PPD's Official Website

Friday, September 2, 2016

น้ำใจ และความเห็นแก่ตัว ของคนไทย!!

An essence of truth here. Must be corrected.

เป็นบทสนทนาสั้นๆของฝรั่ง 2 คน
ที่ดูแล้วเดาว่าน่าจะเป็น "อาจารย์"ของโรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่งบนถนนสุขุมวิท
ทั้งคู่คุยกันด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายเมืองไทย
ในระหว่างนั่งรอแซนด์วิชอยู่ในร้านซับเวย์
ที่ไม่มีลูกค้าอื่นใดนอกจากผม

พวกเขาพูดเรื่องทางเท้าซึ่งในประเทศเรา
ไม่ได้ออกแบบไว้ให้"คน"เดิน

แต่มีไว้ให้พ่อค้าแม่ค้าขายของ
ไว้ให้มอเตอร์ไซค์รับจ้างขี่สวนทางและไว้จอดรถ

แล้วฝรั่งคนหนึ่งก็พูดว่า
"พื้นฐานของคนประเทศผมคือวินัย
แต่พื้นฐานของคนไทยคือความเห็นแก่ตัว"

"คนในประเทศผมจะคิดแล้วคิดอีก"
ถ้าการจอดรถของเขาทำให้ใครลำบาก
และทุกครั้งจะจบลงด้วยการบอกตัวเองว่า "ไม่จอดดีกว่า" 
หรือไม่ก็ไปจอดไกลๆ แล้วเดินย้อนมา

แต่คนไทยไม่…

คนไทยจะ "เห็นแก่ตัว" ทุกที่ที่มีจังหวะ
ไม่ว่ามันจะเป็นการจอดบนทางเท้า
บนเลนจักรยานและแม้กระทั่งปากซอย
หรือกลับรถแล้วจอดทันที
เพราะสันดานพื้นฐานของคนไทยคือ"ความเห็นแก่ตัว"
และ "บังคับให้คนอื่นต้องหลบ" 
เพื่อให้ตนเองได้รับสิทธิพิเศษหรือความสบายมากที่สุดเสมอ

เมื่อไรที่ความเห็นแก่ตัวของคนไทยไม่ได้รับการตอบสนอง
คนไทยจะเรียกหา"น้ำใจ"

เขาเคยนึกว่า"น้ำใจ"ของคนไทยช่างแสนดี

แต่วันนี้เขารู้แล้วว่า"น้ำใจ"คือข้ออ้างของความเห็นแก่ตัว

ไม่ยอมให้แซงคิวในร้านอาหาร = ไม่มีน้ำใจ

ไม่ยอมให้จอดรถซื้อของกระพริบไฟ = ไม่มีน้ำใจ
[แม้จะทำให้รถติดยาวไปอีก 3 กิโลเมตร]

ไม่ยอมหลบให้รถมอเตอร์ไซค์ที่ขี่สวนเลนบนทางเท้า = ไม่มีน้ำใจ

ฝรั่งคนหนึ่งบอกว่า"น้ำใจ"
คือภาษาไทยคำแรกๆที่เขาเรียนรู้ ตอนมาถึงประเทศนี้
แต่ปัจจุบันมันคือคำที่น่า"ขยะแขยง[Disgusting]"สำหรับเขา
เพราะมันคือการที่คนไทยจ้องจะเอาเปรียบกันทุกวิถีทาง
เท่าที่จะทำได้โดยไม่สนใจใครทั้งนั้น

ตอนผมฟังประโยคแรกว่า"พื้นฐานของคนประเทศผมคือวินัย แต่พื้นฐานของคนไทย
คือความเห็นแก่ตัว"ก็อยากจะค้านเหมือนกัน

แต่หลังจากที่พยายามคิดหาเหตุผล
สุดท้ายผมก็นั่งทานเบอร์เกอร์ต่อไปเงียบๆ
พลางนึกถึงแฟนเก่าสาวญี่ปุ่นที่เคยตกใจ
ตอนเห็นร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทางเทน้ำแกงจากหม้อลงบนถนน
กับคำถามที่ว่า"แล้วถ้ามีหนูมีแมลงสาปมาทำรัง ใครจะรับผิดชอบ?"

และ"ทำไมเราต้องมีน้ำใจให้คนเห็นแก่ตัว"



น้ำใจ และความเห็นแก่ตัว ของคนไทย!!

An essence of truth here. Must be corrected.

เป็นบทสนทนาสั้นๆของฝรั่ง 2 คน
ที่ดูแล้วเดาว่าน่าจะเป็น "อาจารย์"ของโรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่งบนถนนสุขุมวิท
ทั้งคู่คุยกันด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายเมืองไทย
ในระหว่างนั่งรอแซนด์วิชอยู่ในร้านซับเวย์
ที่ไม่มีลูกค้าอื่นใดนอกจากผม

พวกเขาพูดเรื่องทางเท้าซึ่งในประเทศเรา
ไม่ได้ออกแบบไว้ให้"คน"เดิน

แต่มีไว้ให้พ่อค้าแม่ค้าขายของ
ไว้ให้มอเตอร์ไซค์รับจ้างขี่สวนทางและไว้จอดรถ

แล้วฝรั่งคนหนึ่งก็พูดว่า
"พื้นฐานของคนประเทศผมคือวินัย
แต่พื้นฐานของคนไทยคือความเห็นแก่ตัว"

"คนในประเทศผมจะคิดแล้วคิดอีก"
ถ้าการจอดรถของเขาทำให้ใครลำบาก
และทุกครั้งจะจบลงด้วยการบอกตัวเองว่า "ไม่จอดดีกว่า" 
หรือไม่ก็ไปจอดไกลๆ แล้วเดินย้อนมา

แต่คนไทยไม่…

คนไทยจะ "เห็นแก่ตัว" ทุกที่ที่มีจังหวะ
ไม่ว่ามันจะเป็นการจอดบนทางเท้า
บนเลนจักรยานและแม้กระทั่งปากซอย
หรือกลับรถแล้วจอดทันที
เพราะสันดานพื้นฐานของคนไทยคือ"ความเห็นแก่ตัว"
และ "บังคับให้คนอื่นต้องหลบ" 
เพื่อให้ตนเองได้รับสิทธิพิเศษหรือความสบายมากที่สุดเสมอ

เมื่อไรที่ความเห็นแก่ตัวของคนไทยไม่ได้รับการตอบสนอง
คนไทยจะเรียกหา"น้ำใจ"

เขาเคยนึกว่า"น้ำใจ"ของคนไทยช่างแสนดี

แต่วันนี้เขารู้แล้วว่า"น้ำใจ"คือข้ออ้างของความเห็นแก่ตัว

ไม่ยอมให้แซงคิวในร้านอาหาร = ไม่มีน้ำใจ

ไม่ยอมให้จอดรถซื้อของกระพริบไฟ = ไม่มีน้ำใจ
[แม้จะทำให้รถติดยาวไปอีก 3 กิโลเมตร]

ไม่ยอมหลบให้รถมอเตอร์ไซค์ที่ขี่สวนเลนบนทางเท้า = ไม่มีน้ำใจ

ฝรั่งคนหนึ่งบอกว่า"น้ำใจ"
คือภาษาไทยคำแรกๆที่เขาเรียนรู้ ตอนมาถึงประเทศนี้
แต่ปัจจุบันมันคือคำที่น่า"ขยะแขยง[Disgusting]"สำหรับเขา
เพราะมันคือการที่คนไทยจ้องจะเอาเปรียบกันทุกวิถีทาง
เท่าที่จะทำได้โดยไม่สนใจใครทั้งนั้น

ตอนผมฟังประโยคแรกว่า"พื้นฐานของคนประเทศผมคือวินัย แต่พื้นฐานของคนไทย
คือความเห็นแก่ตัว"ก็อยากจะค้านเหมือนกัน

แต่หลังจากที่พยายามคิดหาเหตุผล
สุดท้ายผมก็นั่งทานเบอร์เกอร์ต่อไปเงียบๆ
พลางนึกถึงแฟนเก่าสาวญี่ปุ่นที่เคยตกใจ
ตอนเห็นร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทางเทน้ำแกงจากหม้อลงบนถนน
กับคำถามที่ว่า"แล้วถ้ามีหนูมีแมลงสาปมาทำรัง ใครจะรับผิดชอบ?"

และ"ทำไมเราต้องมีน้ำใจให้คนเห็นแก่ตัว"



Thursday, September 1, 2016

เรื่องเล่า อาถรรพ์ เพชรซาอุ

ให้มาติดตามจนรู้ว่าเพชรสีฟ้าชุดใหญ่อยู่ที่ป้าสมจิต เปรมิกาได้ไปรายงานให้ป้าทราบเพื่อหาทางแก้ไข 
แต่ป้าสั่งจัดการ สังหารปิดปากราชวงศ์ทั้งสองคนของซาอุ โดยให้ตำรวจที่ชื่อสมนึก กรรมสนองเป็นคนจัดทีมสังหาร โดยการฆ่ารัดคอเอาศพไปทิ้งแถวบ้านบึง ชลบุรี ตามที่ปรากฏเป็นข่าว วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2533 เกิดเหตุฆาตกรรมนักการทูตซาอุ 3 คน ถูกยิงเสียชีวิต 

หลังจากนั้น 12 กุมภาพันธ์ 2533 นายมูฮัมหมัด อัลรูไวลี่ ( Mohammad Al-Ruwaily ) นักธุรกิจเชื้อพระวงศ์เพื่อนของนักการทูตทั้งสาม ได้เดินทางมากรุงเทพ เพื่อสืบสวนหาเครื่องเพชรดังกล่าว แต่เขาถูกลักพาตัวและถูกฆ่า คนที่ต้องเอาศพไปทิ้งไม่กล้าไปเอง จึงใช้ลูกน้องตำรวจสองคนไปจัดการ พอตอนยกศพลงจากรถ ลูกน้องสองคนนี้เห็นแหวน หัวเข็มขัดทองคำประจำราชวงศ์พร้อมทั้งกระเป๋าเงินจึงแอบหยิบเอามาเป็นของตน พอมาสมัยรักสินได้ส่งมือปราบฝีมือดีชื่อทวี สอดส่ายไปสืบจนได้ตัวคนหามศพทั้งสองคนพร้อมแหวนและหัวเข็มขัดทองคำประจำราชวงศ์ซาอุส่งกลับคืน 

เป็นพยาน เท็จใส่ความว่าชำมะลอเป็นคนเอาเพชรไป นายตำรวจลูกน้องของชำมะลอจึงจับตัวลูกและเมียเสี่ยสันติ เพื่อเป็นตัวประกันต่อรองกับเสี่ยสันติ แต่ทำให้ต้องเสียชีวิต กลายเป็นคดีฆาตกรรม ที่ชำมะลอและพรรคพวกต้องรับโทษถึงขั้นจำคุกตลอดชีวิตและต่อมาก็โดนเพิ่มโทษถึงประหารชีวิต เพื่อปิดปากปิดคดี ให้ผู้ร้ายตัวจริงที่ยักยอกเพชรสีน้ำเงินลอยนวลต่อไป
หัวหน้ารักสินให้มือปราบทำการสอบสวนตรวจสอบจนได้ความจริงทั้งหมด จึงเข้าไปขอร้องป้าสมจิตให้คืนเพชรสีน้ำเงินแก่ราชวงศ์ซาอุ เพราะได้คุยตกลงกับซาอุไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ให้เอาเรื่องกัน เพื่อจะได้รื้อฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อแรงงานไทย และเศรษฐกิจของประเทศจำนวนมหาศาล ที่ถูกสั่งระงับไปเป็นเวลาหลายปี โดยรักสินจะซื้อเพชรที่สวยและแพงไม่แพ้กัน มาให้ป้าสมจิตแทนของเดิมที่ต้องคืนให้เขาไป แต่ป้าไม่ยอม และโกรธมาก เหมือนถูกหยามเกียรติ กลายเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ป้าต้องรีบกำจัดรักสิน


นายเกรียงไกรถูกตัดสินจำคุกที่อยุธยา ฐานลักทรัพย์นายจ้าง และลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โทษจำคุก 7 ปี สารภาพลดโทษกึ่งหนึ่ง คือ จำคุก 3 ปี 6 เดือน แต่ติดคุกจริง แค่ 2 ปี 8 เดือน ส่วนนิยายที่ว่าป้าแบ่งเพชรเป็นสามส่วนก็คงจะเป็นได้ยาก ป้าคงไม่ยอมแบ่งให้มันด้อยค่าลงไปโดยไม่จำเป็น เพราะป้าเชื่อว่าเพชรสีน้ำเงินเป็นของป้าจริงๆ เป็นวาสนาของป้าที่ได้ครอบครองเพชรสีน้ำเงินแม้ว่าเมื่อก่อนมันจะไม่ใช่ของป้าก็ตาม และป้าจะไม่ยอมคืนให้ใครเด็ดขาด เช่นเดียวกับที่ลุงได้สั่งพวกหัวหน้าเสื้อเหลือง ให้ไปทวงเขาพระวิหารคืนมาให้ได้ เพราะลุงสมชายเชื่อมาตลอดว่าเขาพระวิหารเป็นของลุงจริงๆ
ต้นปี 2554 กรมสืบสวนคดีพิเศษซึ่งได้รับความไว้วางใจจากประเทศซาอุและรัฐบาลไทยได้พบของกลางเพิ่มเติม และได้ส่งมอบให้ทางการซาอุได้ดูแล้ว แต่ถ้าได้เพชรสีน้ำเงินคืนก็จะทำพิธีส่งมอบ ที่ฝ่ายปกครองทุกยุคทุกสมัยได้ทุ่มเททั้งงบประมาณ เวลา และเจ้าหน้าที่ เพื่อจะนำของกลางมาคืนให้ซาอุ และกระชับความสัมพันธ์ระหว่างเมืองทั้งสอง ท่านรองผู้กองได้ประกาศว่า 

"ใครที่ครอบครองเพชรซาอุ หากต้องการจะส่งเพชรคืนสามารถใส่ห่อส่งคืนได้ที่กองสืบสวนคดีพิเศษ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีความผิดเพราะคดีขาดอายุความแล้ว ถึงแม้ว่าท่านครอบครองไว้ก็ไม่สามารถทำให้รวยเพิ่มขึ้น ตรงกันข้ามหากเรานำไปคืนแก่เจ้าของเขา ทางซาอุอาจจะให้คนไทยเข้าไปทำงาน หรือให้คนซาอุมาเที่ยวประเทศไทย เป็นการสร้างรายได้ให้กับการท่องเที่ยวเป็นจำนวนมหาศาล แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือศักดิ์ศรีของชาวไทย ที่จะไม่ให้ใครต่อว่าได้ว่าเป็นคนขี้โกง" คำประกาศของท่านรองอธิบดีคงไม่มีผลมากนัก เพราะนายกรักสินก็เคยเสนอป้าสมจิตมานานแล้ว ขนาดว่าจะซื้อให้ใหม่ชุดใหญ่กว่าเดิม แต่ป้าสมจิตแกก็ยังไม่ยอม แถมยังเร่งหาทางกำจัดรักสินโดยเร็วที่สุดอีกด้วย

เรื่องเล่า อาถรรพ์ เพชรซาอุ

ให้มาติดตามจนรู้ว่าเพชรสีฟ้าชุดใหญ่อยู่ที่ป้าสมจิต เปรมิกาได้ไปรายงานให้ป้าทราบเพื่อหาทางแก้ไข 
แต่ป้าสั่งจัดการ สังหารปิดปากราชวงศ์ทั้งสองคนของซาอุ โดยให้ตำรวจที่ชื่อสมนึก กรรมสนองเป็นคนจัดทีมสังหาร โดยการฆ่ารัดคอเอาศพไปทิ้งแถวบ้านบึง ชลบุรี ตามที่ปรากฏเป็นข่าว วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2533 เกิดเหตุฆาตกรรมนักการทูตซาอุ 3 คน ถูกยิงเสียชีวิต 

หลังจากนั้น 12 กุมภาพันธ์ 2533 นายมูฮัมหมัด อัลรูไวลี่ ( Mohammad Al-Ruwaily ) นักธุรกิจเชื้อพระวงศ์เพื่อนของนักการทูตทั้งสาม ได้เดินทางมากรุงเทพ เพื่อสืบสวนหาเครื่องเพชรดังกล่าว แต่เขาถูกลักพาตัวและถูกฆ่า คนที่ต้องเอาศพไปทิ้งไม่กล้าไปเอง จึงใช้ลูกน้องตำรวจสองคนไปจัดการ พอตอนยกศพลงจากรถ ลูกน้องสองคนนี้เห็นแหวน หัวเข็มขัดทองคำประจำราชวงศ์พร้อมทั้งกระเป๋าเงินจึงแอบหยิบเอามาเป็นของตน พอมาสมัยรักสินได้ส่งมือปราบฝีมือดีชื่อทวี สอดส่ายไปสืบจนได้ตัวคนหามศพทั้งสองคนพร้อมแหวนและหัวเข็มขัดทองคำประจำราชวงศ์ซาอุส่งกลับคืน 

เป็นพยาน เท็จใส่ความว่าชำมะลอเป็นคนเอาเพชรไป นายตำรวจลูกน้องของชำมะลอจึงจับตัวลูกและเมียเสี่ยสันติ เพื่อเป็นตัวประกันต่อรองกับเสี่ยสันติ แต่ทำให้ต้องเสียชีวิต กลายเป็นคดีฆาตกรรม ที่ชำมะลอและพรรคพวกต้องรับโทษถึงขั้นจำคุกตลอดชีวิตและต่อมาก็โดนเพิ่มโทษถึงประหารชีวิต เพื่อปิดปากปิดคดี ให้ผู้ร้ายตัวจริงที่ยักยอกเพชรสีน้ำเงินลอยนวลต่อไป
หัวหน้ารักสินให้มือปราบทำการสอบสวนตรวจสอบจนได้ความจริงทั้งหมด จึงเข้าไปขอร้องป้าสมจิตให้คืนเพชรสีน้ำเงินแก่ราชวงศ์ซาอุ เพราะได้คุยตกลงกับซาอุไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ให้เอาเรื่องกัน เพื่อจะได้รื้อฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อแรงงานไทย และเศรษฐกิจของประเทศจำนวนมหาศาล ที่ถูกสั่งระงับไปเป็นเวลาหลายปี โดยรักสินจะซื้อเพชรที่สวยและแพงไม่แพ้กัน มาให้ป้าสมจิตแทนของเดิมที่ต้องคืนให้เขาไป แต่ป้าไม่ยอม และโกรธมาก เหมือนถูกหยามเกียรติ กลายเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ป้าต้องรีบกำจัดรักสิน


นายเกรียงไกรถูกตัดสินจำคุกที่อยุธยา ฐานลักทรัพย์นายจ้าง และลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โทษจำคุก 7 ปี สารภาพลดโทษกึ่งหนึ่ง คือ จำคุก 3 ปี 6 เดือน แต่ติดคุกจริง แค่ 2 ปี 8 เดือน ส่วนนิยายที่ว่าป้าแบ่งเพชรเป็นสามส่วนก็คงจะเป็นได้ยาก ป้าคงไม่ยอมแบ่งให้มันด้อยค่าลงไปโดยไม่จำเป็น เพราะป้าเชื่อว่าเพชรสีน้ำเงินเป็นของป้าจริงๆ เป็นวาสนาของป้าที่ได้ครอบครองเพชรสีน้ำเงินแม้ว่าเมื่อก่อนมันจะไม่ใช่ของป้าก็ตาม และป้าจะไม่ยอมคืนให้ใครเด็ดขาด เช่นเดียวกับที่ลุงได้สั่งพวกหัวหน้าเสื้อเหลือง ให้ไปทวงเขาพระวิหารคืนมาให้ได้ เพราะลุงสมชายเชื่อมาตลอดว่าเขาพระวิหารเป็นของลุงจริงๆ
ต้นปี 2554 กรมสืบสวนคดีพิเศษซึ่งได้รับความไว้วางใจจากประเทศซาอุและรัฐบาลไทยได้พบของกลางเพิ่มเติม และได้ส่งมอบให้ทางการซาอุได้ดูแล้ว แต่ถ้าได้เพชรสีน้ำเงินคืนก็จะทำพิธีส่งมอบ ที่ฝ่ายปกครองทุกยุคทุกสมัยได้ทุ่มเททั้งงบประมาณ เวลา และเจ้าหน้าที่ เพื่อจะนำของกลางมาคืนให้ซาอุ และกระชับความสัมพันธ์ระหว่างเมืองทั้งสอง ท่านรองผู้กองได้ประกาศว่า 

"ใครที่ครอบครองเพชรซาอุ หากต้องการจะส่งเพชรคืนสามารถใส่ห่อส่งคืนได้ที่กองสืบสวนคดีพิเศษ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีความผิดเพราะคดีขาดอายุความแล้ว ถึงแม้ว่าท่านครอบครองไว้ก็ไม่สามารถทำให้รวยเพิ่มขึ้น ตรงกันข้ามหากเรานำไปคืนแก่เจ้าของเขา ทางซาอุอาจจะให้คนไทยเข้าไปทำงาน หรือให้คนซาอุมาเที่ยวประเทศไทย เป็นการสร้างรายได้ให้กับการท่องเที่ยวเป็นจำนวนมหาศาล แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือศักดิ์ศรีของชาวไทย ที่จะไม่ให้ใครต่อว่าได้ว่าเป็นคนขี้โกง" คำประกาศของท่านรองอธิบดีคงไม่มีผลมากนัก เพราะนายกรักสินก็เคยเสนอป้าสมจิตมานานแล้ว ขนาดว่าจะซื้อให้ใหม่ชุดใหญ่กว่าเดิม แต่ป้าสมจิตแกก็ยังไม่ยอม แถมยังเร่งหาทางกำจัดรักสินโดยเร็วที่สุดอีกด้วย

เรื่องรักแสนเศร้า ระหว่าง พ.ท ณรงเดชน์ นันทโพธิเดช กับ ราชินีสาวสวย


​พ.ท ณรงเดชน์ นันทโพธิเดช เป็นหลานนายเลียง ไชยกาล ส.ส อุบลฯ พรรคประชาธิปัตย์(คนที่บิดเบือนและนำข้อมูลเท็จกรณี ร.8 ไปป่าวประกาศทั่วบ้านทั่วเมืองอย่างให้คนตะโกนในโรงหนังว่าปรีดีย์ฆ่าในหลวงแม้ภายหลังจะสำนึกผิดขอโทษท่านปรีดีแล้วก็ตาม เพราะถูกอำมาตย์มันหักหลัง)
 พท.ณรงค์เดชไปเป็นทูตทหารที่อเมริกา (การที่ณรงค์เดชได้ไปเป็นทูตทหารเพราะเจ๊ดันให้ขึ้นเพื่อที่จะติดยศสูงขึ้น แต่จริงๆภายในใจของเจ๊ไม่อยากให้ไปเลย)แต่ถูกเรียกตัวไปดูงานอิสราเอล เลยถูกเก็บที่นั่น ซึ่งบางคนยังเข้าใจผิดคิดว่าตายที่อเมริกา

แม้ว่าเรียนไม่ค่อยเก่ง แต่เขามีความจงรักภักดีและฝีปากสูงมาก เพื่อนๆบางคนจึงแอบอิจฉาบ้าง 
คือไม่ต้องออกรบเจ๊เองก็รักและประทับใจเขามาก เพราะเขาเป็นคนที่มีความเข้าใจความต้องการของผู้หญิงได้ดี
สาเหตุการตายของเขาก็มาจากจดหมาย ที่มีดอกกุหลาบ นั่นเอง หนังสืองานศพเขาจึงเป็นการเขียนรำพึงรำพันจากใจของเจ๊ 
แม้แต่ร่างไร้วิญญาณของเขาเองก็ยังมีผู้หญิงแย่งกันเอาไปเพื่อทำพิธีทางศาสนา คนหนึ่งคือหญิงผู้สูงศักดิ์ คนหนึ่งคือนักร้อง (แต่เมียจริงๆกลับไม่มีสิทธิ์)
ภาพที่อยู่หน้าศพของณรงเดช มีเพียงผู้หญิงคนเดียวที่เสียใจประหนึ่งสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตแต่มีผู้ชายบางคน(ผัวเจ๊)กลับมีแววตากระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ภายในใจ
หลังการเสียชีวิตของณรงเดช เธอเองก็ไม่ต้องการมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแต่เธอถูกควบคุมตลอด24ชม.ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับณรงค์เดช จะต้องนำออกมาทิ้งและทำลายทั้งหมด
เธองดออกงานหลายปี เพราะความตรอมใจในระหว่างที่งดออกงานต่างๆนั้นเธอจึงกินและนอนเท่านั้นทำให้เธออ้วนตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ความรักที่เธอมีและได้รับจากณรงเดชนั้น มันเป็นความรักความภักดีที่บริสุทธิ์ ที่เธอไม่เคยได้รับมาก่อนเธอจึงรักและหวงแหนแทบชีวาวาย(ก็แง๋มึงแต่งกับไอ้.....หวังอำนาจนี่หว่า   *เป็นไปได้ว่าณรงค์เดชอาจเป็นผู้ที่ไม่เคยมีความสัมพันธุ์กับเจ๊มากเพราะดูแล้วค่อนข้างบริสุทธิ์ใจกับเจ๊)เและทันทีที่เเธอตั้งสติได้ ความแค้นในใจจึงบังเกิดขึ้นทันที
เพราะเธอไม่ได้สูญเสียเพียงคนรัก แต่เธอสูญเสียทั้งบิดาด้วยฝีมือจากคนๆเดียวกัน(บิดาของเจ๊ก็โดนวางยาตายขณะกำลังวิ่งออกกำลัง
โดยแพทย์ลงความเห็นว่าหัวใจวายตาย 
ตอนพ่อตายแค้นน้อยกว่าตอนชู้ตายดอกทองไม่มีใครเกิน)การชำระแค้นระหว่าง2ตระกูลจึงมีขึ้นอย่างลับๆ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ความซวยจึงเกิดขึ้นกับประชาชนอย่างหนักขึ้นตามลำดับไปด้วย มันคือเงาแห่งหายนะที่ปกคลุมเรา

เรื่องรักแสนเศร้า ระหว่าง พ.ท ณรงเดชน์ นันทโพธิเดช กับ ราชินีสาวสวย


​พ.ท ณรงเดชน์ นันทโพธิเดช เป็นหลานนายเลียง ไชยกาล ส.ส อุบลฯ พรรคประชาธิปัตย์(คนที่บิดเบือนและนำข้อมูลเท็จกรณี ร.8 ไปป่าวประกาศทั่วบ้านทั่วเมืองอย่างให้คนตะโกนในโรงหนังว่าปรีดีย์ฆ่าในหลวงแม้ภายหลังจะสำนึกผิดขอโทษท่านปรีดีแล้วก็ตาม เพราะถูกอำมาตย์มันหักหลัง)
 พท.ณรงค์เดชไปเป็นทูตทหารที่อเมริกา (การที่ณรงค์เดชได้ไปเป็นทูตทหารเพราะเจ๊ดันให้ขึ้นเพื่อที่จะติดยศสูงขึ้น แต่จริงๆภายในใจของเจ๊ไม่อยากให้ไปเลย)แต่ถูกเรียกตัวไปดูงานอิสราเอล เลยถูกเก็บที่นั่น ซึ่งบางคนยังเข้าใจผิดคิดว่าตายที่อเมริกา

แม้ว่าเรียนไม่ค่อยเก่ง แต่เขามีความจงรักภักดีและฝีปากสูงมาก เพื่อนๆบางคนจึงแอบอิจฉาบ้าง 
คือไม่ต้องออกรบเจ๊เองก็รักและประทับใจเขามาก เพราะเขาเป็นคนที่มีความเข้าใจความต้องการของผู้หญิงได้ดี
สาเหตุการตายของเขาก็มาจากจดหมาย ที่มีดอกกุหลาบ นั่นเอง หนังสืองานศพเขาจึงเป็นการเขียนรำพึงรำพันจากใจของเจ๊ 
แม้แต่ร่างไร้วิญญาณของเขาเองก็ยังมีผู้หญิงแย่งกันเอาไปเพื่อทำพิธีทางศาสนา คนหนึ่งคือหญิงผู้สูงศักดิ์ คนหนึ่งคือนักร้อง (แต่เมียจริงๆกลับไม่มีสิทธิ์)
ภาพที่อยู่หน้าศพของณรงเดช มีเพียงผู้หญิงคนเดียวที่เสียใจประหนึ่งสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตแต่มีผู้ชายบางคน(ผัวเจ๊)กลับมีแววตากระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ภายในใจ
หลังการเสียชีวิตของณรงเดช เธอเองก็ไม่ต้องการมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแต่เธอถูกควบคุมตลอด24ชม.ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับณรงค์เดช จะต้องนำออกมาทิ้งและทำลายทั้งหมด
เธองดออกงานหลายปี เพราะความตรอมใจในระหว่างที่งดออกงานต่างๆนั้นเธอจึงกินและนอนเท่านั้นทำให้เธออ้วนตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ความรักที่เธอมีและได้รับจากณรงเดชนั้น มันเป็นความรักความภักดีที่บริสุทธิ์ ที่เธอไม่เคยได้รับมาก่อนเธอจึงรักและหวงแหนแทบชีวาวาย(ก็แง๋มึงแต่งกับไอ้.....หวังอำนาจนี่หว่า   *เป็นไปได้ว่าณรงค์เดชอาจเป็นผู้ที่ไม่เคยมีความสัมพันธุ์กับเจ๊มากเพราะดูแล้วค่อนข้างบริสุทธิ์ใจกับเจ๊)เและทันทีที่เเธอตั้งสติได้ ความแค้นในใจจึงบังเกิดขึ้นทันที
เพราะเธอไม่ได้สูญเสียเพียงคนรัก แต่เธอสูญเสียทั้งบิดาด้วยฝีมือจากคนๆเดียวกัน(บิดาของเจ๊ก็โดนวางยาตายขณะกำลังวิ่งออกกำลัง
โดยแพทย์ลงความเห็นว่าหัวใจวายตาย 
ตอนพ่อตายแค้นน้อยกว่าตอนชู้ตายดอกทองไม่มีใครเกิน)การชำระแค้นระหว่าง2ตระกูลจึงมีขึ้นอย่างลับๆ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ความซวยจึงเกิดขึ้นกับประชาชนอย่างหนักขึ้นตามลำดับไปด้วย มันคือเงาแห่งหายนะที่ปกคลุมเรา

ขบวนการค้ายาเสพติดของเครือภูมิพล(1)

ขบวนการค้ายาเสพติดของเครือภูมิพล(1)

ในขณะที่ครอบครัวของภูมิพลได้ไปอยู่ต่างประเทศเสียนาน ทำให้อำนาจและบารมีรวมทั้งเงินทองก็ยังมีน้อย และพวกเจ้าก็ทำมาค้าขายไม่เป็นอยู่แล้ว ดังนั้นการที่จะหาเงินมาเพื่อสร้างฐานอำนาจและบารมี จึงทำได้ยาก ประกอบกับพระบิดาคือเจ้าชายมหิดอนก็มาเสียชีวิตเมื่ออายุได้เพียง 37 ปี พระนางสังวานมีสามีใหม่และมีบริษัทอยู่ในสวิสเซอร์แลนด์ ส่งมอร์ฟีน ให้กับโรงพยาบาลต่างๆในสหรัฐและอีกหลายประเทศ กลายเป็นช่องทางค้ายาเสพติดประเภทฝิ่นและเฮโรอีน
เฮโรอีนหรือผงขาวที่วงการตำรวจเรียกว่าแป้งที่บริสุทธิ์ที่สุดมีแหล่งผลิตในรัฐฉานของพม่า บริเวณชายแดนติดกับมณฑลยูนานของจีน โดยมีพวกว้าแดง ที่ใช้เมืองยอนเป็นแหล่งผลิต เป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์เหมาะสำหรับการปลูกฝิ่น พวกปลูกฝิ่น เป็นชาวจีนที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานมีทั้งจีน ลีซอ มูเซอร์ อีก้อ โดยเรียกตัวเองว่าเป็นพวกโกกั้งแปลว่าว่าดอย9ยอด หลังสงครามโลกครั้งที่2 พรรคก๊กมินตั๋งของเจียงไคเช็ค ได้ได้ถอยทัพหนีพรรคคอมมิวนิสต์จีนไปตั้งรัฐบาลใหม่ยังเกาะฟอร์โมซาหรือไต้หวัน
โดยได้วางกำลังป้องกันการไล่ล่าไว้ที่มณฑลยูนนาน แต่ถูกกองทัพของพรรคคอมมิวนิสต์ตีแตกพ่ายและถอยร่นไปยังลาว เวียดนาม และพม่า โดยมีกองกำลังนับหมื่นคน รัฐบาลพม่าดำเนินการปราบปรามกองกำลังทหารจีนพลัดถิ่นเหล่านี้อย่างจริงจัง ในปี 2504 คงเหลือแต่กองทัพที่ 3 ของนายพลหลี่ เหวิน ฝาน และกองทัพที่ 5 ของนายพล ต้วน ซี เหวิน ที่นำกำลังอพยพหนีการกวาดล้างของพม่าเข้าสู่ภาคเหนือของประเทศไทย โดยกองทัพที่ 3 ก็มาถึงอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ และกองทัพที่ 5 มาปักหลักอยู่ที่ดอยแม่สลอง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย
ต่อมาสหรัฐอเมริกาได้สร้างแนวยับยั้งคอมมิวนิสต์โดยขอความร่วมมือจากรัฐบาลไทยให้สนับสนุนกองพล 93 ของเจียงไคเช็ค ที่ตกค้างอยู่ในประเทศไทยประมาณ 3 หมื่นคน มีการตั้งโรงเรียนการสอนภาษาจีนที่ดอยแม่สะลอง
คณะรัฐมนตรีมีมติในปี 2521 ให้จัดตั้งคณะกรรมการพิจารณาให้สัญชาติแก่อดีตทหารจีนคณะชาติ เมื่อกองพล 93 ได้เข้ามาอยู่ในพื้นที่ที่เหมาะสมกับการปลูกฝิ่น และอาศัยที่เป็นคนจีนด้วยกันจึงได้ประสานงานกับกลุ่มโกกั้งที่อยู่ในรัฐฉานหรือที่เรียกว่ารัฐว้าของพม่า โดยกองพล 93รับจ้างลำเลียงฝิ่นการตั้งด่านภาษีเถื่อนและการค้าอาวุธสงคราม
โดยมีการประสานงานกับรัฐบาลและทหารไทยที่ทาง อเมริกาสนับสนุนให้ต่อต้านคอมมิวส์นิสต์ทำให้ภูมิพลเห็นช่องทางในการหาเงินเพื่อสร้างฐานอำนาจให้กับราชวงศ์ซึ่งกำลังอ่อนไหวอยู่ในเวลานั้น จึงได้ร่วมมือกับทหารไทยและพวกกองพล 93 รวมทั้งพวกโกกั้ง เพื่อค้าฝิ่น
กลุ่มโกกั้งที่ได้ร่วมมือกับภูมิพล โดยส่งนายจิมมี่ หยาง มาสร้างโรงแรมรินคำที่เชียงใหม่ในปี 2512 โดยนายจิมมี่ หยาง ประสานงานกับโรงพยาบาลแมคคอร์มิคเชียงใหม่ ที่อเมริกาให้การสนับสนุน ใช้เป็นศูนย์กลางในการติดต่อการค้าผงขาวในภาคเหนือ โดยลุงสมชายได้สร้างศูนย์สงเคราะห์ชาวเขาขึ้นมาเพื่อประสานงานกับสองศูนย์กลางนี้โดยใช้โครงการหลวงและการปลูกพืชทดแทนฝิ่นบังหน้า เป็นที่มาของเส้นทางยาเสพติดโกกั้งสู่ประเทศไทย หรือ มาลีวัวปา 4 เส้นทาง