PPD's Official Website

Monday, July 9, 2018

พระครูบาบุญชุ่ม กับ วาทกรรม "เสด็จพ่อ ร. ๑๐"

ก่อนอื่น ขอแสดงความยินดีกับพ่อแม่และญาติ ๆ ของน้อง ๆ ที่ออกมาจากถ้ำได้ทุกท่าน และขอแสดงความชื่นชมต่อน้ำใจของคนไทยที่เกี่ยวข้องกับการกู้ภัยครั้งนี้ทุกท่าน และนี่คือบทพิสูจน์ว่า เราอาจจะกู้วิกฤติทางการเมืองของชาติร่วมกันโดยไม่ต้องเลือดท่วมท้องช้างได้ แม้ว่าการสูญเสียจะไม่มีทางเลี่ยงได้แน่นอนก็ตาม

ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่าน ผมได้จับตาดูความเคลื่อนไหวของครูบาบุญชุ่มมาระยะหนึ่งแล้ว เริ่มสงสัยในบทบาทและท่วงท่าในเบื้องต้น เพราะไม่เคยรู้จักท่านมาก่อน และผมเป็นคนไม่มีพระครูหรือพระสงฆ์องค์ใดเลยที่ผมยึดถือและนับถือเป็นส่วนตัว เพราะตามบ้านนอกแถวที่ผมอยู่ไม่มีวัดใหญ่ๆ  วัดหลวง หรือวัดที่มีพระครูหรือครูบาอะไรอยู่ใกล้ ๆ เท่าไหร่   แต่ก็ไม่ได้ดูหมิ่นหรือไร้ศรัทธาต่อพระอริยสงฆ์นะครับ กราบไหว้ได้และก็พอจะรู้สึกได้เวลานั่งสนทนากับหลวงพี่ทั้งหลายทั้งในและนอกประเทศ เพียงแต่ผมดูพฤติกรรมและตัดสินเป็นราย ๆ ไป และไม่ได้ถือว่าใส่ผ้าเหลืองแล้วจะต้องต่างจากมนุษย์คนอื่น คือ สงสัยไม่ได้   

ที่จริงแล้ว สำหรับพระสงฆ์แล้ว เราต้องสงสัยให้มากกว่าคนอื่น เพราะวางตนในฐานะที่เหนือกว่าคนทั่วไปในเชิงจิตวิญญาณ  ถือศีลมากกว่า รับเงินสนับสนุนจากสาธารณะได้อย่างเสรี และมีบทบาทสำคัญหรือมีอิทธิพลต่อสังคมมากกว่าคนทั่วไป

ในกรณีพระครูบาบุญชุ่มนี้ ผมสงสัยในเรื่องอายุ เลยไปค้นดู พบว่าอยู่ในวัย ๕๓ ปีเศษ ซึ่งถือว่าไม่มาก (เพราะเท่ากับผมเลย และผมเองก็ไม่คิดว่าตนเองแก่เลย รู้สึกยังไงเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว วันนี้ก็ยังไม่ต่างไปมาก ในเชิงกายภาพนะครับ)  ทราบว่าท่านยากจนมาก่อนและได้บวชเรียน แล้วก็ปฏิบัติแบบเคร่ง คือเป็นพระป่า(มาก่อน?) จนมีบารมีธรรมเป็นที่เลื่องลือพอสมควร   

แต่บทบาทตอนหลังนี้ ผมเห็นนายทุนระดับสำคัญ ๆ นักการเมืองหลายคน ที่อยากได้ อยากเป็น อยากมี ได้เข้าหาและนับถือท่านมากพอสมควร และท่านก็ดูจะมีความพึงพอใจกับสถานะพิเศษนี้ด้วย

และเมื่อดูพฤติกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการอ้างเรื่องนางนอน การอ้างเรื่องผีสางและดวงวิญญาณ การเป่าเสกมนต์ยันตร์ ฯลฯ  ก็เริ่มสงสัยบ้าง ว่าหากจะเปรียบกับการเทศนาธรรมระดับสูง ถึงขั้นให้มุ่งสู่นิพพานแล้ว ผมเริ่มสงสัยตั้งแต่การให้พรญาติโยมตามที่ต่าง ๆ ว่า ขอให้รวย รวย รวย แล้วล่ะครับ

ผมเคยใช้คำว่า political monk หรือพระที่มีทีท่าเชิงการเมืองหรือมีจริตทางโลก เมื่อช่วงที่ท่านแสดงตัวแถวถ้ำนางนอนแรก ๆ เพราะท่วงท่าออกไปในเชิงพูดเพื่อผลประโยชน์แบบโลกิยะ (ของตนหรือของคนอื่นด้วย) ที่ดูคล้ายนักโฆษณาตน หรือพระเก่งเชิงจิตวิทยา  (ซึ่งไม่แปลก เพราะเทศน์มานาน และคงรู้ว่าท่อนไหน คำสอนไหน คือแก่นที่ตนใช้และ/หรือใช้ได้ผลดีต่อการยอมรับของประชาชน) แต่ก็ไม่ได้ปักใจอะไรมากมาย พยายามตัดอคติออกไป เพราะเห็นด้วยเช่นกันว่า พระครูบาดูมีความเมตตาอย่างชัดแจ้ง ทำอะไรออกไปก็มีแต่เมตตากรุณา ซึ่งอันนี้ ผมพอสังเกตุได้และค่อนข้างเชื่อว่าท่านแสดงออกมาด้วยจริตสันดานที่แท้จริงแห่งตนที่ได้รับการขัดเกลามานาน อาจจะหลายภพชาติ

แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ผมต้องเพ่งตาให้หนักไปที่พระรูปนี้ ก็เพราะท่านเทศนาแบบ "เลีย" รัชกาลก่อน แบบชัด ๆ ซึ่งก็ไม่แปลกใจเกินไปนัก เพราะคนรุ่นเดียวกันกับผม โตมาในแบบที่รู้เห็นอะไรที่พอเข้าใจได้  และด้วยท่านไม่ใช่คนแก่เรียนทางโลก กล่าวคือ มีภูมิรู้ทางโลกค่อนข้างจำกัด เพราะยากจน ไม่ได้เรียนต่อทางโลก ผมก็พอจะเข้าใจได้ หากท่านจะรักเจ้าและชเลียร์เจ้า  เพราะการเติบโตของท่านนั้น เรียกว่า เกิดและโตและเจริญในยศทางธรรมใต้ร่วม ร.​๙ เต็ม ๆ นะครับ  แต่เรื่องทางธรรม ผมต้องยกว่าท่านคงทั้งเรียนและปฏิบัติถึงระดับบรรลุ... จะบรรลุอะไรแค่ไหน และเป็นไปตามพุทธวจนะหรือไม่เพียงใด อีกเรื่องหนึ่ง   .....แต่การกล้าพูดในหลายโอกาสถึงพระบารมีของ "เสด็จพ่อ ร. ๑๐" นี่ ทำให้ผมแทบหงายหลังตกเก้าอี้ น้ำหมากหกพื้นเลยทีเดียว

เฮ๊ย ... ถามจริง ๆ ท่านครูบาบุญชุ่ม คิดว่า กรรมของรัชกาลที่ ๑๐ ในชาติก่อน (ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นได้ยาก) กับ กรรมในชาตินี้ รวมกันนี่ เรียกว่า วชิราลงกรณ์ยังเป็น เสด็จพ่อของคนทั้งชาติได้เลยหรือ (ฮา) 

ฮานี่บ่าเฮ้ย... งืด

อย่าหาว่าผมล่วงเกินพระอริยสงฆ์เลยนะครับ  

แต่การที่พระรูปหนึ่ง ทำให้เราเชื่อว่า ท่านปฏิบัติดี และบรรลุแล้วนั้น

ท่านจะรู้ทุกอย่างหรือ? จะรู้เท่าทันทางโลกหรือ? จะหูทิพย์ตาทิพย์เลยหรือ?  จะหมดกิเลสแบบไม่มีทางยุบพองได้อีกทุกรูปหรือ?  ฯลฯ 

ผมคือชาวพุทธแต่กำเนิด และนับถือหลักพระพุทธศาสนาสำหรับการครองตนมาตลอด แม้ว่าจะไม่สมบูรณ์ มียุบมีพอง มีทำได้และทำไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ก็รู้ไม่น้อย  ดังนั้น จะหาว่าผมทำลายและเหยียบยำ ก้าวล่วง หรือละเมิดพระสงฆ์โดยไร้เหตุผลไม่ได้ 

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ผมพูดบนฐานของพระพุทธศาสนาอันสำคัญ คือหลักกาลามสูตร ครับ 

นี่คือคลิปที่ดลใจให้ผมรีบนั่งพิมพ์ข้อความนี้ครับ

https://youtu.be/xtWJHTLXVX0?t=19m12s

ผมเชิญชวนให้ท่านจับตาพระครูท่านนี้ด้วยกันนะครับ ยังไม่ต้องด่วนตัดสิน และอย่ามองแค่ความศรัทธา หรืออย่าให้อะไรที่พิสูจน์ไม่ได้ มาเป็นตัวปิดกันการศึกษาท่านเป็นกรณีตัวอย่าง  พระหน้าตาดี เทศน์เก่ง อาคมขลัง และดูท่าจะมีอะไรพิเศษ ๆ แบบนี้ ไม่ได้มีรูปเดียว และหลายรูปก็ลงเอยไม่สวย คือ จบไม่สวยด้วยกฎของทางธรรม 

ผมไม่ได้เชิญชวนให้พี่น้องหยามหมิ่น หรือร่วมลบหลู่บารมีของท่าน แต่วิพากษ์ด้วยรับไม่ได้ในเรื่องการแสดงออกในเชิงการเมืองที่รับใช้ชนชั้นปกครองอย่างโจ่งแจ้ง และพฤติกรรมด้านอื่น ๆ ก็ต้องตั้งคำถามไว้ก่อน  ผมชวนคิดอย่างสร้างสรรค์ ชวนตั้งคำถาม และชวนพิสูจน์  ตามหลักพุทธเป๊ะเลยนะครับ

Saturday, July 7, 2018

"เปิด 28 รายชื่อ “ผู้คุมยุทธศาสตร์ชาติ” นายทุน, ขุนนาง, ขุนศึก และหนึ่ง NGO"

จากนี้ต่อไปอีก 20 ปี ยุทธศาสตร์ชาติ ที่เป็นของเผด็จการ สร้างโดยเผด็จการ และเพื่อระบอบของเผด็จการ ได้ออกมาแล้ว มันจะกลายเป็นแผนการเพื่อปกครอง กดขี่ ข่มเหง ให้คนไทย และประเทศไทย อยู่ใต้อาณัติของระบอบเผด็จการตลอดไป ผมได้เฝ้าติดตาม ศึกษา วิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วน และรอบด้าน พวกเขามีแต่นายทุนผูกขาด ขุนศึกที่ยึดอำนาจของประชาชนไป และ ศักดินาอำมาตย์ ที่ไม่เคยเชื่อมั่นศรัทธาในระบอบประชาธิปไตยเลย พวกเขามาโดยไม่ชอบธรรม คือปล้นอำนาจ รัฐประหารมา ออกกฎหมายเพื่อตนเองและพวกพ้องเครือข่ายของพวกตนเอง กดขี่ข่มเหง ริดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนมากขึ้น และมีเจตนารมณ์ย่อยสลายทำลายประชาธิปไตยอย่างแยบยล และให้อ่อนแอจนประชาชนจะต้องอยู่ในสถานะเป็นทาส ไพร่ คอยรับใช้ระบอบเผด็จการ นายทุนขุนศึกและศักดินาอำมาตย์ตลอดไป ชั่วลูกชั่วหลาน
     ยกเว้นคนไทยส่วนใหญ่ จะร่วมกันล้างมรดกบาปของระบอบเผด็จการที่มาในรูปแบบยุทธศาสตร์ชาติ รัฐธรรมนูญ กฎหมาย และ ระเบียบ คำสั่ง ทุกอย่างที่เหล่าเผด็จการและเครือข่าย คสช. ครม. สนช. สปช. สปท. ที่มาจากการยึดอำนาจให้หมดสิ้น ช่วยกันและกันนะครับ พี่น้องประชาชนคนไทยที่รัก เพื่อประเทศไทยของเรา และลูกหลานของพวกเราทุกคน
      
         นคร มาฉิม

อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพิษณุโลก

อดีตประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองสภาผู้แทนราษฎร

           8 กรกฎาคม 2561

"เปิด 28 รายชื่อ "ผู้คุมยุทธศาสตร์ชาติ" นายทุน, ขุนนาง, ขุนศึก และหนึ่ง NGO"

Friday, July 6, 2018

สรุปแนวร่วมพรรคพลังประชารัฐ “ล่าสุด” ได้ดังนี้

สรุปแนวร่วมพรรคพลังประชารัฐ "ล่าสุด" ได้ดังนี้

ภาคอีสาน ประมาณ 58 คน จ.นครราชสีมา นายภิรมย์ พลวิเศษ นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ นายสมชัย ฉัตรพัฒนศิริ นายจำลอง ครุฑขุนทด พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ นายสุพร อัตถาวงศ์ นายวิรัช นางทัศนียา นายอธิรัฐ และนายทวิรัฐ รัตนเศรษฐ และนายพลพีร์ สุวรรณฉวี

จ.ขอนแก่น นายปัญญา ศรีปัญญา นายณรงค์เลิศ สุรพล นายสมศักดิ์ คุณเงิน และนพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ

จ.อุดรธานี นพ.วิชัย ชัยจิตวณิชกุล จ.ชัยภูมิ ได้แก่ นายวุฒิชัย สงวนวงศ์ชัย ร.ต.วัฒนา แก้วศิริ พ.ท.อรุณ ชาลีรินทร์ จ.กาฬสินธุ์ ได้แก่ นายประดิษฐ์ ฉัตรจรัสกุล นายวิทยา ภูมิเหล่าแจ้ง นายบวร ภูจริต และนายจำลอง ภูวนา จ.สุรินทร์ ได้แก่ นายยรรยง ร่วมพัฒนา นายสมศักดิ์ เจริญพันธ์ นายเกษมศักดิ์ แสนโภชน์

จ.อุบลราชธานี คือ นายวีรศักดิ์ จีนารัตน์ จ.ร้อยเอ็ด นายเกษม มาลัยศรี นายประณต เสริฐวิชา และนายเวียง วรเชษฐ์ จ.หนองบังลำภูคือ พ.ต.ดร.สุรชาติ สุวรรณพรหม

จ.เลย ได้แก่ นายปรีชา นางเปล่งมณี เร่งสสมบูรณ์สุข นายวันชัย บุษบา จ.ศรีสะเกษ ได้แก่ นายกล่ำคาน ปาทาน นายพิทยา บุญเฉลียว และนายอมรเทพ สมหมาย

จ.ยโสธร ได้แก่ นายวิสันต์ เดชเสน นายพิกิฏ ศรีชนะ นายรณฤทธิชัย คานเขต จ.สกลนคร คือนายสาคร พรหมภักดี นายวัชรินทร์ ศรีถาพร นายถนอม สมผล จ.อำนาจเจริญ ได้แก่ นายบวรศักดิ์ คะณาเสน นายชัยศรี กีฬา นายวิเชียร อุดมศักดิ์ จ.บึงกาฬ คือนายยุทธพงษ์ แสนศรี

จ.มุกดาหาร คือนายเพียร แสวงบุญ จ.หนองคายคือ นายสมคิด บานไทสงค์ จ.นครพนม ได้แก่ นายภูมิพัฒน์ พชรทรัพย์ จ.มหาสารคาม ได้แก่ นายสุชาติ ศรีสังข์

ภาคกลาง ประมาณ 14 คน จ.ชัยนาท ได้แก่ นายอนุชา นาคาศัย และนายมณเฑียร สงค์ประชา จ.ราชบุรี ได้แก่ นายมานิต นพอมรบดี นายวิวัฒน์ นิติกาญจนา จ.สิงห์บุรี คือ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์

จ.นครนายก คือนายสมพงษ์ สายทอง จ.นครปฐม คือ นายระวัง เนตรโพธิ์แก้ว จ.สระบุรี ได้แก่ นายปรพล อดิเรกสาร นายจเร ตันฑ์พรชัย

จ.สมุทรปราการ ได้แก่ นายกรุงศรีวิไล สุทิน นายจิรพันธ์ ลิ้มสกุลศิริรัตน์ จ.กาญจนบุรี นายเรวัต ศิรินุกูล นายสันทัด จีนาภักดิ์ จ.นนทบุรี คือนายฉลอง เรี่ยวแรง

ภาคเหนือ มีประมาณ 11 คน ได้แก่ จ.สุโขทัย นายมนู พุกประเสริฐ อดีต ส.ส.ภูมิใจไทย นายจักรวาล ชัยวิรัตน์นุกูล อดีตส.ส.ภูมิใจไทย, จ.ลำพูน นายทรงชัย วงศ์สวัสดิ์ อดีต ส.ส.ไทยรักไทย, จ.เชียงราย นายบัวสอน ประชามอญ อดีต ส.ส.ไทยรักไทย

จ.เชียงใหม่ นายโสภณ โกชุม อดีตส.ส.ประชาธิปไตย นายสันติ ตันสุหัช, จ.แม่ฮ่องสอน นายสุรสิทธิ์ ตรีทอง อดีตส.ส.ประชาธิปัตย์, จ.นครสวรรค์ นายทรงศักดิ์ ส่งเสริมอุดมชัย, จ.พะเยา นายเกรียงไกร ชัยมงคล

ขอบคุณข้อมูล : สปริงนิวส์ ข่าวสด

ด่วน! สนช.มติเอกฉันท์เห็นชอบยุทธศาสตร์ชาติ ส่งนายกฯนำขึ้นทูลเกล้าฯใน 20 วัน


ด่วน! สนช.มติเอกฉันท์เห็นชอบยุทธศาสตร์ชาติ ส่งนายกฯนำขึ้นทูลเกล้าฯใน 20 วัน
วันที่ 6 กรกฎาคม 2561 - 13:08 น.
188
SHARES





Thursday, July 5, 2018

ชี้ขาดบริษัทคิงเกต คอนโซลิเดต ฟ้อง บริษัทซูริกประกันภัย

พรุ่งนี้ชี้ขาดบริษัทคิงเกต คอนโซลิเดต ฟ้อง บริษัทซูริกประกันภัย แถลงการณ์น่าจะช่วงเช้า (เวลาออสเตรเลีย) 

ลิงค์อันนี้จะอัพเดตข่าวของคิงเกตครับ พรุ่งนี้อย่าลืมติดตามกันนะครับ

จะดูว่าซูริกประกันภัยต้องจ่ายกี่หมื่นหรือกี่แสนล้านครับ ซึ่งคณะรัฐประหารต้องจ่ายคืนให้บริษัทซูริกประกันภัย (มิใช่เงินจากภาษีประชาชน)



กิเลสชั้นละเอียด ที่ถูกปรุงขึ้นมาเป็นกิเลสชั้นกลาง เรียกว่า "นิวรณ์ ๕"


กิเลสชั้นละเอียด ที่ถูกปรุงขึ้นมาเป็นกิเลสชั้นกลาง เรียกว่า "นิวรณ์ ๕" รบกวน
อยู่ที่ มโนทวาร นั้น มีเรื่องที่พึงศึกษาดังนี้

คำว่า นิวรณ์  แปลว่า เครื่องห้าม หรือ เครื่องกั้น ในที่นี้หมายถึง เครื่องกั้นจิต
มิให้บรรลุถึงธรรม ที่สูงขึ้นไป อธิบายว่า ตามปรกติ คนเรา มักมีความรู้สึกที่
เรียกว่า นิวรณ์ อยู่ด้วยกันทุกคน ไม่อย่างใด ก็อย่างหนึ่ง ตามวิสัยของ ปุถุชน
เพราะฉะนั้น จึงเป็นอันว่า จิตของ ปุถุชน ถูกนิวรณ์ เหล่านี้ กีดกันไว้ จากการ
บรรลุธรรมะ ที่สูงขึ้นไป อยู่ทุกครั้ง ที่ กิเลสชั้นละเอียด ถูกปรุง ฟุ้งป่วน ขึ้น
เป็นความกลัดกลุ้ม วุ่นวาย ไม่สงบ รำงับ ในภายใน ผู้ที่สามารถทำจิตให้ว่าง
จากนิวรณ์ ได้ตาม ความต้องการ ของตน นับว่า เป็นปุถุชนพิเศษ หรือ กัลยาณ
ปุถุชน ได้แก่ ผู้มีปัญญา ในการที่จะเปลื้องนิวรณ์ เหล่านี้ ออกไป เสียจากจิต
โดยการยกจิต ขึ้นมาสู่ สมาธิได้สำเร็จ ตามวิธีใด วิธีหนึ่ง เป็นต้น

กามฉันทะ แปลว่า ความพอใจในกาม แต่ความหมาย หมายถึง ความกลัดกลุ้ม
อยู่ด้วยความกำหนัดในกาม จนมืดมัว ไม่แจ่มใส ไม่เห็นแจ้ง ในธรรมตามที่เป็น
จริง ท่านเปรียบอุปมาเหมือนน้ำใส แต่มีสี ต่างๆ มาเจือปน จนหมดความใส

พยาบาท หมายถึง ความกลัดกลุ้ม อยู่ด้วยความไม่พอใจ โกรธแค้น เกลียดชัง
เป็นต้น ซึ่งทำความมืดมัว ให้อีก ในลักษณะหนึ่ง ซึ่งท่าน เปรียบด้วยน้ำที่ใส
แต่ถูกทำให้เดือด พลุ่งพล่าน อยู่ ก็ไม่อาจ ทำให้ผู้มอง มองเห็น สิ่งต่างๆ ที่มี
อยู่ ภายใต้น้ำ นั้นได้

ถีนมิทธะ ความที่จิตหดหู่ เคลิบเคลิ้ม ไม่ร่าเริง แจ่มใส ทำให้ จิต ไม่มีสมรรถ
ภาพ ในการที่จะเห็นแจ้ง ในธรรม ท่านเปรียบเหมือน น้ำใส แต่มีพืช เช่น
ตะไคร่ หรือ สาหร่าย เกิด อยู่เต็ม ก็ไม่อาจจะ มองเห็น สิ่งต่างๆ ใต้น้ำ ได้
เช่นเดียวกัน

อุทธัจจกุกกุจจะ หมายถึง ความฟุ้งซ่าน รำคาญ กระสับกระส่าย ในลักษณะที่
ตรงกันข้าม จากถีนมิทธะ ท่านเปรียบอุปมา ไว้เหมือนน้ำใส แต่ถูก ทำให้เป็น
ละลอกคลื่น หรือ กระเพื่อม อยู่เป็นนิจ ทำให้ไม่สามารถ จะมองเห็นสิ่งใต้น้ำ
เช่น กรวด ปลา และ หอย ได้เช่นเดียวกัน

วิจิกิจฉา ข้อสุดท้ายนั้น หมายถึง ความสงสัย เพราะไม่รู้  หรือ มีอะไร มา
รบกวน ความอยากรู้ ไม่มีความสงบลงได้ ทำให้ เกิดความมืดมัว แก่จิต ไม่
อาจจะเห็นแจ้ง ในสิ่งที่ควรเห็นแจ้ง ท่านเปรียบเหมือน น้ำใส อยู่ในที่มืด
ย่อมไม่อำนวยให้มองเห็นสิ่งต่างๆ ในน้ำนั้นได้

เมื่อพิจารณา ดูจากอุปมาเหล่านี้ จะเห็นความหมายได้ว่า จิตที่เป็นเดิมๆ นั้น
มีลักษณะเป็นประภัสสร คือใสกระจ่าง แต่ได้สูญเสีย ความในกระจ่างไป
เพราะสิ่งภายนอก เข้าไปแทรกแซง โดยการปรุงแต่ง ต่างๆ กัน ใน ๕ ลักษณะ
ที่กล่าวแล้ว เรามีหวัง ที่จะขจัด สิ่งซึ่งเป็น นิวรณ์ เหล่านั้น เช่นเดียวกับ อาจ
จะขจัด สิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในน้ำ ตามที่กล่าวแล้วในอุปมา ฉะนั้น จึงถือว่า เป็น
สิ่งที่ ไม่เหลือวิสัย และมีลู่ทาง สำหรับให้ปฏิบัติ จนประสบผล ได้โดยแน่นอน
ถ้าสังเกตให้ดี จากอุปมา จะเห็นว่า กามฉันทะ เป็นสิ่งที่ ขจัดยาก เช่นเดียวกับ
น้ำผสมสี เป็นการยาก ที่จะแยกเอาสี ออกจากน้ำ ได้ง่ายๆ ไม่เหมือนกับ การยก
สาหร่าย หรือ จอกแหน ขึ้นจากน้ำ ในอุปมาของ ถีนมิทธะ เป็นต้น เพราะฉะนั้น
ผู้ปฎิบัติ จะต้องเลือกหา ข้อปฏิบัติ ที่เป็น คู่ปรับ โดยตรง กับนิวรณ์ ของตนๆ
โดย หลักทั่วๆ ไป ท่านถือเป็นหลัก เลือกวิธีขจัด นิวรณ์ ๕ ด้วย กัมมัฏฐาน
อารมณ์ ต่างกัน เป็น ๕ อย่าง ดังนี้:

(๑) ให้พิจารณาในทาง อสุภะ และปฏิกูล เช่น กายคตาสติ เป็นต้น ซึ่งจะกำจัด
กามฉันทะ
ได้

(๒) ให้ เจริญ เมตตา โดยนัยเป็นต้นว่า ให้เห็น โดยความเป็น เพื่อนสัตว์ ที่เกิด
แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมด ทุกคน ทุกชีวิต นี่ ย่อม กำจัด พยาบาท

(๓) ให้ทำในใจ ถึง แสงสว่างเป็นอารมณ์ เช่น การเจริญ อโลกสัญญา เป็นต้น
ย่อมกำจัด ถีนมิทธะ ข้อนี้ แม้การทำในใจ ถึงสิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่ง ความเลื่อมใส
หรือ อิ่มใจ เช่น การเจริญ พุทธานุสติ เป็นต้น ก็ อาจจะช่วย กำจัด ถีนมิธะ ได้
ตามสมควร

(๔) ให้ทำจิต จดจ่อ อยู่ที่ สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งง่ายแก่การ จดจ่อ เช่น การเจริญกสิณ
ทั่วๆไป หรือ แม้แต่ การเจริญอานาปานสตย่อมกำจัด อุทธัจจะกุกกุจจะได้

(๕) ให้ทำความเชื่อ ในสิ่งที่ควรเชื่อ แน่ใจในสิ่งที่ควรแน่ใจ ทำให้รู้ในสิ่งที่ควรรู้
เช่น เชื่อในการตรัสรู้ ของพระพุทธเจ้า แน่ใจในเรื่องกรรม หรือทำความรู้ ในเรื่อง
ไตรลักษณ
์ อย่างนี้เป็นต้น ย่อมกำจัด วิจิกิจฉา ให้สิ้นไป

ถ้ากล่าวกลับกัน อีกทางหนึ่ง ถ้าผู้ใด สามารถทำสมาธิให้เกิดขึ้น โดยวิธีใดก็ตาม
จนกระทั่งเป็น อัปปนาสมาธิ คือ สมาธิที่แน่วแน่ แล้ว นิวรณ์ทั้ง ๕ ย่อมเป็นอัน
ระงับไปหมดสิ้น ฉะนั้น ในอันดับแรกนี้ บุคคล ควรเริ่มต้น ด้วยการ เจริญสมาธิ
ที่สะดวกสบาย เช่น อานาปานสติ เป็นต้น ต่อเมื่อทำไปไม่สำเร็จ เพราะนิวรณ์
อย่างใด รบกวนพิเศษ จึงค่อยหันไป เจริญสมาธิ ที่เป็นคู่ปรับกับนิวรณ์นั้นโดย
ตรง จะเป้นวิธีที่ สะดวกกว่า และ ได้ผลดีกว่า

ความไม่มีนิวรณ์ หมายถึง จิตมีลักษณะบริสุทธิ์ ผ่องใส เยือกเย็น ปลอดโปร่ง
เป็นความพร้อม ที่จะรู้แจ้งเห็นจริง ในอรรถะ และธรรม อันลึก นับว่า เป็นสิ่ง
ที่จำเป็น จะต้องมี หรือ ต้องฝึกหัด สำหรับ ผู้ที่ประสงค์ จะก้าวหน้า ไปในทาง
ธรรม แม้จะกล่าวกันอย่างโลกๆ เวลาที่จิต ไม่ถูกนิวรณ์ รบกวน ก็กล่าวได้ว่า เป็น
เวลา ที่มีความ ผาสุก ที่สุด จึงได้มีผู้ หลงใหล ใน รสของ สมาธิ หรือ ฌาน จน
ถึงสิ่งนี้เคยถูก บัญญัติ เหมาเอาว่า เป็น นิพพาน มาแล้ว ในยุคหนึ่ง คือ ยุค ที่ยัง
ไม่มีความรู้ ในทางจิตสูงไปกว่านั้น

คัดจาก หนังสือ ศึกษาธรรมะอย่างถูกวิธี หรือ ธรรมวิภาค นวกภูมิ   
คำบรรยายธรรมะ ของ พุทธทาสภิกขุ ในพรรษา ปีพุทธศักราช ๒๕๐๐ 
พิมพ์โดย สำนักพิมพ์สุขภาพใจ




Monday, July 2, 2018

โรนัลโด...มีดีกว่าที่คนหลายคนคิด

1. โรนัลโด ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ เพราะมันทำให้นึกถึงการจากไปของพ่อของเขาที่เสียชีวิตเพราะเหล้า
2. โรนัลโด ไม่สัก เพราะต้องการจะบริจาคเลือดทุกๆ 6เดือน !!! คนดังน่าเอาเป็นแบบอย่างโดยเฉพาะนักกีฬาที่เป็นซุปเปอร์สตาร์ทั้งหลาย
3. โรนัลโดขาย "รองเท้าทองคำ"ของตัวเอง ในมูลค่า1.5ล้านยูโร (60ล้านบาท)เพื่อบริจาคให้โรงเรียนในเมือง Gaza ปากีสถาน
4. ตอนเด็กๆ โรนัลโดมี 2 ฉายา ในสนาม
หนึ่งคือ"ผึ้งน้อย" เพราะไม่มีใครไล่เขาทัน
สองคือ "ไอ้ขี้แย"เพราะชอบร้องไห้เวลาส่งบอลให้เพื่อนและเพื่อนยิงไม่เข้า!!!! (นี่อาจจะเป็นที่มากับสไตล์การเล่นแบบไม่ยอมจ่ายบอล!!)
5.สมัยรุ่นๆ โรนัลโดชอบถ่วงน้ำหนักไว้ที่ขาตัวเองและซ้อมเลี้ยงบอลเสมอเจ้าตัวบอกว่าเพราะจะได้ใช้ขาได้เร็วขึ้น เวลาแข่งจริง!!!
6.อันนี้ดีมาก….อยากให้อ่าน
โรนัลโดเคยให้สัมภาษณ์ถึงเพื่อนคนนึงชื่อ Albert Fantrau และบอกว่าอัลเบิร์ต เป็นคนหนึ่งที่ทำให้เขามายืนถึงจุดนี้ ตอนโรนัลโดยังเด็ก(ประมาณ 8 ขวบ) โรนัลโดยังเป็นแค่เด็กธรรมดาคนนึงไม่มีใครรู้จัก เขากับอัลเบิร์ต เล่นอยู่ในทีมเดียวกัน ไม่ได้เป็นสโมสรจริงจังจนมีแมวมองจาก Andorinha มาดู (สโมสรแรกของโรนัลโด ก่อนจะย้ายไป C.D. Nacional และ ลิสบอน)
แมวมองบอกว่า จะเรียกคนไปคัดตัวที่สโมสรได้หนึ่งคน เลยบอกกับ อัลเบิร์ต และโรนัลโดว่า ถ้าใครยิงได้มากกว่าจะได้โควต้าไปคัดตัวครั้งนี้ โรนัลโดยิงประตูแรกได้…อัลเบิร์ตยิงประตูที่สองได้ …
แต่แล้วท้ายเกมส์ อัลเบิร์ต หลุดไปคนเดียวโล่งๆ ล๊อคหลบโกลล์เสร็จสรรพแต่อัลเบิร์ตกลับไม่ยิง!!! ส่งกลับมาให้โรนัลโดยิงแทน…โรนัลโด้ จึงได้โควต้าไปคัดตัวในครั้งนั้น…และเป็นจุดเริ่มต้นให้เค้าประสบความสำเร็จดังปัจจุบัน
ท้ายเกมส์โรนัลโดไปถามอัลเบิร์ตว่าทำไม ลูกนั้นไม่ยิงเอง
อัลเบิร์ตตอบมาว่า"ก็แกเก่งกว่าชั้น"
และอัลเบิร์ต… ก็ไม่ได้เป็นนักบอลอาชีพด้วยซ้ำ

นักข่าวฟังเรื่องนี้ก็เหมือนจะไม่ค่อยเชื่อ เลยไปตามหานาย Albert Fantrau คนนี้ พอไปเจอตัวจริง อัลเบิร์ต ก็บอกว่าเป็น "เรื่องจริง" อัลเบิร์ตไม่ได้มีงานทำจริงจัง ไม่ได้เป็นนักบอลตามฝัน แต่นักข่าวก็สงสัยว่า อัลเบิร์ตก็ดูเหมือนคนรวยเลยนะ ดูมีความสุขดี มีบ้านใหญ่โตมีรถดีๆใช้ ครอบครัวดูแฮปปี้ ไม่ขัดสน
อัลเบิร์ตตอบกลับมาว่า"อ่อโรนัลโด้ให้…."
เพื่อนสมัย 8 ขวบ เขายังไม่เคยลืม!!!! หล่อไปหมด!! ^___^