PPD's Official Website

Tuesday, August 25, 2015

อำเภอที่จะแยกจัดตั้ง เป็นจังหวัดใหม่ต่อไป

อำเภอที่จะแยกจัดตั้ง
เป็นจังหวัดใหม่ต่อไป

รายงานข่าวจากอเมริกา ชี้กงสุลใหญ่แอลเอ ใช้อำนาจมิชอบ ก้าวล่วงสิทธิของพลเมืองไทยในอเมริกา

ขอเป็นกำลังใจให้กับ คณะราษฎรเพื่อสาธารณรัฐสยาม 


​ นี่คือ ภาพรองกงสุล สรศักดิ์ สมรไกรสรจักร จากสถานกงสุลใหญ่แอลเอ ที่สนับสนุนให้คนของสมาคมไทยซานฟรานฯ กระทำการขู่อาฆาตด่าทอใครก็ได้ ที่เขาคิดว่าเป็นผู้ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลพิเศษชุดปัจจุบัน ตามคำสั่งของคนข้างบน เป็นความจริง ว่า มีผู้ใช้อำนาจปกครองในทางมิชอบ ปราศจากเหตุผลที่ชอบธรรม มีกลุ่มบุคคล องค์กรต่างๆ นำพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงราชินี มาใช้บีบบังคับ และกดดันประชาชนให้ตกเป็นทาส และเป็นเหยื่อ โดยหน่วยราชการสนับสนุน ให้ประชาชนต้องพบความเดือดร้อน กระทรวงการต่างประเทศ ใช้อำนาจผิดทาง ทำร้ายสังคมในต่างแดนให้เกิดความวินาศอัปปาง โดยอำพรางตนอยู่หลังทรชน กับเครือข่ายที่ย้ำยีจิตใจคนไทย คนในสังคมมีจำนวนหลายแสนคนในแคลิฟอร์เนีย แต่นำคนเพียงไม่ถึงร้อยคน ออกมาสร้างภาพหลอกหลอนมายาว่าจงรักภักดี แต่แท้ที่จริงนั้น เป็นการก้าวล่วงสิทธิมนุษยชน และกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายสหรัฐ ขอให้องค์กรของคณะราษฎร จงประสบความสำเร็จในการต่อสู้เพื่อความเที่ยงธรรม สังคมไทยและประเทศชาติ จะได้รอดพ้นจากอุ้งมือโจรและประชาชนมีเสรีภาพแท้จริง บนผืนแผ่นดินอเมริกา รัฐบาลไทยไม่มีอำนาจใดๆที่จะว่าจ้าง จ้างวานคนพาลราวี อิสระภาพของผู้อื่น เป็นการกระทำที่โฉดชั่ว และขอให้มดแดงทุั้งหมดจงระวังตนไว้ เมื่อมันเริ่มแผนการกำจัดคนที่ยืนอยู่กับความถูกต้องและประโยชน์ของประชาชน หมายความว่า กลไกของราชการในตปท.กำลังจะทำลายความหวังประชาธิปไตย

อ. นิธิ กับบทวิเคราะห์ทางสู่ก้นเหวของไทย

อ. นิธิ 

(ที่มา:มติชนรายวัน 24 ส.ค.2558)


คำให้สัมภาษณ์หลังเกิดระเบิดครั้งรุนแรงที่ราชประสงค์เพียงไม่กี่ชั่วโมงของ พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี ไม่ได้สะท้อนแต่ความไร้เดียงสาของผู้ให้สัมภาษณ์เท่านั้น แต่สะท้อนขีดจำกัดของรัฐบาลทหารแบบไทยๆ ไปพร้อมกัน และข้อหลังนี้ต่างหากที่เป็นเรื่องน่าวิตกแก่คนไทยทั่วไป
ทหารรู้จักโลกแต่เพียงฝ่ายเราและฝ่ายเขา ฝ่ายเขาคือศัตรูที่ต้องบดขยี้ทำลายให้สิ้นกำลังที่จะต่อสู้ ด้วยวิธีใดก็ได้ เพราะในสงคราม ไม่มีกติกาใดที่ควรเคารพยิ่งไปกว่าชัยชนะ การให้ข่าวผิด (misinform) และให้ข่าวบิดเบือนเพื่อรื้อทำลายข่าวสารข้อมูลของอีกฝ่ายหนึ่ง (disinform) จึงเป็นยุทธวิธีพื้นฐานของการทำสงครามเพื่อบดขยี้ศัตรู

ด้วยโลกทรรศน์ที่แคบเท่านี้ ทหารทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าทำสงครามเท่านั้น หากทหารกำเริบคิดจะบริหารบ้านเมือง ทหารไม่อาจปรับโลกทรรศน์ของตนให้กว้างขึ้นได้ เพราะการเมืองต้องการโลกทรรศน์ที่กว้างขวางกว่าโลกทรรศน์ทางทหารอย่างเหลือคณานับ (แม้ต้องกล่าวมุสาอยู่บ่อยๆ เหมือนกัน) รัฐบาลทหารจึงเผชิญวิกฤตไม่เป็น ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตเล็กหรือวิกฤตใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตทางการเมือง เศรษฐกิจ หรือสังคมและวัฒนธรรมก็ตาม

เป้าหมายทางการเมืองของการบริหารบ้านเมืองไม่ใช่การบดขยี้ศัตรูเหมือนทหาร แต่คือการเพิ่ม "ฝ่ายเรา" ให้มากขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน รักษา "ฝ่ายเรา" ให้คงอยู่กับเราตลอดไป เพราะที่มองเห็นเป็นปรปักษ์ในขณะนี้ ก็อาจกลายเป็นมิตรในภายหน้าได้ จะเป็นฝ่ายเขาหรือฝ่ายเรา ขึ้นอยู่กับการกระทำของตนเอง ในขณะที่ในสงคราม ใครจะอยู่ฝ่ายเราหรือฝ่ายเขา ทหารไม่ใช่ผู้กำหนด แต่คนอื่นทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นผู้กำหนด รัฐบาลทหารจึงมองศัตรูซึ่งอาจกลายเป็นมิตรในอนาคตไม่เป็น ดังที่กล่าวแล้วว่าโลกของทหารมีแต่ฝ่ายเราและฝ่ายเขาซึ่งต้องบดขยี้เท่านั้น

กรณีการบดขยี้ศัตรูด้วยการปั้นแต่งข้อมูลข่าวสารที่รู้จักกันดีคือ ผังล้มเจ้าในปี 2553 ซึ่งรองโฆษกฯคนปัจจุบันเป็นผู้แถลงต่อสื่อ ประหนึ่งเป็นเรื่องจริงที่ทหารได้ค้นพบ (แต่มาในภายหลังก็ยอมรับในศาลว่าเป็นเพียงสมมุติฐานหนึ่งเท่านั้น) ทหารไม่ต้องคำนึงว่าคนที่ถูกระบุชื่อในผังล้มเจ้าจะดำรงชีวิตอย่างปกติสุขอย่างไรต่อไป เมื่อภารกิจทางทหารได้สำเร็จลุล่วงไปแล้ว ในฐานะหัวหน้าครอบครัวและพลเมือง ชนักที่ติดหลังพวกเขาเหล่านี้จะเป็นอุปสรรคต่อความรับผิดชอบของเขาต่อครอบครัวและประเทศชาติไปอีกนาน เท่ากับขจัด "ฝ่ายเรา" ให้สูญสิ้นกำลังไปโดยเปล่าประโยชน์ แต่ทหารก็รู้จักแต่การบดขยี้ศัตรูเท่านั้น จึงไม่ต้องคำนึงเรื่องเช่นนี้

 ที่น่าอัศจรรย์ก็คือ การสังหารหมู่ทางการเมืองใน 2553 เกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลพลเรือน ซึ่งไม่ควรมีโลกทรรศน์ที่แคบเหมือนทหาร แต่กลับใช้ยุทธศาสตร์บดขยี้อย่างเดียวกับทหาร ทั้งๆ ที่น่าจะเป็นฝ่ายกำหนดยุทธศาสตร์ของตนเอง แต่คิดอีกทีก็ไม่น่าประหลาดใจอันใด เอาทหารกับนักเลงไปร่วมกันคิดยุทธศาสตร์ จะมีอะไรแตกต่างไปจากการบดขยี้ "ศัตรู" ได้เล่า โลกทรรศน์ของนักเลงกับทหารนั้นไม่สู้จะต่างกันมากนัก

แต่ตรงกันข้ามกับการบดขยี้ศัตรู เมื่อใดก็ตามที่ตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ทหารมักคิดว่าตนกำลังจะถูกศัตรูบดขยี้เช่นกัน ดังนั้นจึงมักตื่นตูมจนเสียสติอย่างคำให้สัมภาษณ์ของรองโฆษกฯ หรือแม้แต่ของนายกรัฐมนตรีเอง ซึ่งเป็นการตัดสินเด็ดขาดโดยข้อมูลยังไม่พร้อมว่า การก่อการร้ายที่ราชประสงค์เป็นเหตุภายใน (ในความเป็นจริง หลักฐานเท่าที่ตำรวจรวบรวมได้จนถึงวันที่เขียนนี้ ยังชี้ไปได้ทั้งสองทางคือ จากภายนอกก็ได้ ภายในก็ได้)

สิ่งที่รัฐบาลทหารควรทำที่สุดในยามที่เกิดความตื่นตระหนกไปทั่ว ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติที่ต้องเกี่ยวข้องกับประเทศไทย ในฐานะนักท่องเที่ยวและพ่อค้าซึ่งต้องสั่งผลิตสินค้า ก็คือรีบสยบความตื่นตระหนกนั้นลงให้ได้ เช่น วางแผนการป้องกันเหตุที่รัดกุมที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยกระทบต่อการใช้ชีวิตของผู้คนในเขตเมืองให้น้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ จนเกิดความมั่นใจในระดับหนึ่งว่า เหตุร้ายแรงเช่นนั้นยากที่จะเกิดขึ้นซ้ำอีก หรือถึงอาจเกิดซ้ำอีก ก็จะไม่เกิดในแหล่งชุมชนหนาแน่นอย่างที่ผ่านมา ความร่วมมือกับต่างประเทศมีความสำคัญ เช่น อินโดนีเซียและมาเลเซียเพิ่งประกาศไปไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้นว่า พบเบาะแสว่าจะมีผู้ก่อการร้ายปฏิบัติการในประเทศของเขา ข้อมูลเบาะแสจากสองประเทศนั้นย่อมมีประโยชน์ต่อการสืบสวนไปถึงขบวนการใหญ่ หากเชื่อว่าการก่อการร้ายครั้งนี้มีต้นตอจากภายนอก

ในขณะเดียวกัน ก็ต้องวิเคราะห์ด้วยข้อมูลมากที่สุดเท่าที่มีอยู่ว่า กลุ่มที่อยู่ภายในใดบ้างที่มีศักยภาพจะทำเช่นนั้นได้ โดยเฉพาะเมื่อตัดกลุ่มที่ไม่น่าจะใช่ออกไปแล้ว เช่น "ลายเซ็น" ของการวางระเบิดไม่ตรงกับผู้ก่อการในภาคใต้ตอนล่าง เพื่อทำให้กำลังที่จะเจาะลงไปในการหาข้อมูลและประจักษ์พยานของฝ่ายรัฐสามารถพุ่งลงไปที่กลุ่มเป้าหมายหลักได้สะดวกขึ้น

ในสถานการณ์เช่นนี้ ศัตรูยังเป็นเรื่องรอง มิตรต่างหากที่เป็นเรื่องหลัก ทำอย่างไรให้มิตรสามารถอยู่กับฝ่ายเราต่อไปได้ โดยไม่ต้องเสี่ยงหรือเสี่ยงน้อยที่สุด แต่ยุทธศาสตร์บดขยี้ทำให้รัฐบาลทหารขาดสติมากกว่าคนทั่วไป ปฏิบัติต่อศัตรูผิดและปฏิบัติต่อมิตรผิดในทางเดียวกัน

 รัฐบาลทหารใช้ยุทธศาสตร์บดขยี้มาตั้งแต่เริ่มยึดอำนาจได้ และคงจะใช้ต่อไปจนถึงวันที่หมดอำนาจ

ในระยะแรกหลังการยึดอำนาจ มีเหตุผลที่จะใช้ยุทธศาสตร์บดขยี้กับปรปักษ์ที่เลือกแนวทางทหารในการต่อสู้ เช่น ยึดคลังอาวุธและกองกำลังของปรปักษ์อย่างฉับพลัน (หากมีการสะสมอาวุธและสร้างกองกำลังขึ้นจริง) แต่ทหารต้องแยกแยะเป็นด้วยว่า ในกลุ่มที่เป็นปรปักษ์นั้นมีอยู่อีกหลายกลุ่มที่สามารถเปลี่ยนกลับมาเป็นพันธมิตรได้ แม้แต่ส่วนหนึ่งของนักการเมืองในสังกัดพรรคเพื่อไทย ก็อาจเจรจาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันจนสามารถออกมาตั้งโต๊ะขอบคุณ สนช.ได้ เป็นต้น

ตรงกันข้ามกับดึงศัตรูมาเป็นมิตรคือ จะรักษามิตรให้อยู่ฝ่ายเราตลอดไปได้อย่างไร การไม่ปล่อยให้มิตรได้แสดงความคิดเห็นหรือความต้องการบางอย่างที่อาจขัดกับรัฐบาลทหาร แต่พร้อมจะบดขยี้แม้แต่มิตรด้วยกันเอง เป็นผลให้ต้องหนีไปบวชบ้าง เคลือบท่าทีทางการเมืองของตนให้คลุมเครือในสื่อของตนบ้าง กลับยิ่งเป็นอันตรายทางการเมืองมากกว่า เพราะต่างฝ่ายต่างรู้ว่าเขาไม่ใช่มิตร หรืออย่างน้อยก็ไม่ใช่มิตรที่พร้อมจะร่วมหัวจมท้ายด้วยตลอดไป ยุทธศาสตร์บดขยี้ไม่สามารถใช้กับคนเหล่านี้ได้ แต่ไม่บดขยี้ ทหารก็ไม่รู้จะจัดการกับคนประเภทนี้อย่างไร และที่น่าตระหนกแก่รัฐบาลทหาร หากสามารถคิดอะไรยาวๆ เป็น ก็คือคนประเภทนี้เพิ่มจำนวนขึ้น ทั้งใน สปช.และ สนช. หรือจนถึงที่สุดอาจจะใน ครม.ที่กำลังถูกปรับด้วยก็ได้

การสร้างระยะห่างในความสัมพันธ์กับมหาอำนาจตะวันตกเพื่อตอบโต้แรงกดดันต่อการเมืองไทย ที่จริงก็มาจากยุทธศาสตร์บดขยี้เหมือนกัน เพราะไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใดที่จะกระเถิบเข้าใกล้จีน (และเกาหลีเหนือ) ให้มากกว่าเดิม ไม่ว่าไทยจะมีทีท่าต่อตะวันตกหรือจีนอย่างไร การถ่วงดุลอำนาจระหว่างสองฝ่ายก็มีอยู่แล้ว และเป็นประโยชน์ต่อไทยแน่ ประเทศไทยเล็กเกินกว่าจะทำให้ดุลอำนาจเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งได้ (แม้แต่เปิดประเทศให้รถไฟจีนวิ่งเข้าท่าเรือได้ทั้งสองฝั่งสมุทร) หรือร้ายไปกว่านั้น หากมีพลังทำให้ดุลอำนาจของสองฝ่ายเอียงไปที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ประเทศไทยก็จะมีอิสรภาพทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศน้อยลงด้วยซ้ำ

ถ้าเรียนประวัติศาสตร์มาอย่างดีพอในโรงเรียนทหาร ก็ควรทราบว่าการเอียงเข้าหาอังกฤษเกินจุดพอดีในบางสมัยบางช่วง ก่อให้เกิดผลร้ายแก่ไทยมากกว่าผลดี (เช่นเดียวกับพระเจ้าธีบอแห่งพม่าที่เอียงเข้าหาฝรั่งเศสเกินจุดพอดี กลับเร่งเร้าให้อังกฤษผนวกส่วนที่เหลือของพม่าเข้ามาในจักรวรรดิโดยทันที) เพราะถึงที่สุดแล้ว ไม่มีมหาอำนาจใดพร้อมจะเข้าสงครามกับมหาอำนาจคู่แข่งเพื่อประเทศไทยหรอก ประเทศเล็กๆ ที่ไม่เป็นส่วนหนึ่งของผลประโยชน์ระดับความเป็นความตาย (vital interest) ของมหาอำนาจใดเลย ไทยไม่ใช่เบลเยียมซึ่งจ่อคอหอยอังกฤษ ไม่ใช่คิวบาซึ่งจ่อคอหอยสหรัฐ และไม่ใช่เกาหลีซึ่งจ่อพุงญี่ปุ่น

 ที่ยกกรณีสงครามซึ่งเป็นกรณีสุดโต่งขึ้นมา ก็เพราะยุทธศาสตร์บดขยี้ของทหารนำไปสู่ความสุดโต่งเหมือนกัน

รัฐธรรมนูญที่ร่างกันขึ้นภายใต้รัฐบาลทหารก็เช่นเดียวกัน ถูกนำไปสู่การบดขยี้ศัตรูทางการเมืองเสียจนโอกาสที่จะถูกนำไปใช้จริงเหลืออยู่น้อยมาก ถึงผ่านไปได้ก็ไม่อาจดำรงอยู่ได้นาน แม้แต่โดยไม่ต้องคำนึงถึงมวลชนชาวไทย ซึ่งเกิดสำนึกพลเมืองขึ้นอย่างกว้างขวางเลยไปในหมู่คนที่จัดว่าเป็นชนชั้นนำของสังคม ก็มีความหลากหลายซับซ้อนขึ้นอย่างมาก มีผลประโยชน์ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม รวมถึงผลประโยชน์ทางอุดมการณ์ที่แตกต่างและขัดแย้งกันเอง จึงเป็นไปไม่ได้ที่คนเหล่านี้จะยอมอยู่ภายใต้การกำกับของกลุ่มชนชั้นนำเพียงหยิบมือเดียว ซึ่งได้รับการหนุนหลังจากกองทัพ

อันที่จริงกองทัพจะมีบทบาทนำทางการเมืองต่อไปได้ในระยะยาว ก็คือมีอิสระในตัวเองพอที่จะกำกับดูแลกติกาให้ชนชั้นนำทุกฝ่ายต่อรองผลประโยชน์กันโดยสงบและเป็นธรรม มากกว่าออกมาหนุนแต่เพียงบางกลุ่มบางฝ่าย โดยวิธีนี้ต่างหากที่จะทำให้ชนชั้นนำทุกกลุ่มทุกฝ่ายมองกองทัพเป็นเงื่อนไขที่ขาดไม่ได้ใน "การเมือง" ไทย

แต่โลกทรรศน์ที่แคบและยุทธศาสตร์บดขยี้ ไม่อนุญาตให้ทหาร (ไทย) คิดอะไรอย่างนี้เป็น ยิ่งมองการเมืองเป็นสนามรบ นายทหารต่างก็อยากเป็นแม่ทัพนำไพร่พลเข้าสู่การรบ ไว้ชื่อไว้ลายแก่วงศ์ตระกูล ซึ่งก็คือเป็นนายกรัฐมนตรี ย่อมทำให้มีพันธมิตรในหมู่ชนชั้นนำน้อยลง จนในที่สุดก็จะถูกโดดเดี่ยวเหมือนระบอบถนอม-ประภาสระหว่าง 2514-2516

เราไม่อาจเปลี่ยนการเมืองเป็นสนามรบได้ เพราะถึงได้ชัยชนะ ทุกอย่างก็ถูกล้างผลาญทำลายจนย่อยยับไปหมด แล้วจะสร้างสรรค์บ้านเมืองขึ้นจากอะ

รัฐธรรมนูญ..‘ระเบิดเวลา’!‘สุดารัตน์’วอนเร่งปลดสลัก : สัมภาษณ์พิเศษ โดยประพันธ์ จินดาเลิศอุดมดี

รัฐธรรมนูญ..'ระเบิดเวลา'!'สุดารัตน์'วอนเร่งปลดสลัก : สัมภาษณ์พิเศษ โดยประพันธ์ จินดาเลิศอุดมดี


สถานการณ์ทางการเมืองที่เข้มข้นทุกขณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใกล้เข้าสู่วันลงมติร่างรัฐธรรมนูญของสภาปฏิรูปแห่ง ชาติ ประเด็นต่างๆ กลายมาเป็นเรื่องร้อน ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาภายในร่างฯ หรือข้อเสนอรัฐบาลปรองดองแห่งชาติ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ให้สัมภาษณ์พิเศษเครือเนชั่นถึงประเด็นร้อนต่างๆ ทางการเมือง

เริ่มจากการออกตัวสัมภาษณ์ในครั้งนี้ คุณหญิงสุดารัตน์ขอพูดในนามของประชาชนเต็มขั้น ซึ่งรู้สึกว่าร่างรัฐธรรมนูญที่แถลงออกมานั้น หากนำออกมาใช้จริงน่าจะเป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่สามารถนำพาประเทศชาติออกจากหลุม ดำได้อย่างที่โฆษณาชวนเชื่อไว้ แถมยังจะผลักประเทศให้ตกลึกเข้าไปอีก สำหรับนักการเมืองนั้นไม่น่าห่วง เพราะเขาดิ้นรนเอาตัวรอดได้ แต่ห่วงประชาชนมากกว่าว่าจะทำอย่างไรให้สามารถนำพาประเทศชาติ ประชาชนขึ้นจากหลุมดำนี้ได้

ทั้งนี้ การเขียนในรัฐธรรมนูญถึงรัฐบาลแห่งชาติ โดยเมื่อผ่านประชามติแล้วให้ใช้เสียง 4 ใน 5 ของรัฐสภา โดยพยายามชี้ว่าเพื่อให้เกิดความปรองดองนั้น โดยหลักการฟังดูดี ฟังดูน่าสนับสนุนให้ผ่านประชามติ แต่ขอตั้งคำถามว่า รัฐบาลแห่งชาติแบบที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญนี้จะแก้ความขัดแย้งนำไปสู่การ ปรองดองได้หรือ..? เพราะแค่ประกาศออกมา ทั้งพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยต่างออกมาประสานเสียงเกือบพร้อมกันว่า ไม่มีทางร่วมรัฐบาลเดียวกัน คำว่าปรองดองจึงเป็นแค่เปลือกที่แทบจะเกิดไม่ได้จริง

"จะเกิดความปรองดองได้นั้น ไม่ใช่อยู่ๆ คณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญจะบังคับจับ 2 ฝ่ายใส่กรงเดียวกัน ให้อยู่ด้วยกันแล้วเรียกปรองดอง แต่ควรเปิดโอกาสให้ทั้ง 2 ฝ่ายได้มีกระบวนการร่วมคิดร่วมปรึกษาหารือ ร่วมวางแปลน วางแผนสร้างบ้านร่วมกัน ถอยคนละก้าว หาจุดร่วม แสวงจุดต่าง จึงจะสามารถเดินสู่ความปรองดองที่แท้จริงได้"

พร้อมกันนี้ยังยิงคำถามอย่างหนักหน่วงต่อไปว่า รัฐบาลแห่งชาติจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนได้จริงหรือไม่ หรือแค่เขียนฝันไว้หรูๆ แต่เปิดโอกาสให้ฮั้วประโยชน์ทางการเมือง...?

อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวงผู้นี้ มองว่า ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีไซน์ให้ฝ่ายการเมืองอ่อนแอ ไม่มีเสถียรภาพ โดยออกแบบให้ฝ่ายการเมืองหลังเลือกตั้งจะไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลกันเองได้ เพื่อเปิดทางเอื้ออำนวยให้ได้ นายกฯ คนนอก โดยใช้ระบบฮั้วผลประโยชน์กันระหว่างคนนอกที่อยากได้อำนาจทางการเมืองแต่ไม่ ยอมลงเลือกตั้ง กับนักการเมือง เพื่อให้สมยอมจัดตั้งรัฐบาลที่พยายามสร้างภาพว่าเป็นรัฐบาลแห่งชาติที่ ประชาชนไม่ได้ประโยชน์ใดๆ

ซ้ำร้ายภาพเลวร้ายยิ่งกว่าในอดีตก่อนการปฏิรูปปี 49 จะกลับมาใหม่ มีการฮั้วประโยชน์ แบ่งกระทรวงใครกระทรวงมัน เพราะจะต้องหาเสียงสนับสนุนให้ได้ 4 ใน 5 จึงจะจัดตั้งรัฐบาลได้ และ ถ้าเกิดรัฐบาลแห่งชาติ ระบบการตรวจสอบถ่วงดุลจะไม่เหลือ เพราะฝ่ายค้านจะเหลือเสียงเพียง 1 ใน 5 จะไปมีพลังใดในการไปตรวจสอบควบคุมรัฐบาล ระบบตรวจสอบถ่วงดุลล้มเหลว...?

"พรรคเล็กพรรคน้อยมีโอกาสต่อรองขอโควตารัฐมนตรี ขอโควตากระทรวง เมื่อได้แล้วก็ต้องถือเป็นสมบัติส่วนพรรคตน นายกฯ และรัฐบาลจะเข้าไปแตะต้องไม่ได้ เพราะถือว่าถ้าไม่ได้เสียงของพรรคตนมาสนับสนุนก็จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ เป็นนายกฯ ไม่ได้ ปัญหาที่จะตามมาคือ ปัญหาคอร์รัปชั่นที่จะมากขึ้น และปัญหาการผลักดันนโยบายที่จะทำเพื่อประชาชนจะไม่เป็นเอกภาพ ไม่สามารถผลักดันการแก้ไขปัญหาประเทศชาติได้ การดีไซน์แบบนี้ประชาชนเสียประโยชน์ แต่นักการเมืองแฮปปี้ นายกฯ คนนอกแฮปปี้"

ทั้งนี้เมื่อถามถึง "คณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ" ที่บรรจุอยู่ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่า ต้องชมคนเขียนรัฐธรรมนูญว่า ช่างกล้าเขียนมาก...!!!

ถือเป็นการเขียนรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่ให้คณะบุคคลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง มีอำนาจใหญ่กว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน หรือพูดง่ายๆ ว่า เป็นการเขียนรัฐธรรมนูญรับรองการยึดอำนาจจากประชาชนโดยถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งต่อจากนี้ไปไม่มีการปฏิวัติแน่นอน เพราะได้บรรจุให้การยึดอำนาจจากประชาชนเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายไปแล้ว

รัฐธรรมนูญฉบับนี้รัฐบาลจากการเลือกตั้งจะทำงานแทบไม่ได้เลย ยกตัวอย่างว่า ถ้ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งมีนโยบายช่วยเหลือเอสเอ็มอี โดยการให้เงินกู้ปลอดดอกเบี้ยเป็นระยะเวลาหนึ่ง แต่กรรมการยุทธศาสตร์ฯ มองว่าเป็นโครงการประชานิยม และเป็นงานที่อยู่ในแผนปฏิรูปของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯ ที่กำลังดำเนินงานอยู่ ก็จะไม่ให้รัฐบาลดำเนินการ แล้วแบบนี้จะจบอย่างไร ประชาชนที่รอคอยความช่วยเหลือก็จะไม่ได้รับการช่วยเหลือ รัฐบาลจะเป็นยิ่งกว่ารัฐบาลเป็ดง่อย และที่สำคัญคือ ประชาชนตาดำๆ จะเดือดร้อนที่สุด

"เมื่อเขียนรัฐธรรมนูญโดยให้มีคนบุคคลที่ไม่ได้มาจากประชาชนมามีอำนาจ มากกว่าคนที่ประชาชนเลือก แล้วจะเรียกว่าประชาธิปไตยได้อย่างไร ประชาธิปไตยคือระบบที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครอง มีส่วนร่วมในการตัดสินใจโดยมีอำนาจตัดสินใจด้วย ดังนั้น ถ้าบอกว่ามีส่วนร่วมคือให้มีประชามติ แต่จริงๆ แล้วไม่มีอำนาจตัดสินใจ แล้วส่วนร่วมนั้นจะเป็นจริงได้อย่างไร"

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวอีกว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้จะทำให้ประชาชนเสียประโยชน์ ประเทศชาติเสียหายมากที่สุด ความหวังของประชาชนที่อยากเห็นประเทศชาติสงบสุข ขจัดความขัดแย้ง เดินหน้าสู่การปรองดอง จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง เพราะพิจารณาดูง่ายๆ ทันทีที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกเปิดเผยเนื้อหา เราก็ได้ยินเสียงวิจารณ์คัดค้านจากทั้งฝั่งประชาธิปัตย์และเพื่อไทยอย่าง มากมายแล้ว คำว่าปรองดองจึงเป็นเพียงข้ออ้าง หรือเป็นกระดองที่ไม่มีเนื้อใน

"อยากจะวิงวอนท่านผู้นำ ท่านนายกฯ ว่า โปรดใช้อำนาจที่มีอยู่เต็มเกิน 100% ของท่านมาแก้ไข มาถอดสลักระเบิดลูกใหญ่ที่เกิดจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ก่อนที่จะทำความเสียหายให้แก่ประเทศชาติอย่างใหญ่หลวงในอนาคต ถ้าท่านต้องการทำเพื่อคืนความสงบสุขให้บ้านเมืองจริงอย่างที่ท่านให้สัญญา เว้นแต่ท่านตั้งใจที่จะให้มีการเขียนรัฐธรรมนูญรับรองการยึดอำนาจถาวรจาก ประชาชนอย่างถูกกฎหมาย"

เมื่อถูกถามถึงกระแสการผลักดันให้ขึ้นเป็นผู้นำพรรคเพื่อไทย คุณหญิงสุดารัตน์บอกว่า ยังคงไม่ดูไปไกลขนาดนั้น ถ้ารัฐธรรมนูญฉบับนี้นำไปใช้จริงคงหนักใจถ้าจะกลับมาทำงานการเมือง เพราะเสี่ยงที่จะเสียคนอย่างยิ่ง ในการหาเสียงเลือกตั้งนักการเมืองต้องไปขายนโยบายว่าจะเข้าไปทำประโยชน์อะไร ให้ประชาชน เราต้องไปสัญญาว่า ถ้าได้รับเลือกตั้งก็จะไปทำตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้

อย่างไรก็ตาม ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่มีทางที่นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งจะ สามารถผลักดันนโยบายใดได้หากปราศจากความเห็นชอบของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯ ที่ถูกดีไซน์ให้ใหญ่กว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ก็เท่ากับว่าเริ่มต้นเราก็ไม่สามารถรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนที่เลือก เรามาได้ ผิดศีลตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว

"นักการเมือง พรรคการเมือง ควรต้องกลับมาดูตัวเอง ควรจะทำให้ระบบการเมืองเข้มแข็ง การเมืองต้องสู้กันในสภา ไม่ใช่ไปสู้กันกลางถนน เป็นโอกาสที่ดีที่พรรคเพื่อไทยจะได้ใช้โอกาสนี้ปรับตัวและพัฒนาตนเอง เนื่องจากพรรคเพื่อไทยเจอมรสุมมาหลายยก ตั้งแต่ปี 49 ที่ถูกปฏิวัติ ต่อมาถูกยุบพรรค ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 2 รุ่น ขณะนี้ก็ถูกห้ามให้ดำเนินงานทางการเมือง"

คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวทิ้งท้ายอย่างเชื่อมั่นว่า แต่พรรคเพื่อไทยก็ถือเป็นพรรคใหญ่ที่มีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถอยู่ มาก เป็นพรรคที่ได้รับความนิยมจากประชาชนมาก เป็นที่พึ่งที่หวังของประชาชน จึงควรพลิกวิกฤติในครั้งนี้มาเป็นโอกาสในการพัฒนาพรรคให้เป็นสถาบันการเมือง

พรรคเพื่อไทยมีพื้นฐานที่ดีจากพรรคไทยรักไทย ที่ถือเป็นพรรคแรกๆ ที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาปัญหาประเทศอย่างจริงจัง และนำมาสร้างเป็นนโยบายในการแก้ไขปัญหาประเทศ จนสำเร็จได้รับความนิยมจากประชาชนอย่างมาก..!!

ตายห่าแล้ว ทีมเศรษฐกิจใหม่ ออกตัว เทวดาก็ช่วยไม่ได้ บาทจะแตะ 40 ปีหน้านี้

ธนาคาร ซีไอเอ็มบีไทย คาดหากสงครามค่าเงินปะทุขึ้นมาอีก   ค่าเงินบาทมีโอกาสแตะ 40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปีหน้า    ขณะที่อดีตรองนายกรัฐมนตรี ประเมินเศรษฐกิจไทยเข้าขั้นวิกฤติแล้ว    
 เครดิต http://news.voicetv.co.th/business/250032.html
นาย วีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรี มองภาวะเศรษฐกิจไทยขณะนี้เข้าขั้นวิกฤตแล้ว หลังการส่งออกหดตัว ธุรกิจขาดทุน โดยเฉพาะเอสเอ็มอีปิดกิจการ หนี้เอ็นพีแอลภาคสถาบันการเงินสูง โดยเศรษฐกิจไทยจะอยู่ในลักษณะ U shape ยาวถึงสิ้นปี และจะยังไม่ฟื้นตัวจนถึงปีหน้า(59) เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวดี ราคาพลังงานลดลงมาก           

ดังนั้น ทีมเศรษฐกิจชุดใหม่   ทำได้เพียงประคองเศรษฐกิจในประเทศไม่ให้ทรุดไปกว่านี้    จึงไม่อยากให้ตั้งความหวังกับการเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจ   เพราะคงไม่สามารถฝืนภาวะเศรษฐกิจโลกได้   โดยเฉพาะจีนที่กำลังมีปัญหา   

ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย คาดการส่งออกของไทยปีนี้จะติดลบร้อยละ 4 ส่วนทิศทางเงินบาทมีโอกาสแตะ 37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ปลายปีนี้ และอาจถึง 38 บาทปลายปีหน้า แต่หากสงครามค่าเงินปะทุขึ้นมาแรงอีกครั้งหลังจากจีนลดค่าเงินหยวน เงินบาทอาจทะลุกรอบ 40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ จึงมีโอกาสที่ธนาคารแห่งประเทศไทย จะใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนเป็นตัวแก้ปัญหาเศรษฐกิจแทนนโยบายดอกเบี้ย

ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบาย คาดว่าจะยังอยู่ที่ร้อยละ 1.50 ตลอดทั้งปี และปรับขึ้นเป็นร้อยละ 1.75 ในปีหน้า 


=====

Credit: http://news.voicetv.co.th/business/249972.html

ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เชื่อหากสงครามค่าเงินปะทุ จะส่งผลต่อทิศทางค่าเงินบาทให้อ่อนตัวแตะระดับ 40 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐได้ในปลายปีหน้า

นายอมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักวิจัยธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ระบุว่าการที่จีนลดค่าเงินหยวนนั้น มีเหตุผล 2 ประการ คือเพื่อพยุงเศรษฐกิจ และเตรียมความพร้อมสู่การเป็นเงินตราสกุลหลักของโลก ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย เนื่องจากสินค้าจากไทยจะมีราคาแพงขึ้นโดยปริยาย คาดภาพรวมการส่งออกของไทยปีนี้จะติดลบร้อยละ 4 เทียบกับปีก่อนหน้า เชื่อประเทศที่มีสัดส่วนการค้าการลงทุนกับจีนในปริมาณสูง อย่างไต้หวัน สิงคโปร์ และเกาหลีใต้จะปรับลดค่าเงินเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

สงครามค่าเงินที่ขยับเข้ามาใกล้อาเซียน ทำให้ทิศทางค่าเงินบาทมีความผันผวนมากขึ้น คาดมีโอกาสอ่อนค่าแตะ 37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปลายปีนี้ และอาจจะถึง 38 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปลายปี 2559 แต่หากสงครามค่าเงินปะทุขึ้นมาอีกครั้ง เงินบาทอาจจะทะลุระดับ 40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้ในปลายปี 2559 เชื่อมีความเป็นไปได้ที่ธนาคาแห่งประเทศไทยจะเลือกใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแทนนโยบายอัตราดอกเบี้ยที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ

ผู้บริหารสำนักงานวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ยังเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 1.50 ตลอดทั้งปี คาดจะปรับขึ้นเป็นร้อยละ 1.75 ในปลายปีหน้า เนื่องจากมีความพร้อมรับมือกับดอกเบี้ยขาขึ้น

ส่วนการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นทั่วโลกเมื่อวานนี้ เกิดจากความกังวลของนักลงทุนต่อภาวะเศรษฐกิจโลก เชื่อเป็นเพียงการปรับฐานเท่านั้น 

ประเทศไทยในฝัน ควรเป็นอย่างไร ด้านการเศรษฐกิจ?

ประเทศไทยในฝัน ควรเป็นอย่างไร ด้านการเศรษฐกิจ?

เศรษฐกิจน่าจะเติบโตได้มากกว่านี้นะคะ ควรที่จะหาทางให้ต่างประเทศมาลงทุนในไทยมากที่สุด

มีการกระจายรายได้สร้างความเจริญสร้างงานให้คนในชนบท

เสรีภาพในการประกอบอาชีพที่ตนรักให้มีคุณค่า มิใช่แสวงหาแต่ความร่ำรวย รู้จักคุณค่าชีวิตตามศาสนาของตน ประชากรตระหนักรู้ความพอดีเพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน

เศรษฐกิจทําต่อเนื่องและแก้ไขในส่วนที่บกพร่อง สมัยทักษิณ ซึ่งเป็นนโยบายที่จับต้องได้ ผลประโยชน์ตกอยู่กับประชาชนทั่วหน้ากัน ทรัพยากรของแผ่นดินเอามาบริหารให้เกิดประโยชน์กับประชาชนสูงสุด

เพิ่มค่าขั้นต่ำ

เพิ่มสวัสดิการพนักงาน

อยากให้ทุก เครือข่ายเกษตรกร เช่น ข้าว ข้าวโพด อ้อย มีสหกรณ์เป็นของตนเอง โดยขายผ่านสหกรณ์ ซึ่งสามารถตั้งราคากลางโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง และสหกรณ์ต้องมีความสามารถในการบริหารจัดการพืชผลของตนเอง มียุ้งเก็บที่ได้มาตรฐาน และสามารถจัดการขาย มีช่องทางการจำหน่าย ให้น้องที่สุดเพื่อถึงมือผู้บริโภค โดยจะจำหน่ายราคาท้องตลาด แต่รายได้กลับสู่เกษตรกรมากขึ้น

1.แอนตี้ระบบ ประชานิยม เพราะประชานิยมทำให้ไทยเป็นหนี้

ต้องมีการกระจายอำนาจ ทุกๆด้าน

(ให้ความรู้ประชาชนเกี่ยวกับ productและต้นทุน ในทุกๆโครงการ) และให้อำนาจประชาชนที่มีความรู้ สามารถตรวจสอบ หน่วยงาน

ของรัฐ โดยมีกฎหมายรองรับ

เปิดเสรีทุกด้าน เปิดการลงทุนที่เสรีมากกว่านี้ ที่สำคัญ กว่า 87% ของเศรษฐกิจในประเทศ ในมือราชวงศ์ ควรปล่อยออกมาสู่มือประชาชน บริหาร การปิโตรเลียม การสื่อสาร การประปา การไฟฟ้า ปรับปรุงโครงสร้างใหม่ เป็นบริษัทมากกว่านี้ เพื่อให้ประชาชนเข้ามามีส่วนบริหาร เปิดการค้าเสรีกับทุกภูมิภาค (ถ้าเค้ายังอยากค้าขายกับเราอยู่นะ หุหุ)

ควรมีการขยายความเจริญด้านการค้าขายและธุระกิจ ออกไปยังต่างจังหวัดมากกว่านี้. ค่ะ

ประชาชนมีส่วนร่วม

Free trade

เปิดอาชีพอิสระที่ไม่ผิดกฏหมายไม่ใช่คนรวยทำได้คนจนทำไม่ได้เช่นการเทรด Forex การแรกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศธนาครทุนหนาทำได้แต่ประชาชนทำผิดกฏหมายและให้บันจุเข้าไปในบทเรียนตั้งแต่ชั้นมัธยมเลย เหมือนสิงคโปรครับ เขาถึงได้เจริญไม่เหมือนกะลาแลนต้อวกฏให้โง่ครับ และส่งเสริมการลงทุนทุกชนิทที่ไม่ผิดกฏหมายครับเท่านี้ประเทศก็เจริญแล้วครับ

ทุนนิยมเสรี

ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม กระทรวงเกษตร ,อุตสาหกรรม,พาณิชย์,ต่างประเทศต้องรวมมือกันให้คำแนะนำเกษตรกร เพื่อทำเป็นอุตสาหกรรมเกษตร ทุกตำบล อำเภอ จังหวัด ต้องมีสหกรณ์ในระยะแรกรัฐต้องให้ความรู้ความเขาใจผลดีผลเสียของสหกรณ์ กระทรวงเกษตรต้องให้คำแนะนำว่าภาคนี้ ฤดูนี้ ดินลักษณะเช่นนี้ควรปลูกอะไร มิใช่ให้ปลูกตามยถากรรม

1.เรื่องการเกษตรอยากให้แก้ปัญหาระยะยาวในเรื่องน้ำ ทั้งน้ำท่วมและน้ำแล้งซึ่งมีมาตลอด

 

2.เรื่องแรงงานอยากให้ยกระดับฝีมือแรงงานไปพร้อมกับๆ ประกันค่าแรงขั่นต่ำ

 

3.อยากแก้เรื่องการค้ามนุษย์ ทั้งเรื่อวค้าประเวณี แรงงานเด็กและผู้ใหญ่

 

4.เรื่องอุสาหกรรมอยาก ให้มีเป็นแบรนด์ของไทยเช่นรถยนต์

 

5.อื่นๆยังนึกไม่ออก

ทุนเสรีนิยม มีการเก็บภาษีที่เป็นธรรม เพื่อเป็นสวัสดิการสำหรับประชาชน

นำทรัพยากรของชาติ(โดยเฉพาะน้ำมัน แก๊ซ )มาพัฒนาชาติให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข

คนจนควรมีสิทธเท่าเทียมที่สามารถเดินไปกู้เงินมาลงทุนได้เหมือนพวกคนรวยได้ค่ะ

ตัองมีน่วยงานไปให้ความรู้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดหมู่บ้านด้านอาชีพหลัก

อาชีพเสริมสอนทำอาชีพเสริมมีตลาด

รองรับผลผลิตให้เดี่ยวก้เป้นลูกโช่ไป

เดี่ยวกัดีไปเองคนมีอาชีพมีรายใด้กัมี

เงินจับจ่ายชี้อของมันจะไปใหนเสีย

ส่งเสริมการค้าขายระหว่างประเทศสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจระดับมหภาคและจุลภาค ส่งเสริมการสร้างงานสร้างรายได้ให้แก่ประชากร ส่งเสริมการลงทุน หาช่องทางการตลาดและตลาดในต่างประเทศเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าทำการค้าขาย

ค้าขายเสรี อย่าให้บางกลุ่มมีอำนาจในธุรกิจผูกขาด

รายได้ GDP ที่เติบโตขึ้นทุกๆปี

มีการกระจายรายได้ถึงระดับรากหญ้า ไม่ใช่กระจุกแค่ชนชั้นสูง และ ชั้นกลาง

อยากให้ปนะเทศมีศุนวิทยาศาสมีนักวิทยาศาสนักวิใจทุกด้านไม่เกษทยานยนต์อิเล็กโทนิคอาหารและทอ้งเทียว

อยากให้ปนะเทศมีศุนวิทยาศาสมีนักวิทยาศาสนักวิใจทุกด้านไม่เกษทยานยนต์อิเล็กโทนิคอาหารและทอ้งเทียว

ประชาชนมีรายได้ เพียงพอ กับการดำรงชีพ และมีส่วนเหลือเก็บเพื่อความมั่นคงของอนาคต.

รัฐให้สวัสดิการต่อคุณภาพขีวิตประชาชนทุกคน.

พัฒนาความรู้ วิทยาการ เทคโนโลยี ให้แก่ประขาชนทั้งภาคธุรกิจ และภาคเอกชน ให้ทันกับประเทศมหาอำนาจ .

ส่งเสริมธุรกิจ สร้างงานในทุกระดับ.

มีเศรษฐกิจเป็นอันดับหนึ่งในภูมิภาคง

พัฒนาไทยใให้เป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้า,และขนส่งมวลชน

*ขุดคลองคอดกะพัฒนาให้เป็นท่าเรือขนส่งสินค้า พัฒนาการขนส่งเรือสินค้า,การบริการท่าเรือสินค้าขนาดใหญ่,พัฒนาอุตสาหกรรมการต่อเรือ,สถาบันการสอนการเดินเรือ,สอนบริหารจักการท่าเรือ

*ขยายสนามบินสุวรรณภูมิ,ดอนเมืองให้พร้อมที่จะรองรับลูกค้าทั้ง,นักลงทุนและนักท่องเที่ยว,และแม้กระทั้งขนส่งทางการบิน

*สร้างการขนส่งระบบราง,รถไฟความเร็วสูงทังขนส่งสินค้าและมวลชน สายเหนือ,อีสาน,ตะวันออก,ตะวันตก,สายไต้

พัฒนาด้านพลังงานทดแทน โซลาเซล พลังงานลม ไบโอดีเซล พลังงานน้ำ

เช่นโครงการหนึ่งหมู่บ้านหนึ่งพลังงานทดแทน อาจจะเริ่มหนึ่งอำเภอหนึ่งหมู่บ้าน

***สร้างรถยนไฟฟ้าแบรนไทยแลนท์ ไทยเรามีทหารท่านหนึ่งเก่งมาก ท่านหนึ่งท่านทำรถไฟฟ้าส่วนบุคคลเสร็จ ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลกที่สามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้เอง และท่านประดิฐมอเตอร์เฮอร์คิวริสซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ให้พลังงานมาก 10 เท่าเปรียบเทียบกับมอเตอร์ธรรมดา

ถ้าเราต่อยอดจะประหยัดไฟฟ้าได้เยอะมาก

พัฒนาการบาริการด้านการแพทย์ให้ไทยเป็น ศูนย์กลางด้านการแพทย์ในอาเซียนสามารถนำเงินเข้าไทยได้ไม่น้อย

***พัฒนาเกษตรไทยให้เป็นเกษตรที่ก้าวหน้า เช่นให้ความรู้เรื่องการทำบัญชี การวางแผนการผลิต การแปรรูปสินค้าเกษตร การหาตลาด การโปรโมทสินค้า การลดต้นทุนการผลิต และเทคโนโลยีการเกษตร สอนให้เขาสามาทำเองได้..

***สนับสนุนการพัฒนา การประดิษฐิคิดค้นนวัตกรรม เครืองจักรเทคโนโลยี โดยให้มีการประกวด และให้รางวัลนวัตกรรมที่ชนะ พัฒนาและต่อยอดอันที่มีการตลาดที่ดีจนเป็นผลิตภันฑ์ที่ขายทำกำไรได้

ประเทศไทยที่คาดหวังอยากจะให้เป็นในด้านเศรษฐกิจ การแบ่งปันทรรพยากรทางด้านเศรษฐกิจ ต้องทั่งถึงและเท่าเทียม ไม่ใช่รวยเพียงไม่กี่คน แล้วคนส่วนใหญ่ถูกเอารัดเอาเปรียบ การเรียกเก็บภาษีต้องมีความเป็นธรรมกับคนทุกคน คนที่ได้รับประโยชน์จากแผ่นดินมากกว่าคนอื่นก็ต้องจ่ายแพงเพื่อนำมาดูแลคนที่ด้อยโอกาส เพื่อว่าเขาจะได้มีโอกาส

เป็นเศรษฐกิจเสรี ไม่ผูกขาด

ควรพัฒนาอุสาหกรรมที่ประเทศเราถนัด

ทำตามแบบทักษิณง่ายดีเจริญไว

แต่ต้องระวังระบอบเหี้ยจะกลับมา

-

- ส่งเสริมให้มีธุรกิจขนาดกลาง / ขนาดเล็ก

- มีกฎระเบียบในการป้องกันการเอารัดเอาเปรียบจากนายทุนขนาดใหญ่ เช่น ซีพี โดยอ้างการทำธรกิจครบวงจรแต่ที่จริงแล้วคือการครอบงำเศรษกิจทั้งหมด และทำลายธุรกิจขนาดเล็ก

 

 

 

.......ต้องการให้เน้นสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐานของประชาชน โดยเน้นการ จัดหาสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชาชน ให้กับคนในเขตยากจนที่สุดก่อน และในทุกภาคส่วน ของภายในประเทศ ก็จะได้รับการพัฒนาอย่างเท่าเทียมกันไปเอง

ทางด้านเศรษฐกิจการค้าการขาย ให้มีอิสระในการทำธุรกิจ ไม่มีนายทุนผูกขาด ทุกอย่างแม้แต่การเงินการธนาคาร..

เปิดเสรีทางการค้า

ส่งเสริมการค้า การลงทุน ที่เป็นธรรมกับคนในสังคม ไม่ให้เอาเปรียบกัน โดยเฉพาะการค้าผูกขาด ต้องแก้กฎหมาย วางกติกาที่เป็นธรรมกับคนส่วนใหญ่

กระตุ้นการลงทุนของชนชั้นล่างให้มีอาชีพที่สามารถเลี้ยงครอบครัวได้

กระตุ้นการลงทุนของชนชั้นล่างให้มีอาชีพที่สามารถเลี้ยงครอบครัวได้

1.มีการส่งเสริมการลงทุนในชุมชน

2.แจ้งข้อมูลข่าวสารด้านเศรษฐกิจในชุนชน.ระดับประเทศ และระดับโลก

3.มีนโยบายการผลิตและการค้าที่ี่ทันสมัยกับยุคการ่ปลี่ยนแปลงของโลก

4.มีการประกันราคาผลผลิตสินค้า

ยากให้เป็นหนึ่งในอาเชียนในด้านเศฐกิจ

เป็นเสรีแบบทุนนิยม ที่มีกรอบจำกัด ไม่ใช่แบบปลาใหญ่กินปลาเล็ก หรือทุนนิยมผูกขาด

ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดราคาสินค้าต่างๆ

ต้องไม่มองเรื่องเศรษฐกิจแบบแยกส่วน แต่ต้องเป็นเศรษฐกิจที่ตั้งอยู่บนฐานความเข้มแข็งของสังคม หรือ ชุมชน โดยอาศัยชุมชนเป็นเครื่องมือในการพัฒนาเศรษฐกิจ ประกอบกับต้องเชื่อมโยงกับวัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมอย่างบูรณาการ

อยู่ดีกินดี

ผลิตสามารถตั้งราคาผลผลิตได้

ผลประโยชน์กลับมาที่ประชาชนโดยตรง

- ระบบเศรฐษกิจ แบบทุนนิยม - ระบบเศรฐษกิจ แบบผสม

ด้านการเศรษฐกิจ ประชาชนทุกคนควรได้รับโอกาส เท่าเทียมกันในการเข้าถึงโอกาสการทำมาหากิน แหล่งทรัพยากรทีมีอย่างเท่าเทียมกัน สร้างโอกาสการทำมาหากินให้ผู้ที่ด้อยกว่า มีความสามารถในการแข่งขัน หรือไม่ก็ปกป้องผู้ที่ด้อยโอกาสในการแข่งขัน

รวมคนไทย สู้กับต่างประเทศเพื่อการเปลี่ยนผ่านที่ดี

ประเทศไทยจำเป็นจะต้องมีระบบเศรษฐกิจไปตามสภาวะเศรษฐกิจของโลกคือ เป็นไปตามระบบทุนเสรีนิยมที่ถือปฏิบัติกันอยู่ตามสภาวะปัจจุบัน แต่ทว่าจะต้องมีผู้นำในการปกครองคือ นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนที่เข้มแข็ง เพื่อนำพาระบบเศรษฐกิจของประเทศให้สามารถแข่งขันกับระบบตลาดของโลกนี้ได้ต่อไป

ควรเป็นแบบฟิลิปปินส์แบบอินโดนีเซียไปก่อนแล้วตามไปเป็นแบบเกาหลีใต้จนสู่แบบญี่ปุ่นในที่สุด.(คือค่อยๆพัฒนาไป)

ไม่มีความเห็น

ปชช.เป็นผู้บริหารเศฐกิจเอง

รากหญ้าซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ รัฐส่งเสริม สถานที่ทำกิน แหล่งเงินทุน ส่งเสริมวิชาการอาชีพนั้นๆ เชื่อว่าหากรากหญ้าอยู่ดี กินดี รัฐก็จะมั่งคั่ง

ทุกอย่างให้เอกชนดูแล ส่วนฝ่ายบริหารทำหน้าที่เหมือนdealerที่นำเอานักลงทุน รัฐบาลต่างชาติ เข้ามาลงทุน >>>แนวsupport ภาคเอกชน เป็นเศรษฐกิจของมหาชน มีกฎหมายควบคุมการผูกขาดธุรกิจบ้างประเภท และ ขนาดธุรกิจ เพื่อให้เกิดการถือครองสินทรัพย์ร่วมของประชาชนในประเทศ

มีการแข่งขันโดยเสรี และมีโอกาศเท่าเทียมกันทุกคน

มีการแข่งขันโดยเสรี และมีโอกาศเท่าเทียมกันทุกคน

เกษตรกร มีอำนาจกำหนดราคาสินค้า

สาธารณรัฐไทยควรเป็นศูนย์กลางการขนส่งของภูมิภาค ต้องขุดคลองคอดกระและสร้างระบบขนส่งทางรางเชื่อมต่อทั้งประเทศและกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งส่งเสริมอุตสาหกรรมหนัก เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก อุตสาหกรรมต่อเรือและอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในพื้นที่ โดยต้องมีการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพและผ่านกระบวนการอันมีประชาชนเป็นผู้ตัดสินแบบ USA

ต้องพัฒนาทรัพยากรของคนก่อนให้รู้หน้าทีของตัวเองให้รักประเทศตัวเองรักครองนํ้ารักป่ารักฟ้ารักครอบครัวและสวัดิการต่างๆไม่ว่าป่วยและทีสําคัญทุกคนต้องมีการศึกษาเต็มที่แล้วแต่ความสามารถแต่ละคนทุกคนต้องมีงานทํามีรายได้พอเลี้ยงครอบครัวของตัวเองและถนนต้องสะดวกไปมาหากันได้สะดวกรวดเร็วขึ้นงบประจะต้องกระจ่ายออกไปอย่างทั่วถึงทุกภาคและทุกคนจะต้องเขาถึงแหล่งทุนถ้าประชาชนอยู่ดีกินดีและประเทศชาติก็พัฒนาไปดัวยประเทศมันก็คือประชาชนไม่ไช่เหรอคะ่

ส่งเสริมการค้าในประเทศให้เทียบเท่าสินค้าแบรน์เนมและส่งออก สนับสนุนให้คนไทยใช่ของในประเทศ สร้างบ่อนเสรี เน้นการท่องเที่ยว เพิ่มค่าเเรงขั้นต่ำให้ได้วันละ1พันบาทหักภาษี30%ทุกอาชีพเพื่อเอามาสร้างสวัสดิการให้ปปช. เพื่อลดความเหลือมล้ำของปปช.

จำกัดแม่ค้าริมฟุตบาทและแท็กซี่เพื่อสร้างความน่าอยู่อาศัย

ซื้อง่าย ขายตล่อง

-

ไทยต้องเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค

ระบบสหกรณ์กระจายทั่วทุกหมู่บ้าน

กระจายรายได้ เเละรัฐสวัสดิการ ให้เท่าเทียมกันทุกคน

เหมือนประเทศออสเตรีย

.เป็นบ้านเมืองทีปราศจากอบายมุข หรือให้ค่อยๆ หมดไป หรืออย่างน้อยก็พยายามต่อไปเพื่อไม่ให้มีในแผ่นดินไทย (เพราะอบายมุขเป็นสิ่งทำลายเศรษฐกิจ)

.เป็นทุนนิยมแบบสมดุล คือไม่มีกลุ่มใดผูกขาดการค้า

.กำหนดรายได้ของประชาชนอย่างเหมาะสมกับค่าครองชีพ

.อุตสาหกรรมต้องไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

.ใช้ทรัพยากรเชิงอนุรักษ์

ควรจัดการด้านพลังงานของชาติให้เป็นที่โปร่งใส นำรายได้มาพัฒนาประเทศ มิใช่ผลประโยชน์ตกแก่บุคคลบางกลุ่ม หรือบางพวก

ต้องเจริญกว่านี้

เสรีแบบไม่มีสัญญาผูกขาดทุกกรณี แข่งขันกันได้เรื่อย

อยากให้ผู้นำส่งเสริมการค้าขายในและต่างประเทศ

อยากให้ประชาชนอยู่ดีกินดี เศรษฐกิจคล่องตัว

การค้าเสรี โปร่งใส เป็นธรรม

ซื้อง่าย ขายตล่อง

เศรษฐกิจการค้าเสรี และความเท่าเทียมกัน

เจริญก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจ เป็นที่ยอมรับของอารยะประเทศ มีบริหารงานจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามแบบสากล นา ๆ ประเทศ ในระบอบประชาธิปไตย

อยู่ดีกินดีปทท.ต้องอุดมสมบูรณ์

ให้มีอิสระในการประกอบอาชีพส่งเสริมการค้าการขายกับต่างประเทศหาช่องทางและสน้บสนุนผู้ประกอบการรายย่อยให้ทุกคนได้กินดีอยู่ดี ดูแลช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส

ทุนเสรีนิยม

 

 

เศรษฐกิจจะดีทุกอย่างถ้า นักการเมืองมีความจริงใจที่จะเป็นนักการเมืองอย่างแท้จริง

 

 

ปชช.คนในชาติรู้รักสามัคคี พอใจกับสิ่งที่ตนเองผลิตผลที่ได้รับ

 

 

เศรษฐกิจจะดีทุกอย่างถ้า นักการเมืองมีความจริงใจที่จะเป็นนักการเมืองอย่างแท้จริง

 

 

ปชช.คนในชาติรู้รักสามัคคี พอใจกับสิ่งที่ตนเองผลิตผลที่ได้รับ

ต้าขายกับต่างประเทศเหมือนนายกทักษิษทำนะดีแล้วครับ

ต้าขายกับต่างประเทศเหมือนนายกทักษิษทำนะดีแล้วครับ

เสรีนิยม มีกระจายทรัพยากรอย่างเป็นธรรม

เป็นเศษฐกิจเสรี แบบประชาชนเข้าถึงแหล่งทุน

ตัดปัญหาพ้อค้าคนกลาง

อยากเห็นเศษฐกิจของไทยเหมือนดั่งในยุโรป. ประชากรมีความเป็นอยู่ชีวิตที่ดีขึ้น. การจ้างงานเพิ่มมากขึ้น. ควรมีกฎหมายคุ้มครองค่าแรงขั้นต่ำ ยกเลิกการผูกขาดจากนายทุนใหญ่ๆซึ่งผมคิดว่าจะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้แรงงาน

ทุนเสรี

1.ต้องสนับสนุนผู้มีรายได้น้อย

ให้มีทางเลือกมากขึ้น

2.สนับสนุนชาวนา ชาวเกษตร

ชาวประมง ให้มีทุนพัฒนาใน

งานที่เค้าต้องใช้จริงจัง ที่หลัง

จากถูก คสช ปกครองมาแบบ

โง่ๆ

1.ต้องสนับสนุนผู้มีรายได้น้อย

ให้มีทางเลือกมากขึ้น

2.สนับสนุนชาวนา ชาวเกษตร

ชาวประมง ให้มีทุนพัฒนาใน

งานที่เค้าต้องใช้จริงจัง ที่หลัง

จากถูก คสช ปกครองมาแบบ

โง่ๆ

- พื้นฐานประเทศเดิมเป็นเกษตรกรรมส่วนใหญ่

สามารถบูรณการณ์พัฒนาและวิจัยอย่างจริงจังให้เป็นอุตสาหกรรมเกษตรประยุกต์สามารถแข่งขันส่งออกได้นำรายได้เข้าสู่ประเทศประกอบกับส่งเสริมพัฒนา SME จนเป็นผู้ประกอบการในระดับอุตสาหกรรมสูง (ตัวอย่าง CP)

 

- ส่งเสริมพัฒนาวิจัยพัฒนาให้มีเทคโนโลยีและวิศวกรรมขั้นสูงเป็นของตนเองและต่อยอดไปสู่การค้าการลงทุนการวิจัย ทำ mou กับมหาวิทยาลัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม ลงทุนงานวิจัยให้เยอะสร้างคนสร้างนวัฒกรรมใหม่ๆผลิตใช้ในประเทศและส่งออกไปต่างประเทศ (ยึดแบบสร้างผู้ประกอบการอย่าง ซัมซุง แอลจี ฮุนได เป็นกรณีศึกษาทำไมเกาหลีใต้ถึงจากยากจนกว่าเราจนกลายมาเป็นประเทศที่ร่ำรวยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว)

ภาครํฐควรส่งเสริมระบบสหกรณ์ให้เข้มแข็ง ต้องเป็นรัฐสวัสดิการจัดเก็บในอัคตราก้าวหน้า ภาคเอกชนควรมีส่วนร่วมในกาทำสาธารณประโยชน์ ออกกฎหมายค้มครองผู้ประกอบการรายเล็ก ปานกลาง ให้อยู่ได้ เพื่อเป็นทางเลือกของผู้บริโภค ไม่มีการผูกขาดทางการค้า

ด้วยลักษณะ ของคนไทย สมควรที่จะอยู่ในระดับหัวแถวของกลุ่ม อาเซี่ยน

ประชาชน และผู้ประกอบการรายเล้ก ต้องเข้าถึงแหล่งทุน ได้อย่างแท้จริง

เอาตามที่ท่าน ดร.เพียงดิน พูดทุกประการ

ต้องดีกว่านี้ ต้องเสมอภาพด้านการเข้าถึงแหล่งทุนโดยรัฐต้องสนับสนุนและให้ความรู้

เหมือนข้างต้น

ทุกคนเข้าถึงทรัพยากรร่วมกัน กระจายรายได้

ทุกคนเข้าถึงทรัพยากรร่วมกัน กระจายรายได้

โอกาสต้องเปิดให้ทุกคนไม่เอาแค่บางกลุ่มคน ร่วมกันทำร่วมกันพัฒนา ปราบคอรัปชั่นอย่างจริงจัง กำจัดคนกลางที่ค้ากำไรกับคนด้อยโอกาสเกินควร ให้ชาวนาชาวไร่มีโอกาสเอาของลงมาขายในที่ๆเป็นตลาดกลางประมูลราคาผลิตภัณฑ์ของตัวเอง

ทุนเสรี

ไม่กระจุเงินอยู่ที่กรุงเทพที่เดียว,เส้นทางคมนาคมต้องดีกว่านี้

ผมให้คำตอบด้านนี้ไม่ดี เนื่องจากไม่ได้มีความรู้ด้านนี้มากนัก

แต่อยากให้ คุณภาพชีวิตของคนจน ดีขึ้น

ต้องเป็นรัฐสวัดิการให้ประชาชนทุกคน

เหมือน สิงค์โปร์ หรือ อเมริกา

ประชาชนควรมีอำนาจในการบริหารทรัพยากร เช่น ดิน นำ้ ลม ไฟ สินค้าการเกษตรทุกอย่าง ราคาตกตำ่ เกษตรกรเหนื่อยและอยู่ลำบาก คนออกกฎหมายมันไม่ได้ทำนา แต่มันกินอยู่สบาย คนแก่ทำงานหนัก คนหนุ่มสาวทำงานเบาๆๆ จึงเป็นหนี้ จน

ระบบทุนนิยมเสรี

มีโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานทั่วถึงทั้งประเทศ โครงข่ายคมนาคมทางราง ทางอากาศ ทางถนน ทางนำ้(ทะเล แม่นำ้ ลำคลอง) ดูแลคนระดับล่างให้มีรายได้มากๆจะได้มีกำลังซื้อคนระดับกลางและระดับสูงก็จะดีไปเอง รัฐบาลกับทูตประจำประเทศต่างๆมีหน้าที่หาตลาดให้ผู้ผลืตภายในประเทศ รัฐต้องส่งเสริมและนำร่องนวัตกรรมใหม่ๆที่คนไทยประดิฐษ์คิดค้นขึ้นให้เป็นรูปธรรม ให้ขายได้ใช้ประโยชน์ได้จริง

ทุกคนเข้าถึงโอกาสทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ทรัพยากรของส่วนรวมอย่างเท่าเทียม

เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภูมิภาค

micro and macro (small business and international business)

"Thai First" NO junk from China

increase export

produce brand name by Thais and made in Thailand by region specified

Get rid of middle man or monopoly

government find market and support villager/community jto supply their products and provide training, new skill and knowledge

 

ผมจบป.4ไม่มีความรู้ด้านเศรษฐกิจ แต่ขอเพียงว่าไห้ ชาวรากหญ้าซึ้งเป็นคนส่วนมาก ได้มีสวัสดิ์การอยู่ดีกินดี ไม่ถูกกดขี่กันเกินไปครับ

สิงคโปร์ เปนต้นแบบ ๋

free trade

เป็นเศรฐกิจแข่งขันแบบเสรีนิยม ห้ามผูกขาด

เศรฐกิจไม่ถูกแทรกแซง จากอำนาจมืด

1.มีทีม คณะกรรมการ ดำเนินการตามหลักวิทยาศาสตร์ มีการวิจัย นำผลการวิจัยไปใช้ดำเนินการ

2.มีการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งเสริม sme

3.มีการระดมทุน ใช่รูปแบบสหกรณ์

4. ส่งเสริมการออมระดับครัวเรือน

5. ส่งเสริมการส่งออก

6. ประชาชนอยู่ดีกินดี

ประชาชนอยู่ดีกินดี ไม่ยากจน

แข่งขันเสรี ไม่กีดกันทางการค้า รัฐาลควรให้การช่วยเกษตรกร ในการรวมกลุ่มกันเพื่อให้เกิดพลังในการต่อรองกับทุ่นใหญ่ๆ

น่าจะให้มีการช่วยเหลือผู้ค้ารายย่อย หรือสนับสนุนให้ชุมชนในแต่ละท้องที่ได้มีงานทำมากกว่าจะสนับสนุนแต่ผู้ค้ารายใหญ่ๆ

ทุนนิยมเสรี

ต้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในการบริหารทรัพยากรชาติ

ให้เป็นตามระบบสากล

ทุนผูกขาดต้องไม่มี

อยากมีเสรีภาพแบบประชาธิปไตยที่ดีและสมบูรณ์ครับ และเหมือนประเทศที่เจริญแล้ว

นโยบายเดียว ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ

ประชาธิปไตย ที่ตอบสนองเศรษฐกิจนำไปสู่ความอยูดีกินดีของคนทุกกลุ่มทุกชนชั้น

ควรจะเป็นประเทศที่ มีความเป็นอยู่เหมือนประเทศอื่นที่แข็งแรงและมั่นคงทางเศรษฐกิจเยี่ยม โดยประชาชนมีกินมีใช้และเหลือเก็บเพื่ออนาคตของลูกหลาน

อยากให้ไทยเป็นผู้นำและศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจ ในย่านอาเซี่ยน

1.แข่งขันกันเสรี โดยกฎหมายที่เป็นธรรม ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย

2.ความเจริญทางเศรษฐกิจ มุ่งสู่การ

พัฒนา ดูแลประชาชน และเป็นหลัก

ให้ประเทศเพื่อนบ้าน

3.มีระบบระเบียบ ที่เป็นธรรม ในเรื่อง การเงิน การธนาคาร ของประเทศ โดยให้ประชาชน มีความสุข ตามอัตภาพ

1.ธนบัตร ควรเป็นรูปรัฐบุรุษ เช่น ปรีดี/ทักษิณ/คณะราษฎร์/กษัติรย์ไทย

2.เอาทรัพย์สินกษัตริย์แจกจ่ายให้ประชาชนคนจน หรือ ไถ่ดินแดน ที่เราเสียดินแดนสมัย .5

1.ธนบัตร ควรเป็นรูปรัฐบุรุษ เช่น ปรีดี/ทักษิณ/คณะราษฎร์/กษัติรย์ไทย

2.เอาทรัพย์สินกษัตริย์แจกจ่ายให้ประชาชนคนจน หรือ ไถ่ดินแดน ที่เราเสียดินแดนสมัย .5

เป็นเศรษฐกิจเสรี ไม่ผูกขาด

เป็นประเทศเสรีการค้า ไม่มีการผูกขาดด้านการค้า