PPD's Official Website

Sunday, September 25, 2016

สงสาร นายกยิ่งลักษณ์...

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีออกมาให้สัมภาษณ์ล่าสุดด้วยเนื้อความที่ยาวผิดปกติทั้งนี้เพราะหลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยึดอำนาจและนั่งแทนนายกรัฐมนตรี ดูเหมือนว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์จะอยู่เงียบๆไม่พูด แต่ออกไปโพสต์ ณ บริเวณนั้น ลงเฟซบุ๊ก ณ บริเวณนี้หรือหากจะแสดงความคิดเห็นใดๆ มักแสดงความเห็นผ่านทางออนไลน์ส่วนการให้สัมภาษณ์นั้น น้อยครั้งที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะออกมาพูดเช่นเมื่อท้ายสัปดาห์ที่แล้วน้อยครั้งที่จะพูดอย่างมีเนื้อมีหนังโดยเฉพาะ การเปิดใจถึงกรณี ป.ป.ช.ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงคดี "ทำให้น้ำท่วมใหญ่" เมื่อปี 2554น.ส.สุภา ปิยะจิตติ เป็นประธานคณะอนุกรรมการฯน.ส.ยิ่งลักษณ์ให้สัมภาษณ์สรุปความได้ว่า ข้อกล่าวหาที่ว่ารัฐบาลทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ เป็นการกล่าวหาของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และอดีตผู้นำฝ่ายค้านไม่เข้าใจทำไม ป.ป.ช.ถึงทำเช่นนั้น เพราะตอนเข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี น้ำได้ท่วมอยู่แล้วไม่เข้าใจว่าทำไมจึงโดนอยู่คนเดียวนั่งอยู่ดีๆ ก็ต้องมารับเรื่องหมด ตอนนี้มีถึง 15 คดีแล้ว พอส่งทนายไปคัดค้านต่อ ป.ป.ช. ก็ถูกปฏิเสธคำร้องทุกครั้งอยากร้องผ่านสื่อมวลชนและสาธารณชน อยากให้ปฏิบัติเท่าเทียมกับคนอื่นๆน.ส.ยิ่งลักษณ์ชี้ว่า คดีตัวเองถูกร้องนั้นมีการดำเนินการเร็วมาก รับทุกเรื่อง พิจารณาทุกเรื่อง แต่คดีของผู้อื่นไม่คืบหน้าเลยนั่นเป็นข้อแคลงใจแรกที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ตั้งข้อสังเกต ยังมีข้อแคลงใจถึงเรื่องการใช้ ม.44 ตามมาเรื่องของมาตรา 44 ให้อำนาจกรมบังคับคดีในการยึดทรัพย์จากการใช้คำสั่งทางปกครองสั่งชดเชยค่าเสียหายในการจำนำข้าวนั้นน.ส.ยิ่งลักษณ์ระบุว่า สิ่งแรกที่มองคือผลของคดียังไม่รู้ แต่ออกคำสั่งมาตรา 44 มอบอำนาจให้กรมบังคับคดีไว้แล้วเหมือนเป็นการชี้นำคดี ถือเป็นความไม่ยุติธรรมถ้ามั่นใจว่ากระบวนการทั้งหมดโปร่งใสและเป็นธรรม…ทำไมต้องใช้มาตรา 44 ด้วยถ้ามั่นใจว่าข้าราชการทำถูกก็ไม่ต้องกลัวถูกฟ้องวันเดียวกัน นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความของน.ส.ยิ่งลักษณ์ เข้ายื่นหนังสือต่อ ป.ป.ช.เป็นการยื่นครั้งที่ 8 เพื่อคัดค้านการแต่งตั้ง น.ส.สุภา เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงนายนรวิชญ์ระบุว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดนร้องทั้งหมด 15 คดี ในจำนวนนี้ 6 คดี มี น.ส.สุภาเป็นประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนฯเช่น กรณีถูกกล่าวหาแทรกแซงหรือเอื้อบุคคลในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ กรณีกล่าวหาเรื่องการบริหารจัดการน้ำ กรณีถูกกล่าวหาเรื่องการจ่ายเงินเยียวยาแก่ผู้ชุมนุมทางการเมืองมี 1 คดี ที่มี นายวิชา มหาคุณ อดีตกรรมการ ป.ป.ช. ที่พ้นตำแหน่งไปแล้วแต่กลับมาเป็นอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงนายนรวิชญ์ระบุสาเหตุที่คัดค้านการแต่งตั้งประธานอนุกรรมการฯดังกล่าวว่า น.ส.สุภา เคยเป็นประธานอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว และมีเหตุให้ข้อมูลการปิดบัญชีหลุดออกไปถึงมือฝ่ายค้าน และยังเคยไปเป็นพยานเบิกความในฐานะพยานฝ่ายโจทก์ในคดีโครงการรับจำนำข้าวนายนรวิชญ์ชี้ว่า น.ส.สุภา ถือเป็นคู่ขัดแย้งกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ อย่างชัดเจน การเคลื่อนไหวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และทนายความ เกิดขึ้นในห้วงเวลาเดียวกับที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เดินทางไปสหรัฐอเมริกาเพื่อขึ้นกล่าวในเวทียูเอ็นพล.อ.ประยุทธ์กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 71 ในหัวข้อ "เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน แรงผลักดันสากลเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกของเรา"พล.อ.ประยุทธ์ระบุว่า ปี 2559 เป็นปีที่ไทยเป็นสมาชิกสหประชาชาติครบ 70 ปี และเป็นปีแรกที่เริ่มต้นนำวาระสำคัญของโลกสู่การปฏิบัติรัฐบาลไทยเชื่อว่าการพัฒนาที่ยั่งยืนไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากปราศจากสันติภาพและความมั่นคง หรือหากสิทธิของประชาชนถูกละเมิดและไม่ได้รับการยอมรับพล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงสถานการณ์ภายในประเทศว่า รัฐบาลได้วางรากฐานเพื่อนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ประชาชนได้ใช้สิทธิลงประชามติรับรองร่างรัฐธรรมนูญตามวิถีทางประชาธิปไตยแล้วขณะนี้กำลังพิจารณากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญต่างๆ ให้แล้วเสร็จ นำไปสู่การเลือกตั้งทั่วไปตามโรดแมปได้ในปลายปี 2560การออกเสียงประชามติสะท้อนถึงความตั้งใจจริงของรัฐบาลที่จะส่งเสริมกระบวนการประชาธิปไตย โดยตระหนักถึงเสียงสะท้อนจากประชาคมระหว่างประเทศรัฐบาลเข้ามาเพื่อดูแลสถานการณ์ ในช่วงเปลี่ยนผ่านเพื่อให้เกิดความเรียบร้อยและความมั่นคงและเมื่อสถานการณ์บ้านเมืองเข้าสู่สภาวะปกติสุขแล้ว รัฐบาลก็ผ่อนคลายมาตรการชั่วคราวที่ไม่จำเป็น เช่น การประกาศยกเลิกการนำพลเรือนขึ้นศาลทหาร เป็นต้นน่าสังเกตว่า ข่าวสารคำแถลงของ พล.อ.ประยุทธ์ กับข่าวสารคำร้องของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เกิดขึ้นในวันเดียวกันพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวในเวทียูเอ็นยืนยันการให้สิทธิเสรีภาพประชาชนขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ร้องขอความยุติธรรมผ่านสื่อมวลชนข่าวสารที่ปรากฏออกไปสู่ภายนอก จึงเป็นข่าวสารที่ "สวนทางกัน"และกลายเป็นความท้าทายที่ต้องจับตาเฝ้ามองกันต่อไปทั้งการดำเนินการของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ทั้งการดำเนินการขององค์กรอิสระต้องเฝ้าจับตามองว่า ยึดติดเกาะเกี่ยวกับ "นิติรัฐ-นิติธรรม"มากน้อยเพียงใดยังต้องเฝ้าติดตามกระบวนการทางยุติธรรมการใช้มาตรา 44 ในการเรียกร้องค่าเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าว เป็นเพราะข้าราชการไม่มั่นใจไม่มั่นใจว่าจะถูกผู้ถูกร้องฟ้องกลับในภายหลังจึงต้องใช้มาตรา 44 เพื่อสร้างความมั่นใจให้เกิดแก่ฝ่ายราชการ …ใช่หรือไม่หมายความว่า หากไม่ใช้มาตรา 44 คุ้มครอง ข้อเรียกร้องที่รัฐกระทำต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพวก อาจจะผิดก็ได้ …ใช่หรือเปล่ารวมไปถึงการใช้ "คู่ขัดแย้ง" ตามทรรศนะของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และทนาย มาเป็นประธานคณะกรรมการไต่สวนกรณีเช่นนี้ ถูกต้องตาม "นิติรัฐ-นิติธรรม" แค่ไหนทุกอย่างที่ปรากฏ แพร่กระจายไปทั่วโลกเป้าหมายของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เดินทางไปยูเอ็นก็เพื่อพูดให้โลกฟังเป้าหมาย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ออกมาให้ข่าวต้องคดีทำน้ำท่วม ก็เพื่อให้โลกได้ยินฟ้องให้โลกได้รู้ว่ารัฐบาลไทย "ทำ"ตรงกับ "พูด" หรือไม่ผลจากเสียงที่ส่งออกไปจะเป็นเช่นไร ปฏิกิริยาต่างๆ คงจะปรากฏให้เห็นได้ในเวลาอันใกล้

สงสาร นายกยิ่งลักษณ์...

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีออกมาให้สัมภาษณ์ล่าสุดด้วยเนื้อความที่ยาวผิดปกติทั้งนี้เพราะหลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยึดอำนาจและนั่งแทนนายกรัฐมนตรี ดูเหมือนว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์จะอยู่เงียบๆไม่พูด แต่ออกไปโพสต์ ณ บริเวณนั้น ลงเฟซบุ๊ก ณ บริเวณนี้หรือหากจะแสดงความคิดเห็นใดๆ มักแสดงความเห็นผ่านทางออนไลน์ส่วนการให้สัมภาษณ์นั้น น้อยครั้งที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะออกมาพูดเช่นเมื่อท้ายสัปดาห์ที่แล้วน้อยครั้งที่จะพูดอย่างมีเนื้อมีหนังโดยเฉพาะ การเปิดใจถึงกรณี ป.ป.ช.ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงคดี "ทำให้น้ำท่วมใหญ่" เมื่อปี 2554น.ส.สุภา ปิยะจิตติ เป็นประธานคณะอนุกรรมการฯน.ส.ยิ่งลักษณ์ให้สัมภาษณ์สรุปความได้ว่า ข้อกล่าวหาที่ว่ารัฐบาลทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ เป็นการกล่าวหาของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และอดีตผู้นำฝ่ายค้านไม่เข้าใจทำไม ป.ป.ช.ถึงทำเช่นนั้น เพราะตอนเข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี น้ำได้ท่วมอยู่แล้วไม่เข้าใจว่าทำไมจึงโดนอยู่คนเดียวนั่งอยู่ดีๆ ก็ต้องมารับเรื่องหมด ตอนนี้มีถึง 15 คดีแล้ว พอส่งทนายไปคัดค้านต่อ ป.ป.ช. ก็ถูกปฏิเสธคำร้องทุกครั้งอยากร้องผ่านสื่อมวลชนและสาธารณชน อยากให้ปฏิบัติเท่าเทียมกับคนอื่นๆน.ส.ยิ่งลักษณ์ชี้ว่า คดีตัวเองถูกร้องนั้นมีการดำเนินการเร็วมาก รับทุกเรื่อง พิจารณาทุกเรื่อง แต่คดีของผู้อื่นไม่คืบหน้าเลยนั่นเป็นข้อแคลงใจแรกที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ตั้งข้อสังเกต ยังมีข้อแคลงใจถึงเรื่องการใช้ ม.44 ตามมาเรื่องของมาตรา 44 ให้อำนาจกรมบังคับคดีในการยึดทรัพย์จากการใช้คำสั่งทางปกครองสั่งชดเชยค่าเสียหายในการจำนำข้าวนั้นน.ส.ยิ่งลักษณ์ระบุว่า สิ่งแรกที่มองคือผลของคดียังไม่รู้ แต่ออกคำสั่งมาตรา 44 มอบอำนาจให้กรมบังคับคดีไว้แล้วเหมือนเป็นการชี้นำคดี ถือเป็นความไม่ยุติธรรมถ้ามั่นใจว่ากระบวนการทั้งหมดโปร่งใสและเป็นธรรม…ทำไมต้องใช้มาตรา 44 ด้วยถ้ามั่นใจว่าข้าราชการทำถูกก็ไม่ต้องกลัวถูกฟ้องวันเดียวกัน นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความของน.ส.ยิ่งลักษณ์ เข้ายื่นหนังสือต่อ ป.ป.ช.เป็นการยื่นครั้งที่ 8 เพื่อคัดค้านการแต่งตั้ง น.ส.สุภา เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงนายนรวิชญ์ระบุว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดนร้องทั้งหมด 15 คดี ในจำนวนนี้ 6 คดี มี น.ส.สุภาเป็นประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนฯเช่น กรณีถูกกล่าวหาแทรกแซงหรือเอื้อบุคคลในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ กรณีกล่าวหาเรื่องการบริหารจัดการน้ำ กรณีถูกกล่าวหาเรื่องการจ่ายเงินเยียวยาแก่ผู้ชุมนุมทางการเมืองมี 1 คดี ที่มี นายวิชา มหาคุณ อดีตกรรมการ ป.ป.ช. ที่พ้นตำแหน่งไปแล้วแต่กลับมาเป็นอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงนายนรวิชญ์ระบุสาเหตุที่คัดค้านการแต่งตั้งประธานอนุกรรมการฯดังกล่าวว่า น.ส.สุภา เคยเป็นประธานอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว และมีเหตุให้ข้อมูลการปิดบัญชีหลุดออกไปถึงมือฝ่ายค้าน และยังเคยไปเป็นพยานเบิกความในฐานะพยานฝ่ายโจทก์ในคดีโครงการรับจำนำข้าวนายนรวิชญ์ชี้ว่า น.ส.สุภา ถือเป็นคู่ขัดแย้งกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ อย่างชัดเจน การเคลื่อนไหวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และทนายความ เกิดขึ้นในห้วงเวลาเดียวกับที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เดินทางไปสหรัฐอเมริกาเพื่อขึ้นกล่าวในเวทียูเอ็นพล.อ.ประยุทธ์กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 71 ในหัวข้อ "เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน แรงผลักดันสากลเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกของเรา"พล.อ.ประยุทธ์ระบุว่า ปี 2559 เป็นปีที่ไทยเป็นสมาชิกสหประชาชาติครบ 70 ปี และเป็นปีแรกที่เริ่มต้นนำวาระสำคัญของโลกสู่การปฏิบัติรัฐบาลไทยเชื่อว่าการพัฒนาที่ยั่งยืนไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากปราศจากสันติภาพและความมั่นคง หรือหากสิทธิของประชาชนถูกละเมิดและไม่ได้รับการยอมรับพล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงสถานการณ์ภายในประเทศว่า รัฐบาลได้วางรากฐานเพื่อนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ประชาชนได้ใช้สิทธิลงประชามติรับรองร่างรัฐธรรมนูญตามวิถีทางประชาธิปไตยแล้วขณะนี้กำลังพิจารณากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญต่างๆ ให้แล้วเสร็จ นำไปสู่การเลือกตั้งทั่วไปตามโรดแมปได้ในปลายปี 2560การออกเสียงประชามติสะท้อนถึงความตั้งใจจริงของรัฐบาลที่จะส่งเสริมกระบวนการประชาธิปไตย โดยตระหนักถึงเสียงสะท้อนจากประชาคมระหว่างประเทศรัฐบาลเข้ามาเพื่อดูแลสถานการณ์ ในช่วงเปลี่ยนผ่านเพื่อให้เกิดความเรียบร้อยและความมั่นคงและเมื่อสถานการณ์บ้านเมืองเข้าสู่สภาวะปกติสุขแล้ว รัฐบาลก็ผ่อนคลายมาตรการชั่วคราวที่ไม่จำเป็น เช่น การประกาศยกเลิกการนำพลเรือนขึ้นศาลทหาร เป็นต้นน่าสังเกตว่า ข่าวสารคำแถลงของ พล.อ.ประยุทธ์ กับข่าวสารคำร้องของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เกิดขึ้นในวันเดียวกันพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวในเวทียูเอ็นยืนยันการให้สิทธิเสรีภาพประชาชนขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ร้องขอความยุติธรรมผ่านสื่อมวลชนข่าวสารที่ปรากฏออกไปสู่ภายนอก จึงเป็นข่าวสารที่ "สวนทางกัน"และกลายเป็นความท้าทายที่ต้องจับตาเฝ้ามองกันต่อไปทั้งการดำเนินการของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ทั้งการดำเนินการขององค์กรอิสระต้องเฝ้าจับตามองว่า ยึดติดเกาะเกี่ยวกับ "นิติรัฐ-นิติธรรม"มากน้อยเพียงใดยังต้องเฝ้าติดตามกระบวนการทางยุติธรรมการใช้มาตรา 44 ในการเรียกร้องค่าเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าว เป็นเพราะข้าราชการไม่มั่นใจไม่มั่นใจว่าจะถูกผู้ถูกร้องฟ้องกลับในภายหลังจึงต้องใช้มาตรา 44 เพื่อสร้างความมั่นใจให้เกิดแก่ฝ่ายราชการ …ใช่หรือไม่หมายความว่า หากไม่ใช้มาตรา 44 คุ้มครอง ข้อเรียกร้องที่รัฐกระทำต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพวก อาจจะผิดก็ได้ …ใช่หรือเปล่ารวมไปถึงการใช้ "คู่ขัดแย้ง" ตามทรรศนะของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และทนาย มาเป็นประธานคณะกรรมการไต่สวนกรณีเช่นนี้ ถูกต้องตาม "นิติรัฐ-นิติธรรม" แค่ไหนทุกอย่างที่ปรากฏ แพร่กระจายไปทั่วโลกเป้าหมายของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เดินทางไปยูเอ็นก็เพื่อพูดให้โลกฟังเป้าหมาย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ออกมาให้ข่าวต้องคดีทำน้ำท่วม ก็เพื่อให้โลกได้ยินฟ้องให้โลกได้รู้ว่ารัฐบาลไทย "ทำ"ตรงกับ "พูด" หรือไม่ผลจากเสียงที่ส่งออกไปจะเป็นเช่นไร ปฏิกิริยาต่างๆ คงจะปรากฏให้เห็นได้ในเวลาอันใกล้

Saturday, September 24, 2016

กับดัก ที่ประเทศไทย ต้องแก้ ก่อนวอดวาย!

ใช่หรือไม่ลองพิจารณาดู

*สังคมไทยติดอยู่กับ 3 กับดักสำคัญ  คือในทางเศรษฐกิจ และการเมือง สังคมไทย 'ติดกับดักประเทศรายได้ปานกลาง' และ 'ติดกับดักประเทศกึ่งประชาธิปไตย' 

ในทางปัญญา สังคมไทย "ติดกับดัก วัฒนธรรมทางปัญญาระดับปานกลาง หรือ วัฒนธรรมทางปัญญาระดับพอเพียง หรือที่เรียกว่า วัฒนธรรมสังคมอับจนปัญญา"

*อับจนปัญญาอย่างไร*

1.อ่านหนังสือไม่เป็น-นศ.ไทยที่พบ อ่านหนังสือไม่เป็น skill นี้ไม่ได้ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง สังคมนี้ต้องการ skillแค่นี่?

2.สื่อมวลชน ทำหน้าที่แค่ตอบสนองตลาด ตอบสนองระบบทุนนิยม ยอมลดคุณภาพตัวเองลงมา จนเป็นสื่อ ที่ไม่มีอิทธิพลในสังคมการเมือง

3.มหา'ลัยไทย-มหา'ลัยที่จัดว่าดีที่สุดในไทย เป็นเพียง มหา'ลัยกลางๆในrankingระดับโลก มหา'ลัยส่วนใหญ่ในไทย ไม่ติดในสารบบโลก มหา'ลัย ไทย ตกต่ำ เพราะติดกับดัก ที่มัวแต่รับใช้อุดมการณ์ของรัฐราชการ

4.มนุษยศาสตร์ไทย เน้นผลิตซ้ำความรู้เดิม-เน้นสร้างองค์ความรู้ที่หลงตัวเอง-ไม่วิพากษ์วิจารณ์ความรู้เดิม-ไม่มีความสามารถในระดับหอคอยงาช้าง

5.อะไรคือความต่างระหว่าง 'หม่ำ จ๊กมก'/'@johnwinyu   อย่างแรกคือนักแสดงตลก อย่างหลังคือ นักแสดงตลกเสียดสีล้อเลียนอำนาจ

นักแสดงตลกของไทย ถนัดล้อเลียนคนอีสาน คนพิการ แต่ไม่ถนัดเสียดสีสังคม/ล้อเลียนอำนาจ มีสองคนที่เห็นบ่อยๆคือ @johnwinyu /โน้ต อุดม 

ในแง่นี้นักแสดงตลก ของไทย จึงไม่มีวัฒนธรรมการล้อเลียนอำนาจ ซึ่งเป็นสิ่งปกติในทั่วโลก ตลกไทยเจอขีดจำกัดของสังคม จึงทำให้พวกเขาแสดงได้แค่นี้ 

พวกเราฮือฮา กับการล้อเลียนของ โน้ต อุดม มาก เพราะนี่ไม่ใช่ของปกติในสังคมไทย 

6.เราไม่มีนิยายประวัติศาสตร์ดีๆ เพราะ ปวศ.ไทยศักดิ์สิทธิ์เกินไป  หรือมีแม่บทหลักแบบที่เรียกว่า ประวัติศาสตร์ราชาชาตินิยม กำกับอยู่ ครอบงำอยู่ ซึ่งทำลายจินตนาการของนักเขียนไทยไปจนหมดสิ้น 

7.ความเคร่งทางศาสนา-กระทั่ง นักกิจกรรมก็ถือหลักความเคร่งทางศาสนา ว่าตัวเองถูก คนอื่นผิด ไม่มีการประนีประนอมใดๆ ซึ่งเป็นรากฐานความขัดแย้งสำคัญในสังคมไทย

-----------------------------------
------------สรุปจบ-------------

1-สังคมอับจนปัญญา เป็นผลจากสังคมยึดถือระบบอุปถัมภ์ ยึดถือช่วงชั้น ยึดตัวบุคคล ถือหลักนิติรัฐแบบอุปถัมภ์ หรือที่เสน่ห์เรียก ราชูปถัมภ์

2-สังคมอับจนปัญญา เป็นผลจาก โครงสร้างความสัมพันธ์ทางอำนาจในสังคมนี้ ที่ไม่เคยเปลี่ยนเลย กระทั่งหลัง2475 

80 กว่าปีมานี้ขยับ แต่ไม่เปลี่ยน

สังคมอับจนปัญญา เป็นผลจาก การหวนคืนของ บรรดาทหารผู้เข้ามาครองอำนาจ ระบบการเมืองแบบอนุรักษ์มาเมื่อไหร่ ปัญญาของเราหดแคบลงทุกที

3-สังคมอับจนปัญญา เป็นผลจาก ลัทธิราชาชาตินิยม คณะราษฎร พยายามบ่อนเซาะ แต่พวกเขาทำไม่สำเร็จ 

การเปลี่ยนแปลงทางสังคม ไม่มีพลิกฟ้า คว่ำแผ่นดิน ไม่มีทางลัด .. ทำใจให้พร้อมกับการสู้ยาวๆ

โลกเปลี่ยนแปลงได้ โลกเปลี่ยนแปลงเสมอ อาจดูพูดปลอบใจ แต่สังคมไทยเปลี่ยนในเชิงโครงสร้างอยู่ตลอดเวลา

เชื่อมั่นเถอะ ว่า มนุษย์ทุกคนอยากมีชีวิตที่ดี เพราะการมองโลกเช่นนี้ โลกจึงเปลี่ยน 

มองการเมืองระยะยาว ประเทศนี้เป็นประชาธิปไตยแน่ๆ
-------------------------------------
ประวัติศาสตร์จะบันทึกว่า พวกเขาเป็นผู้ขัดขวางการเปลี่ยนแปลง และพวกเราเป็นผู้ผลักให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทีละเล็กทีละน้อยอย่างคงเส้นคงวา

ตื่นเถิดพี่น้องไทยประเทศไทยเป็นของประชาชนทุกคน ประชาชนคือผู้ออกแบบ ผู้ใช้อำนาจเสียงส่วนใหญ่สั่งให้ผู้บริหารทำตามความต้องการของพวกเรา  ไม่ใช่ให้ใครมาบังคับให้ต้องทำตามหรือถูกจำกัดกรอบให้ต้องทำอยู่ในคุกคุมขังอยู่ในนั้นจากการออกแบบของผู้ใดให้เราเข้าใจผิดและต้องทำตามอีกต่อไป...

พ.สมิง จันทวโร

กับดัก ที่ประเทศไทย ต้องแก้ ก่อนวอดวาย!

ใช่หรือไม่ลองพิจารณาดู

*สังคมไทยติดอยู่กับ 3 กับดักสำคัญ  คือในทางเศรษฐกิจ และการเมือง สังคมไทย 'ติดกับดักประเทศรายได้ปานกลาง' และ 'ติดกับดักประเทศกึ่งประชาธิปไตย' 

ในทางปัญญา สังคมไทย "ติดกับดัก วัฒนธรรมทางปัญญาระดับปานกลาง หรือ วัฒนธรรมทางปัญญาระดับพอเพียง หรือที่เรียกว่า วัฒนธรรมสังคมอับจนปัญญา"

*อับจนปัญญาอย่างไร*

1.อ่านหนังสือไม่เป็น-นศ.ไทยที่พบ อ่านหนังสือไม่เป็น skill นี้ไม่ได้ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง สังคมนี้ต้องการ skillแค่นี่?

2.สื่อมวลชน ทำหน้าที่แค่ตอบสนองตลาด ตอบสนองระบบทุนนิยม ยอมลดคุณภาพตัวเองลงมา จนเป็นสื่อ ที่ไม่มีอิทธิพลในสังคมการเมือง

3.มหา'ลัยไทย-มหา'ลัยที่จัดว่าดีที่สุดในไทย เป็นเพียง มหา'ลัยกลางๆในrankingระดับโลก มหา'ลัยส่วนใหญ่ในไทย ไม่ติดในสารบบโลก มหา'ลัย ไทย ตกต่ำ เพราะติดกับดัก ที่มัวแต่รับใช้อุดมการณ์ของรัฐราชการ

4.มนุษยศาสตร์ไทย เน้นผลิตซ้ำความรู้เดิม-เน้นสร้างองค์ความรู้ที่หลงตัวเอง-ไม่วิพากษ์วิจารณ์ความรู้เดิม-ไม่มีความสามารถในระดับหอคอยงาช้าง

5.อะไรคือความต่างระหว่าง 'หม่ำ จ๊กมก'/'@johnwinyu   อย่างแรกคือนักแสดงตลก อย่างหลังคือ นักแสดงตลกเสียดสีล้อเลียนอำนาจ

นักแสดงตลกของไทย ถนัดล้อเลียนคนอีสาน คนพิการ แต่ไม่ถนัดเสียดสีสังคม/ล้อเลียนอำนาจ มีสองคนที่เห็นบ่อยๆคือ @johnwinyu /โน้ต อุดม 

ในแง่นี้นักแสดงตลก ของไทย จึงไม่มีวัฒนธรรมการล้อเลียนอำนาจ ซึ่งเป็นสิ่งปกติในทั่วโลก ตลกไทยเจอขีดจำกัดของสังคม จึงทำให้พวกเขาแสดงได้แค่นี้ 

พวกเราฮือฮา กับการล้อเลียนของ โน้ต อุดม มาก เพราะนี่ไม่ใช่ของปกติในสังคมไทย 

6.เราไม่มีนิยายประวัติศาสตร์ดีๆ เพราะ ปวศ.ไทยศักดิ์สิทธิ์เกินไป  หรือมีแม่บทหลักแบบที่เรียกว่า ประวัติศาสตร์ราชาชาตินิยม กำกับอยู่ ครอบงำอยู่ ซึ่งทำลายจินตนาการของนักเขียนไทยไปจนหมดสิ้น 

7.ความเคร่งทางศาสนา-กระทั่ง นักกิจกรรมก็ถือหลักความเคร่งทางศาสนา ว่าตัวเองถูก คนอื่นผิด ไม่มีการประนีประนอมใดๆ ซึ่งเป็นรากฐานความขัดแย้งสำคัญในสังคมไทย

-----------------------------------
------------สรุปจบ-------------

1-สังคมอับจนปัญญา เป็นผลจากสังคมยึดถือระบบอุปถัมภ์ ยึดถือช่วงชั้น ยึดตัวบุคคล ถือหลักนิติรัฐแบบอุปถัมภ์ หรือที่เสน่ห์เรียก ราชูปถัมภ์

2-สังคมอับจนปัญญา เป็นผลจาก โครงสร้างความสัมพันธ์ทางอำนาจในสังคมนี้ ที่ไม่เคยเปลี่ยนเลย กระทั่งหลัง2475 

80 กว่าปีมานี้ขยับ แต่ไม่เปลี่ยน

สังคมอับจนปัญญา เป็นผลจาก การหวนคืนของ บรรดาทหารผู้เข้ามาครองอำนาจ ระบบการเมืองแบบอนุรักษ์มาเมื่อไหร่ ปัญญาของเราหดแคบลงทุกที

3-สังคมอับจนปัญญา เป็นผลจาก ลัทธิราชาชาตินิยม คณะราษฎร พยายามบ่อนเซาะ แต่พวกเขาทำไม่สำเร็จ 

การเปลี่ยนแปลงทางสังคม ไม่มีพลิกฟ้า คว่ำแผ่นดิน ไม่มีทางลัด .. ทำใจให้พร้อมกับการสู้ยาวๆ

โลกเปลี่ยนแปลงได้ โลกเปลี่ยนแปลงเสมอ อาจดูพูดปลอบใจ แต่สังคมไทยเปลี่ยนในเชิงโครงสร้างอยู่ตลอดเวลา

เชื่อมั่นเถอะ ว่า มนุษย์ทุกคนอยากมีชีวิตที่ดี เพราะการมองโลกเช่นนี้ โลกจึงเปลี่ยน 

มองการเมืองระยะยาว ประเทศนี้เป็นประชาธิปไตยแน่ๆ
-------------------------------------
ประวัติศาสตร์จะบันทึกว่า พวกเขาเป็นผู้ขัดขวางการเปลี่ยนแปลง และพวกเราเป็นผู้ผลักให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทีละเล็กทีละน้อยอย่างคงเส้นคงวา

ตื่นเถิดพี่น้องไทยประเทศไทยเป็นของประชาชนทุกคน ประชาชนคือผู้ออกแบบ ผู้ใช้อำนาจเสียงส่วนใหญ่สั่งให้ผู้บริหารทำตามความต้องการของพวกเรา  ไม่ใช่ให้ใครมาบังคับให้ต้องทำตามหรือถูกจำกัดกรอบให้ต้องทำอยู่ในคุกคุมขังอยู่ในนั้นจากการออกแบบของผู้ใดให้เราเข้าใจผิดและต้องทำตามอีกต่อไป...

พ.สมิง จันทวโร

Wednesday, September 21, 2016

การโกงในตระกูลจันทร์โอชา?

เลิกส่องไฟ ไล่โกง...

ติ๊ก ปรีชา ไม่แคร์โดนแฉเรื่องลูก งั้นลองมาอ่านแฉแบบชี้ให้เห็นประเด็นชัดๆ โต้ได้ทุกประเด็น เน้นข้อมูลหลักฐานประกอบ เชิญแท็กเพื่อนที่ยังเชียร์ คสช. ให้มาอ่านได้ 

- - - - - - - - - - 

บริษัทลูกปรีชา จันทร์โอชา จดทะเบียน 1.5 ล้านบาท
รับงานทัพภาค 3 จำนวน 7 โครงการ 97.6 ล้านบาท

คำถาม
1. ผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่
2. เอื้อประโยชน์คนในครอบครัวหรือไม่

อ้างจากข่าว 
หจก.คอนเทมโพรารีฯ ‘ปฐมพล จันทร์โอชา’ กวาดรับเหมา 3 หน่วยงาน 11 โครงการ  155.6 ล.  อบจ.พิษณุโลก สร้างตึก กรมทรัพยากรน้ำด้วย ‘ทัพภาค 3’ มากสุด 7 สัญญา 97.6 ล.  ช่วง ธ.ค.57 – เม.ย.59

http://www.isranews.org/investigative/investigate-procure/item/50159-report_sonbigtig_20959.html 

- - - - - - - - - - 

ตอบคร่าวๆ ให้คนอ่านน้อยเข้าใจ concept

ผลประโยชน์ทับซ้อน และเอื้อประโยชน์
แก่คนในครอบครัวแน่นอน เพราะ

ก. ปรีชา เคยดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพภาค 3 ปัจจุบันเป็นปลัดกระทรวง กห. 

ข. บุตรชายปรีชา ไปได้งานกองทัพภาค 3 กว่า 7 โครงการ และโครงการที่ดำเนินการในปี 2558 มีการอนุมัติให้บริษัทลูกชายตนเองในช่วงปลายปี 2557 ซึ่งขณะนั้นปรีชา ยังเป็นแม่ทัพภาค

แม้ต่อมา ปรีชา จะไม่ได้เป็นแม่ทัพแล้ว แต่เลื่อนมาดำรงตำแหน่งใหญ่ขึ้น มาเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม ย่อมมีการใช้อำนาจโดยอ้อม ต่ออดีตผู้ใต้บังคับบัญชาได้ เพราะยังสามารถให้คุณ ให้โทษต่อผู้ปฏิบัติงานได้ 

- - - - - - - - - - 

สรุป: #กรณีนี้ถือเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน และ #ถือว่าคอรัปชั่น

แม้จะกล่าวอ้างว่า "ทำถูกต้อง ทุกขั้นตอน" ก็ไม่ได้แปลว่า จะถูกต้องตามหลักคุณธรรมจริยธรรม เพราะเหตุใดจึงกล่าวอย่างนี้ 

+ เอกสารต่างๆ อาจถูกจัดเตรียมไว้ให้ถูกตามระเบียบ (โดยเจ้าหน้าที่ที่เชี่ยวชาญในระเบียบราชการ ระเบียบพัสดุ ซี่งย่อมมองหาข่องโหว่วได้ อิอิ)

+ อาจมีการตกลงแบ่งผลประโยชน์กันของผู้รับเหมา ก่อนเข้าประมูลงาน โดยมีทัพภาค3 เป็นคนเจรจาให้เสร็จสรรพแล้ว จึงไม่ปรากฎว่ามีปัญหาในเรื่องการแข่งขันราคา (จัดคู่เทียบ จ่ายเงินค่าซองให้คู่แข่ง รับงานสบายๆ) 

"วิธีจัดซื้อจัดจ้างส่วนใหญ่จัดซื้อด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-Bidding) และมีบางรายการใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์โดยผ่านผู้ให้บริการตลาดกลาง (อีอ๊อกชั่น) มีผู้เข้าร่วมแข่งขัน 3-4  ราย  อย่างน้อย  1 ราย  การชนะคู่แข่ง หลักพันบาท และอย่างน้อย 3 โครงการที่คู่แข่งรายเดิม * "              

(* ที่มา ลิงก์ข่าวเดียวกับที่เสนอไว้ด้านบน)

+ มีข้อน่าสงสัยว่า สถานที่ ที่รับงานส่วนใหญ่คือกองทัพภาค 3 และบริษัทเพิ่งตั้งมาไม่นาน อันนี้ขอให้ท่านอ่านข่าวลิงก์ก่อนหน้า สืบย้อนหลังตามข้อมูลจดทะเบียนบริษัทบุตรชายปรีชา จะพบว่าเพิ่งตั้งบริษัทราวปี 2555 ปี 56 เพิ่มทุน และมีทุนจดทะเบียนเพียง 1.5 ล้านบาท แถมประสบการณ์ทำงานน้อยมาก ทำไมจึงได้งานระหว่าง ปี 58-59 รวมกว่า 97.6 ล้านบาท

+ ข้อน่าสังเกตอีกจุดคือ รับงาน อบจ.พิษณุโลก ปรีชาเคยประจำอยู่พิษณุโลกนับสิบปี ก่อนจะไปเป็นแม่ทัพภาค 3 มีบ้านอยู่พิษณุโลก เป็นการเอื้อประโยชน์พวกพ้องหรือไม่ และต้องตรวจสอบการอนุมัติงานของ อบจ.ด้วย

ที่ตั้งข้อสังเกตนี้ เพราะ #จากประวัติของปรีชาจะเห็นได้ว่ามีพฤติกรรมส่อทุจริตมานานแล้ว ตั้งแต่

1. การเอาเงินของกองทัพภาค 3 ไปฝากในชื่อบัญชีส่วนตัวของนางผ่องพรรณ ภริยาของตนเอง และไม่สามารถชี้แจงได้ **

2. สำแดงบัญชีทรัพย์สินอันไม่โปร่งใส ต่อ ป.ป.ช. และไม่สามารถอธิบายแสดงที่มาที่ไปของเงินหลายส่วน หลายบัญชีได้ (รายรับผ่อง เกินรายได้ที่แจง) พอโดนสังคมเรียกร้อง ป.ป.ช.ตรวจสอบ บอกไม่ผิด ***

(ที่มา **, ***
เงินไหลเวียนบัญชี 'เมียปรีชา 'ปมที่ยังไม่เคลียร์? หลังป.ป.ช.ยันยื่นทรัพย์สินถูกต้อง
http://www.isranews.org/isra-news/item/42000-preechaaaa_8d88dee.html

ท่ามกลางข้อครหา และประเด็นสงสัยหลายประการที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ได้แจ้งต่อสาธารณชน เช่น การนำเงินของกองทัพภาคที่ 3 มาใส่ไว้ในบัญชีตัวเอง โดยมีชื่อของนางผ่องพรรณ จันทร์โอชา คู่สมรส เป็นหนึ่งในผู้มีอำนาจเบิกจ่าย หรือยอดเงินไหลเวียนในบัญชีของนางผ่องพรรณจำนวนหลายสิบล้านบาท ทั้งที่แจ้งว่า ไม่ได้ประกอบธุรกิจ หรือแม้แต่บรรดาทรัพย์สินต่าง ๆ ของ พล.อ.ปรีชา ที่มีเพิ่มขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อปี 2557 
- http://www.isranews.org/isranews-scoop/item/50126-oooodm.html)

3. มีการใช้เส้นสายให้บุตรชายคนเล็กของตนเองเข้ารับราชการทหาร โดยไม่เปิดรับสมัครสอบสาธารณะแบบปกติ ทั้งที่บุตรชายจบนิเทศศาสตร์ ซึ่งมีบุคลากรในสายนี้อยู่มาก หากเปิดสอบย่อมเป็นผลดีต่อราชการ แต่นี่ยัดลูกเป็นทหาร ขณะที่ตนเองเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม นี่เรียกว่า คอรัปชั่น และทำให้ระบบคุณธรรม และระบบการสอบแข่งขันไร้ความหมาย แบบนี้เป็นการตัดโอกาสคนมีความรู้ความสามารถในการเข้ารับราชการ ****

(ที่มา **** 
เผยเอกสารลับ สั่งการให้รับลูกชายตัวเองเข้ารับราชการทหาร พร้อมภาพหลังบรรจุเป็นทหารแล้ว https://www.facebook.com/secret100million/posts/535670669964467

พล.อ.ปรีชา ยอมรับ แต่งตั้งลูกชายเป็นทหาร เผยใคร ๆ ก็ทำกัน 
http://hilight.kapook.com/view/135545 ) 

- - - - - - - - - - 

อย่างนี้ ส่องไฟ ไล่โกง ต้องถามว่า ส่องใคร
ส่องคนไปทั่ว พอถึงคนในครอบครัว กลับปิดไฟ
ส่องคนอื่น ไม่ส่องพวกตัวเอง อย่างนั้นหรือไม่ ? 
อะไรคือศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม ที่คสช.ชอบอ้าง
มาตรฐานแบบนี้ เรียก แบบเลือกปฏิบัติ ใช่ไหม ? 

หากท่านทั้งหลายไม่หูหนวก ไม่ตาบอด ไม่มีใจอคติ
ท่านทั้งหลายย่อมพิจารณาได้ด้วยตนเอง

ช่วยกันแชร์ไปให้คนอื่นๆทั้งสังคมไทยได้อ่าน

Monday, September 19, 2016

จันทร์โอชา เน่า...ลูกชายอีกคน ตั้งบริษัทรับเหมา...ชงเอง กินเองในครอบครัว

หยุดดัดจริตประเทศไทย
10 hrs · 
เจอเรื่องฉาวอีกแล้ว คราวก่อนลูกชายคนเล็ก คราวนี้ลูกชายคนโต ชื่อว่า "นายปฐมพล จันทร์โอชา" ตั้งบริษัทรับเหมาก่อสร้างชือว่า "หจก.คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น"
ปรากฎว่าบริษัทนี้ คว้างานกินรวบรับเหมาที่กองทัพภาคที่ 3 ที่พ่อมัน (ปรีชา จันทร์โอชา) คุมอยู่ คือไม่ว่าจะมีงานก่อสร้างอะไร ไอ้บริษัทนี้รับงานเรียบ มันจงใจล็อคสเป็ค ถ้าประกวดราคาก็ทำแบบเป็นพิธีสุดท้ายก็รู้อยู่แล้วว่าใครจะได้งาน
หลังรัฐประหาร คว้าสองโปรเจคท์ใหญ่
1.ก่อสร้างอาคารอเนกประสงค์ของกองทัพภาคที่3 จังหวัดทหารบกเพชรบูรณ์ ค่ายพ่อขุนผาเมือง วงเงิน 13,680,000 บาท
2.ก่อสร้างตึกแถวนายททหารประทวน 10 ครอบครัวของโรงพยาบาลค่ายวชิรปราการ ต.น้ำริม อ.เมืองตาก จ.ตาก วงเงิน 13,280,000 บาท
สรุปแล้วรับทรัพย์จากสองโครงการ 26.9 ล้านบาท ซึ่งก็คือเงินจากภาษีประชาชน เข้าข่ายฮั้วประมูลชัดเจน ทำผิดระเบียบราชการ มันเป็นไปไม่ได้ ที่บริษัทเล็กๆแบบนี้มันจะมารับเหมาโครงการใหญ่ แล้วบังเอิญ "เจ้าของ" กับ "ลูกค้า" มันเป็นครอบครัวเดียวกัน
"เรือล่มในหนอง ทองจะไปไหน"
ข่าวนี้ผมพูดตั้งแต่ตอนที่ลูกชายปรีชาอีกคน ได้แต่งตั้งเป็นทหาร เวลานั้นมีคนส่งข่าวมา ผมพูดไปแล้วว่า "ลูกชาย" ของปรีชาอีกคน ตั้งบริษัทมากินงบหลวง คว้างานจากพ่อทุกโครงการ แบบนี้ก็ได้เหรอ ตั้งบริษัทมา อนุมัติงบให้กับคนในครอบครัว กินกันเอง ง่ายๆ สไตล์ "จันทร์โอชา"
ปล. ช่วยเอาเรื่องนี้ไปให้ "พี่วีระ สมความคิด" หรือ "นายศรีสุวรรณ จรรยา" ช่วยดูด้วย ผมว่ามันต้องมีอะไรแน่นอน ฝากไปยื่นสอบตระกูลนี้ที
ที่มา : http://www.isranews.org/…/inv…/item/50118-report_50118.html…

จันทร์โอชา เน่า...ลูกชายอีกคน ตั้งบริษัทรับเหมา...ชงเอง กินเองในครอบครัว

หยุดดัดจริตประเทศไทย
10 hrs · 
เจอเรื่องฉาวอีกแล้ว คราวก่อนลูกชายคนเล็ก คราวนี้ลูกชายคนโต ชื่อว่า "นายปฐมพล จันทร์โอชา" ตั้งบริษัทรับเหมาก่อสร้างชือว่า "หจก.คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น"
ปรากฎว่าบริษัทนี้ คว้างานกินรวบรับเหมาที่กองทัพภาคที่ 3 ที่พ่อมัน (ปรีชา จันทร์โอชา) คุมอยู่ คือไม่ว่าจะมีงานก่อสร้างอะไร ไอ้บริษัทนี้รับงานเรียบ มันจงใจล็อคสเป็ค ถ้าประกวดราคาก็ทำแบบเป็นพิธีสุดท้ายก็รู้อยู่แล้วว่าใครจะได้งาน
หลังรัฐประหาร คว้าสองโปรเจคท์ใหญ่
1.ก่อสร้างอาคารอเนกประสงค์ของกองทัพภาคที่3 จังหวัดทหารบกเพชรบูรณ์ ค่ายพ่อขุนผาเมือง วงเงิน 13,680,000 บาท
2.ก่อสร้างตึกแถวนายททหารประทวน 10 ครอบครัวของโรงพยาบาลค่ายวชิรปราการ ต.น้ำริม อ.เมืองตาก จ.ตาก วงเงิน 13,280,000 บาท
สรุปแล้วรับทรัพย์จากสองโครงการ 26.9 ล้านบาท ซึ่งก็คือเงินจากภาษีประชาชน เข้าข่ายฮั้วประมูลชัดเจน ทำผิดระเบียบราชการ มันเป็นไปไม่ได้ ที่บริษัทเล็กๆแบบนี้มันจะมารับเหมาโครงการใหญ่ แล้วบังเอิญ "เจ้าของ" กับ "ลูกค้า" มันเป็นครอบครัวเดียวกัน
"เรือล่มในหนอง ทองจะไปไหน"
ข่าวนี้ผมพูดตั้งแต่ตอนที่ลูกชายปรีชาอีกคน ได้แต่งตั้งเป็นทหาร เวลานั้นมีคนส่งข่าวมา ผมพูดไปแล้วว่า "ลูกชาย" ของปรีชาอีกคน ตั้งบริษัทมากินงบหลวง คว้างานจากพ่อทุกโครงการ แบบนี้ก็ได้เหรอ ตั้งบริษัทมา อนุมัติงบให้กับคนในครอบครัว กินกันเอง ง่ายๆ สไตล์ "จันทร์โอชา"
ปล. ช่วยเอาเรื่องนี้ไปให้ "พี่วีระ สมความคิด" หรือ "นายศรีสุวรรณ จรรยา" ช่วยดูด้วย ผมว่ามันต้องมีอะไรแน่นอน ฝากไปยื่นสอบตระกูลนี้ที
ที่มา : http://www.isranews.org/…/inv…/item/50118-report_50118.html…