื้อสีแดงนุ่งโจงกระเบนเสื้อลายดอก ประแป้ง จูงมือรามราฆพออกว่าราชการ ส่วนรามราฆพแต่งชุดทหาร พฤติกรรมของราวุธที่อยู่ท่ามกลางหนุ่มๆ และไม่มีภรรยา จึงเป็นที่ครหา เมื่อครองบัลลังก์ไประยะหนึ่งแล้ว จึงตัดสินใจที่จะมีมเหสีคนแรกที่เป็นคู่หมั้น คือวรรณวิมล หรือ วัลลภาเทวี ซึ่งเป็นลูกของนราธิป พอต่อมาเกิดวิวาทกัน และมีการเขียนเพลงยาวด่ากัน ราวุธโกรธมาก จึงสั่งจับขัง 
ราวุธขัดแย้งกับขุนนางผู้ใหญ่จำนวนมากโดยเฉพาะราชบุรี ที่จบกฎหมายมาจากนอก เป็นเสนาบดียุติธรรม แต่ถูกราวุธแกล้งย้ายให้มาเป็นเสนาบดีเกษตร ราชบุรีจึงขอลาออกจากราชการ กลายเป็นศัตรูกันมาตลอด 



  

ดำรงซึ่งเป็นเสนาบดีมหาดไทย ถูกย้ายเป็นเสนาบดีธรรมการแล้วแต่งตั้งนายปั้นที่เคยเป็นเสมียนของดำรงให้เป็นพระยายมราช แล้วเป็นเสนาบดีมหาดไทยแทน 


เป็นที่รู้กันว่าจุฬารักลูกคนถัดมามากกว่า คือ จักรพงษ์เป็นคนที่มีบุคลิกดีหน้าตาดี อัธยาศัยดี ตามใจพ่อ ขณะที่ราวุธ อ้วนเตี้ย หัวล้าน ไม่น่ารัก แถมเอาแต่ใจตนเอง ซึ่งจุฬาไม่ชอบเลย แต่เป็นลูกคนโปรดของแม่เล็ก  จุฬาจึงทำอะไรไม่ได้ 

จุฬารักจักรพงษ์มากจึงส่งไปเรียนการทหารที่รัสเซีย แต่ได้เมียรัสเซียคือคัทลินกลับมาด้วย พอราวุธ ขึ้นครองบัลลังก์ จึงให้จักรพงษ์เป็นเสนาธิการทหาร แต่ก็ไม่ไว้ใจนัก จนกระทั่ง ปี 2460 ราวุธ จึงออกกฎมณเฑียรบาล ห้ามเจ้าชายที่มีภรรยาเป็นคนต่างด้าวเป็นรัชทายาทในตอนนั้นจักรพงษ์มีสิทธิเป็นรัชทายาท เนื่องจาก ราวุธไม่มีลูกชาย จักรพงษ์ขอหย่ากับคัทลิน แล้วจะแต่งงานใหม่ทันทีกับชวลิตโอภาส ลูกสาวของราชบุรี แต่ราวุธไม่อนุญาตให้แต่งงาน จึงต้องร่วมชีวิตกันเองโดยไม่มีพิธีสมรส และได้ขอลาออกจากราชการแต่ราวุธก็ไม่อนุญาต ต่อมาจึงขอลาไปพักผ่อนหลังและเสียชีวิตด้วยโรคปอดบวมระหว่างเดินทาง โดยมีข่าวว่าถูกราวุธสั่งวางยา ทำให้เสาวภาโกรธมาก ไม่พูดกับราวุธอีกเลยได้มีความพยายามลุกขึ้นเรียกร้องรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยครั้งแรกของไทยโดยกลุ่มทหารหนุ่มเมื่อปี 2455 เรียกว่ากบฏ ร..130 ซึ่งเป็นช่วงแรกแห่งการขึ้นครองบัลลังก์ของราวุธ ทางการได้เข้าจับกุมกลุ่มนายทหารหนุ่มประมาณ 150 คน ด้วยข้อหาวางแผนสังหารราวุธ แกนนำ 25 คน ถูกตัดสินจำคุก 12 ปีราวุธไม่มีลูก ทั้งที่อยากจะมี  เมื่อล้มป่วยและมเหสีกำลังจะคลอด และในตอนนั้นถ้าได้ลูกชายจะประโคมแตรสังข์ ถ้าได้ลูกสาวจะเป็นมโหรี ขณะที่นอนป่วยอยู่ ธิปกก็อยู่ข้างๆ พอ ราวุธได้ยินเสียงมโหรีก็น้ำตาไหลพราก เพราะรู้ว่าลูกของตนเป็นผู้หญิง ซึ่งธิปกตั้งชื่อให้ว่าเพชรัตนราวุธไม่มีลูกชาย บัลลังก์จึงสืบทอดไปสู่น้องชายร่วมแม่เดียวกัน เริ่มจากจักรพงษ์แต่เสียชีวิตปี 2463 ถัดมา คืออัษฎางค์ก็เสียชีวิตในปี 2467  จุฑาธุชก็สิ้นชีพไปก่อนหน้าในปี 2466จึงเหลือแต่ธิปกคนเดียวขึ้นครองบัลลังก์เป็นรามา 7คนที่มีอำนาจมากที่สุดในตอนนั้นคือบริพัตรเสนาบดีทหารเรือ ทำให้ธิปกไม่กล้าขึ้นนั่งบัลลังก์ จนกระทั่งมีการตกลงกัน ว่าถ้าธิปกไม่มีลูก ก็จะยอมให้จุมภฏลูกชายคนโตของบริพัตรขึ้นครองบัลลังก์ เนื่องจากธิปกเป็นเจ้าองค์แรกที่มีมเหสีคนเดียว และเป็นน้องสุดท้อง ไม่มีทีท่าว่าจะได้ขึ้นครองบัลลังก์ พวกพี่ๆจึงเสนอให้ไปบวชและเอาดีทางศาสนา แต่ธิปกอ้างว่ามีคู่รักแล้ว จึงแต่งงานกับรำไพพรรณี แต่ไม่มีแนวโน้มว่าจะมีลูกเป็นรัชทายาทสมัยธิปกได้ฟื้นอำนาจพวกเจ้านายและทำการปลดขุนนาง แต่ธิปกไม่มีความคิดป็นของตนเอง เพราะไม่ได้เตรียมตัวที่จะเป็นเจ้า จึงไม่มีความรู้ทางด้านการทหารเลย เขียนภาษาไทยก็ไม่ได้ พูดได้อย่างเดียว เพราะตอนนั้นนิยมแต่ภาษาอังกฤษ เนื่องจากตนเป็นน้องคนเล็กสุด จะทำอะไรก็เกรงใจคนอื่นไปหมด จึงบริหารราชการแบบไม่มีหลักการ และเชื่อฟังญาติผู้ใหญ่มากไป 
ธิปกรู้ตัวดีว่าฐานะของตนกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของโลก และได้ถูกล้มล้างไปแล้วในหลายๆประเทศ ธิปกสั่งตัดงบค่าใช้จ่ายของราชสำนัก ปลดข้าราชการออกจำนวนมาก และลดเงินใช้จ่ายของตนลงไปครึ่งหนึ่ง ทำให้สถานะของรัฐบาลก็พลิกฟื้นขึ้นมาภายในปีเดียว และพยายามเข้าไปมีบทบาททางวิชาการ และการประชุมของต่างๆ มีการประทานปริญญาบัตร ประทานกระบี่แก่นักเรียนนายร้อย การถวายสัตย์ปฏิญาณตน มีการฟื้นพิธีกรรมหลายอย่าง เพื่อฟื้นฟูอำนาจและบารมีให้เหมือนจุฬา เช่น พิธีโกนจุก แรกนาขวัญ กฐินหลวงที่วัดอรุณที่มีพิธีขบวนเห่เรืออันใหญ่โต ธิปกเริ่มการบูรณะวัดเก่า บีบให้สื่อมวลชนสรรเสริญเจ้า ใครวิพากษ์วิจารณ์เจ้าก็จะถูกข่มขู่ ส่วนที่นิยมระบอบสาธารณรัฐหรือระบอบประธานาธิบดีก็จะถูกปิดแต่ในสมัยราวุธที่เพิ่งผ่านพ้นไปนั้น สิ่งต่างๆย่ำแย่ลงมาก ข้าราชการทุกคนน่าสงสัยว่าจะเป็นพวกฉ้อฉลทุจริต ราชสำนักเป็นที่เกลียดชังและถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม ในปลายปี 2470 มีการเลื่อนชั้นของเชื้อสายจักราวีชั้นกลาง ให้ขึ้นมาอยู่ในชั้นเจ้า มีอานานลูกของมหิดร และพูมลำพองที่เกิดตามมา มหิดรเป็นทายาทลำดับหนึ่งในตอนนั้นเพราะธิปกยังไม่มีลูก ได้ถูกเรียกตัวกลับประเทศจากบอสตัน สหรัฐอเมริกาปลายปี 2473 เกิดวิกฤติทางการเงินของสหรัฐ ส่งผลไปทั่วโลกรวมทั้งสยาม รายได้หลักของรัฐคือภาษีจากสินค้าส่งออกและนำเข้าลดฮวบ ธิปกเสนอให้จัดเก็บภาษีรายได้ทั่วไปและภาษีทรัพย์สินแต่พวกเชื้อสายจักราวีปฏิเสธอย่างเด็ดขาด และบังคับให้มีการลดเงินเดือนและจำนวนข้าราชการลง ลดงบประมาณทางทหารด้วย เกิดความโกรธเคืองแก่ชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ มีกระแสการก่อกบฏและแล้วสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของสยาม ก็ต้องพ่ายแพ้แก่การปฏิวัติเมื่อวันที่ 24มิถุนายน 2475 โดยการยึดอำนาจครั้งนี้กระทำโดยชนชั้นนำ ข้าราชการที่มีการศึกษาสูง และนายทหาร แต่ไม่มีการลุกฮือของมวลชน ไม่มีคนจากชนบทมาเข้าร่วมการปฏิวัติเกิดขึ้น ขณะที่ฝ่ายเจ้าไปพักผ่อนหน้าร้อนประจำปีที่หัวหิน ที่ธิปกได้สร้างวังริมชายหาดชื่อไกลกังวล เชื้อสายเจ้าถูกจับกุมโดยปราศจากความรุนแรง และการปฏิวัติสำเร็จในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง ขณะที่ธิปกกำลังเล่นกอล์ฟกับรำไพพรรณีและนายหน้าค้าอาวุธชาวอังกฤษในตอนเช้าวันนั้น24 มิถุนายน 2475 เป็นการยึดอำนาจโดยกองทัพบกและกองทัพเรือฝ่ายที่ไม่ใช่เจ้า และพันธมิตรที่เป็นข้าราชการพลเรือนคณะราษฎรบุกยึดวังและจับกุมพวกเจ้าระดับหัวแถว และยื่นข้อเสนอที่ปฏิเสธไม่ได้แก่ธิปก ประกาศคณะราษฎรที่ดุดัน ซึ่งปรีดีเป็นผู้เขียนเองได้โจมตีรัฐบาลของกษัตริย์ว่าได้ถือเอาราษฎรเป็นทาส เป็นไพร่ เป็นขี้ข้า เป็นสัตว์เดรัจฉาน โดยไม่นึกว่าเป็นมนุษย์ แทนที่จะช่วยราษฎรกลับพากันทำนาบนหลังราษฎร หักเอาภาษีอากรที่เก็บจากราษฎรไว้ใช้ส่วนตัว เป็นจำนวนหลายล้านบาท ส่วนราษฎรนั้นกว่าจะหาได้แต่เล็กน้อยเลือดตาแทบกระเด็น ถึงคราวเสียภาษี ถ้าไม่มีเงินรัฐบาลก็ยึดทรัพย์หรือถูกเกณฑ์ใช้แรงงาน แต่พวกเจ้ากลับนอนกินกันอย่างสุขสบาย...ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า ประเทศเรานี้เป็นของราษฎร ไม่ใช่ของกษัตริย์ตามที่เขาหลอกลวง บรรพบุรุษของราษฎรเป็นผู้กู้ชาติให้ประเทศมีอิสรภาพ พวกเจ้ามีแต่ชุบมือเปิบและกวาดทรัพย์สมบัติไว้ตั้งหลายร้อยล้านบาท ด้วยวิธีทำนาบนหลังคน
  ...คณะราษฎรเห็นว่าการที่จะแก้ไขความชั่วร้ายก็โดยทีจะต้องจัดการปกครองโดยมีสภา ...ให้กษัตริย์อยู่ใต้กฎหมายธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน จะทำอะไรตามลำพังไม่ได้ นอกจากความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร คณะราษฎรได้แจ้งเรื่องนี้ให้กษัตริย์ทราบแล้ว และกำลังรอคำตอบ ถ้ากษัตริย์ตอบปฏิเสธหรือไม่ตอบภายในกำหนดเพราะความเห็นแก่ตัวว่าจะถูกลดอำนาจ ก็จะได้ชื่อว่า ทรยศต่อชาติ และก็เป็นการจำเป็นที่ประเทศจะต้องมีการปกครองอย่างประชาธิปไตย คือ ประมุขของประเทศจะเป็นบุคคลสามัญ คือไม่ต้องมีกษัตริย์อีกต่อไปแล้ว....
แต่ธิปกได้เติมคำว่าชั่วคราว ลงใน พ...ธรรมนูญการปกครอง 27 มิถุนายน2475  เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ประกาศว่า อำนาจสูงสุดเป็นของราษฎร ผู้ใช้อำนาจแทนราษฎรประกอบด้วย กษัตริย์ สภาผู้แทนราษฎร คณะกรรมการราษฎรและศาลโดยเท่าเทียมกัน กษัตริย์ไม่มีส่วนในการจัดตั้งรัฐบาล คณะราษฎรเป็นผู้แต่งตั้งสภาผู้แทนราษฎรและคณะกรรมการราษฎรในครั้งแรก หลังจากนั้นจะมาจากการเลือกตั้ง แม้ว่าจะไม่มีใครสามารถฟ้องร้องกษัตริย์ในศาลได้ แต่สภาสามารถไต่สวนและถอดถอนกษัตริย์ใด้ และสภาเป็นผู้ให้ความเห็นชอบต่อการสืบราชสมบัติ แม้จะมีกฎมณเฑียรบาล 2467 ก็ตาม
รัฐบาลใหม่ไม่ได้ตัดพวกเจ้าออกไป มีแต่บริพัตรอดีตผู้บัญชาการกองทัพ เพียงคนเดียวที่ถูกเนรเทศ  มโนปกรณ์อดีตองคมนตรีได้เป็นนายก ศรีวิสารผู้นิยมเจ้าได้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ30 มิถุนายน2475 สองวันหลังจากเปิดประชุมสภา ธิปกแจ้งต่อรัฐมนตรีใหม่ว่า ตนมีสุขภาพไม่ดี สายตาเเย่ และกำลังคิดจะสละบัลลังก์ เนื่องจากบริพัตรถูกรัฐบาลสั่งเนรเทศ ตนจึงเสนอชื่อทายาท เป็นลูกชายคนโตของมหิดร คืออานานวัย 6 ขวบ หากรัฐบาลกดดันมากไป ตนก็จะสละบัลลังก์ รัฐบาลคณะราษฎรพยายามหว่านล้อมธิปกแต่พวกขุนนางเก่า และพวกเจ้าคอยยุแหย่ ป้ายสีปรีดีว่าเป็นคอมมิวนิสต์ และแอบเจรจาหาการสนับสนุนจากอังกฤษและอเมริกาเดือนกันยายน 2475 เจ้าระดับสูงได้ยกเรื่องสละบัลลังก์มาขู่อีกครั้ง รัฐธรรมนูญต้องเป็นที่พอใจของทางวัง มิเช่นนั้นอาจจะเกิดสงครามตามมาโดยมีมหาอำนาจต่างชาติเข้าร่วมด้วย รัฐธรรมนูญฉบับถาวรเดือนธันวาคมจึงยอมตามความต้องการส่วนใหญ่ของวัง เจ้าเป็นจอมทัพไทย ผู้ใดจะล่วงละเมิดมิได้ การสืบบัลลังก์เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลปี2467 ของวงศ์จักราวี สายเลือดจุฬาหนึ่งเดือนหลังจากนั้น ธิปกพร้อมด้วยมโนปกรณ์และศรีวิสารได้ฉวยโอกาสที่ปรีดีเสนอร่างเค้าโครงเศรษฐกิจให้รัฐบาลเป็นผู้ควบคุมปัจจัยการผลิต ที่ดินและเงินทุน ประณามโจมตีปรีดีอย่างขนานใหญ่ ว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ธิปกขู่จะสละบัลลังก์อีกครั้ง โดยอ้างแผนเค้าโครงเศรษฐกิจของปรีดีเป็นต้นเหตุ และสั่งมโนปกรณ์ปลดผู้ก่อการออกจากรัฐมนตรี และห้ามข้าราชการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองขณะที่ครอบครัวมหิดรถูกส่งไปโลซานน์ สวิตเซอร์แลนด์ เพื่อความปลอดภัย คณะราษฎรตอบโต้ด้วยการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ เมื่อเห็นว่ามโนปกรณ์อาจแพ้โหวต ธิปกจึงปิดสมัยประชุมสภาในวันที่ เมษายน 2476 ฝ่ายนิยมเจ้าได้เลื่อนตำแหน่งเข้าคุมอำนาจ ธิปกลงนามประกาศใช้กฎหมายต่อต้านคอมมิวนิสต์ บีบให้ปรีดีต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ20 มิถุนายน 2476 คณะราษฎรแก้คืน ด้วยการทำรัฐประหารขับนายกมโนปกรณ์ นำโดยจอมพล ปสองวันถัดมา สภาเลือกพหล ผู้นำการปฏิวัติ 2475 เป็นนายก พหลเชิญปรีดีกลับประเทศและเข้าร่วมสภาผู้แทนราษฎร โดยปรีดีต้องเลิกทัศนะซ้ายสุดโต่งธิปกเชื่อว่าสามารถบีบคณะราษฎรด้วยการขู่สละบัลลังก์ แต่สมาชิกสภาตอบโต้ด้วยการยื่นญัติถอดถอนเจ้า และผู้นำแรงงานคนหนึ่งยื่นฟ้องธิปกข้อหาหมิ่นประมาทปรีดี
12 ตุลาคม 2476 บวรเดชผบ.ทหารเชื้อสายเจ้านำทหารฝ่ายนิยมเจ้า ทำรัฐประหารในนามของวัง.พิบูลสงครามบัญชาการสู้ศึก เกิดสงครามกลางเมือง เครื่องบินทิ้งระเบิดถล่มกรุงเทพ และมีการสู้รบบนท้องถนนในหลายเมือง ธิปกอยู่ที่หัวหินวางท่าทีเป็นกลาง ครั้นเห็นบวรเดชเพลี่ยงพล้ำ ก็ถอยไปตั้งหลักที่พรมแดนมลายู ซึ่งอังกฤษควบคุมอยู่หลังจากสู้รบอย่างดุเดือดสองสัปดาห์ ป.ก็ประกาศชัยชนะ ผู้นำกบฏเสียชีวิตไปหลายคน บวรเดชหนีออกนอกประเทศ คณะราษฎรหมดความสนใจที่จะร่วมงานกับวังสองสามสัปดาห์หลังการก่อกบฏ ธิปกประกาศแผนเดินทางไปต่างประเทศอ้างว่าไปรักษาตา ให้นริศราลูกของมังคุด อายุ 70 ปีเป็นผู้สำเร็จราชการธิปกยื่นคำขาดจากลอนดอน ขออำนาจมากขึ้น เช่น ขอเลือกสมาชิกครึ่งสภา ขอคุมงบของเจ้า และอำนาจการยับยั้งที่ต้องใช้เสียง 3 ใน 4 ขออำนาจในการตัดสินคดีประหารชีวิต เพราะต้องการให้ปล่อยนักโทษกบฏบวรเดช หากไม่ตกลงก็จะสละบัลลังก์ และขายทรัพย์สินส่วนของตนที่มีอยู่จำนวนมาก ซึ่งรวมถึงวัง วิหาร และพระแก้วมรกตแต่รัฐบาลที่กรุงเทพไม่เกรงกลัวคำขู่อีกต่อไปแล้ว จึงปฏิเสธไปเกือบทุกข้อรวมทั้งการที่คณะราษฎรเสนอเก็บภาษีมรดก แต่ธิปกขอให้ยกเลิก ให้ยกเว้นทรัพย์สินของเจ้า แต่คณะราษฎรไม่ยอมธิปกยังถูกรัฐบาลฟ้องร้องให้ยึดทรัพย์ ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยึดหรืออายัดทรัพย์ของธิปกเพราะมีการโอนเงินทรัพย์สินของเจ้าไปต่างประเทศโดยมิชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากธิปกไม่มีสิทธิ์ในทรัพย์สินส่วนนั้น การที่ธิปกโอนขายอสังหาริมทรัพย์ โดยสมรู้กับคู่สัญญา เพื่อจำหน่ายทรัพย์สินของตนให้พ้นอำนาจศาล ถือว่าเป็นไปโดยไม่สุจริตและทำให้โจทก์คือรัฐบาลเสียหาย ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยให้อายัดหรือยึดทรัพย์ของธิปกทั้งหมดต้นเดือนมีนาคม 2478ธิปกจึงต้องสละบัลลังก์ โดยไม่มีอะไรเหลือนอกจากความเป็นศัตรู และต้องพำนักอยู่ในยุโรปตลอดชีวิตที่เหลือขณะสละบัลลังก์ธิปกได้ทิ้งประโยคทองที่อวดอ้างความสูงส่งของตนไว้เป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย แต่มันได้กลายเป็นประโยคหากิน หรือวาทกรรมอมตะ ที่ใช้อ้างกันเป็นประจำในสมัยพูมลำพอง ซึ่งเป็นหลานอาของธิปก....ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิม ให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใดคณะใดโดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของราษฎร...แต่ข้อเท็จจริง คือทางวังได้พยายามดิ้นรนต่อสู้ขัดขวาง กระบวนการประชาธิปไตย มาโดยตลอด ซึ่งมันก็ตรงกันข้ามกับคำแถลงในการสละบัลลังก์ มันก็เลยทำให้คำแถลงของธิปกไม่มีความหมายและเป็นแค่เพียงเรื่องโกหกตอแหลเท่านั้นเอง ....
............................................