PPD's Official Website

Thursday, January 5, 2017

ผมไม่เชื่อว่าเมืองไทยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริง โดย เอนก ซานฟราน




คนไทยทุกคนเมื่อเกิดมา ทุกคนถูกหล่อหลอมให้มีความเชื่อถือเรืองไสยศาสตร์ เรื่องโชคลางของขลัง ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ที่ผู้ใหญ่มักยัดเยียดความเชื่อของตัวเอง แล้วถ่ายทอดสู่ลูกหลานของตัวเอง และคนรุ่นใหม่ ความเชื่อถือที่ยึดเหนี่ยวมาตามยุคตามสมัยที่ถ่ายทอดจากยุคสู่ยุค ยังคงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน โดยไม่นำหลักวิทยาศาสตร์ และความเจริญทางเทคโนโลยีมาเปรียบเทียบกับความงมงายของตัวเอง เป็นที่น่าสังเกตว่า คนไทยส่วนใหญ่มักมีความเชื่อถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และบุคคล ที่ตัวเองคิดว่าเป็นผู้วิเศษหรือเทวดา ซึ่งยังคงปรากฎให้เห็นตามพิธีการต่างๆ ตลอดทั้งมีความเลื่อมใสต่อบุคคลที่ตัวเองคิดว่า เขาคือผู้วิเศษ ที่สามารถทำให้ชีวิตพวกเขาประสพแต่สิ่งที่ดี อยู่ดี กินดี แต่ก็ไม่เคยปรากฎให้เห็นความคิดเยี่ยงนี้เป็นความคิดที่แตกต่างไปจากคนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในประเทศอื่น ซึ่งปรากฎชัดเจนว่า คนที่อาศัยอยู่ในประเทศอื่น เขามีความเจริญก้าวหน้ามากกว่า และเขาก็มีความเชื่อว่ากฎหมายเท่านั้น คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาต้องเคารพบูชา และเป็นกติกาในการดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันด้วยสันติวิธี เพราะฉะนั้น หากใครมาถามผมว่าคนไทยบางคนยังมีความงมงายเชื่อเรื่องที่ไม่สมควรเชื่อหรือไม่?ผมก็ตอบว่าใช่ สาเหตุที่คนไทยยังไม่มีความเจริญ สาเหตุที่สำคัญนั้นเกิดจากความงมงายที่เชื่อถือในสิ่งที่ไม่สมควรเชื่อ จึงทำให้คนไทยมีความคิดล้าหลัง ไม่มีการพัฒนาตามสิ่งที่ปรากฎให้เห็นเป็นหลักฐานกลับเชื่อถือตามคำพูดที่ขัดต่อหลักความจริงและก็ไม่ปรากฎหลักฐานให้เห็นเพื่อเป็นการพิสูจน์ ตามหลักการที่ถูกต้อง และก็ตามหลักสากลที่คนในสังคมโลกยอมรับ ?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:office:office" /

โดยเฉพาะความเชื่อเรื่องวัตถุ หรือพระต่างๆที่คนในชาตินำมาเป็นที่พึ่งเพื่อให้ช่วยในการแก้ไข หรือปกป้องคนดีๆ หรือลงโทษคนที่ทำร้ายบ้านเมือง หรือกลุ่มคนที่โกงกินบ้างเมือง หรือกลั่นแกล้งบุคคลผู้บริสุทธิ์ หรือการใช้อำนาจของตัวเองทำร้ายคู่ต่อสู้ก็ตาม สิ่งที่ปรากฎให้เห็นนั้น จึงพอมอง และสรุปได้ว่าหากประเทศไทยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายเหล่านั้นต้องลุกขึ้นมาปกป้องคนดีๆ เพื่อให้เกิดความยุติธรรม ตามหลักที่ว่า "ทำดีต้องได้ดี"แต่สิ่งที่ปรากฎให้พวกเราได้เห็นก็คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่สามารถคุ้มครองคนดีๆ ได้เช่นประชาชนที่ด้อยโอกาส แต่กับปล่อยให้คนชั่วๆ ทั้งหลายที่มีอำนาจยังคงทำลายความยุติธรรมและรังแกคนที่ด้อยโอกาสกว่า เป็นเรื่องที่ทำให้คนที่มีสำนึกอย่างผม ต้องนำเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาวิจารณ์ให้เห็นกันบ้างว่า ประเทศที่เจริญแล้วนั้นไม่ได้อยู่ได้ด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่อยู่ได้ด้วยหลักของความยุติธรรมต่างหาก ที่เป็นกรอบกำหนดให้เราอยู่ร่วมกันอย่างสันติ          วันนี้พวกเราเลิกพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว เลิกงมงายกันเสียทีมันไม่ศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไปแล้ว เพราะคนที่มีอำนาจนั้นสามารถทำอะไรก็ได้ และก็ทำตัวเหนือกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสียด้วยซ้ำเช่น ช่วยคนผิดให้เป็นถูกเช่นเรื่องคดีกล้ายางที่มีพวกนายเนวินคนขี้โกงประเทศที่เล่นแทงพนันฟุตบอลคู่ละเป็นล้านทุกวัน ได้รับอิสระเพราะอำนาจมาจากใคร? รัฐบาลที่เป็นพวกเดียวกัน เพราะนายเนวินยอมให้ความร่วมมือกับพรรคประชาธิปัตย์ตั้งรัฐบาล  ยอมทรยศพรรคพวกที่เคยให้ความช่วยเหลือ เอาตัวรอดมา ผลจึงออกมาเป็นในรูปนี้ แต่คดีของนายสมัคร สุนทรเวช ซึ่งเป็นเพียงคดีเรื่องเล็กน้อยที่ไปสอนทำอาหาร(ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม) กลับถูกลงโทษ แต่ไม่ลงโทษคนที่มีพฤติกรรมเหมือนกันเช่นนายวิชา มหาคุณ หรือนายจรัญ ภักดีธนากุล ที่ไปรับจ้างสอนหนังสือเหมือนกัน หรือคดีคุณหญิงพจมาน ที่ไปประมูลที่ดินสามีกลับมีความผิด แต่พลเอกสุรยุทธิ์ยึดที่ดินของประเทศไปฟรีๆเป็นสมบัติตัวเองกลับไม่มีความผิด 

อำนาจที่รัฐบาลชุดนายอภิสิทธิ์ที่กำลังบริหารประเทศอยู่ทุกวันนี้นั้นได้มาเพราะใคร? ประชาชนหรือก็ไม่ใช่เพราะเสียงส่วนใหญ่คนในประเทศก็ไม่ได้เลือกพรรคประชาธิปัตย์แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นมา เป็นแบบนี้นั้นก็เป็นเพราะเขาได้รับอำนาจจากใครเป็นคนแต่งตั้ง? เพราะฉะนั้นอำนาจที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ที่ได้ผลบังคับใช้นั้นเป็นอำนาจที่มาคนๆ นี้ ที่ไม่ใช่อำนาจของประชาชน วันนี้เรายังคงรอคอยสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้ช่วยเหลือพวกเราอยู่อีกหรือ? กลุ่มพันธมิตรยึดสนามบินยึดทำเนียบรัฐบาล ประเทศชาติเดือดร้อน ไม่เห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลุกขึ้นมาลงโทษคนที่ทำชั่วเลย ไหนบอกว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วไง เราเลิกงมงายกันได้แล้วไปมัวนับถือเรื่องโง่ๆอยู่ทำไมเรียนแบบคนต่างชาติดีกว่าที่พวกเขาไม่เคยโง่งมงายเหมือนพวกเราเลย พวกเขาเชื่อถือเพียงการเคารพต่อกฎหมาย และปฎิบัติตนให้เป็นคนดีของครอบครัวและสังคมเพียงเท่านั้น อย่าเอาหลักการที่ล้าสมัยมาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจเลย เพราะคนทำชั่วกลับได้ดีแต่คนทำดีกลับได้ชั่ว

เราต้องช่วยกันชี้แจงให้คนในชาติเห็นว่านี่คือโทษของความงมงาย


ผมไม่เชื่อว่าเมืองไทยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริง โดย เอนก ซานฟราน




คนไทยทุกคนเมื่อเกิดมา ทุกคนถูกหล่อหลอมให้มีความเชื่อถือเรืองไสยศาสตร์ เรื่องโชคลางของขลัง ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ที่ผู้ใหญ่มักยัดเยียดความเชื่อของตัวเอง แล้วถ่ายทอดสู่ลูกหลานของตัวเอง และคนรุ่นใหม่ ความเชื่อถือที่ยึดเหนี่ยวมาตามยุคตามสมัยที่ถ่ายทอดจากยุคสู่ยุค ยังคงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน โดยไม่นำหลักวิทยาศาสตร์ และความเจริญทางเทคโนโลยีมาเปรียบเทียบกับความงมงายของตัวเอง เป็นที่น่าสังเกตว่า คนไทยส่วนใหญ่มักมีความเชื่อถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และบุคคล ที่ตัวเองคิดว่าเป็นผู้วิเศษหรือเทวดา ซึ่งยังคงปรากฎให้เห็นตามพิธีการต่างๆ ตลอดทั้งมีความเลื่อมใสต่อบุคคลที่ตัวเองคิดว่า เขาคือผู้วิเศษ ที่สามารถทำให้ชีวิตพวกเขาประสพแต่สิ่งที่ดี อยู่ดี กินดี แต่ก็ไม่เคยปรากฎให้เห็นความคิดเยี่ยงนี้เป็นความคิดที่แตกต่างไปจากคนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในประเทศอื่น ซึ่งปรากฎชัดเจนว่า คนที่อาศัยอยู่ในประเทศอื่น เขามีความเจริญก้าวหน้ามากกว่า และเขาก็มีความเชื่อว่ากฎหมายเท่านั้น คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาต้องเคารพบูชา และเป็นกติกาในการดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันด้วยสันติวิธี เพราะฉะนั้น หากใครมาถามผมว่าคนไทยบางคนยังมีความงมงายเชื่อเรื่องที่ไม่สมควรเชื่อหรือไม่?ผมก็ตอบว่าใช่ สาเหตุที่คนไทยยังไม่มีความเจริญ สาเหตุที่สำคัญนั้นเกิดจากความงมงายที่เชื่อถือในสิ่งที่ไม่สมควรเชื่อ จึงทำให้คนไทยมีความคิดล้าหลัง ไม่มีการพัฒนาตามสิ่งที่ปรากฎให้เห็นเป็นหลักฐานกลับเชื่อถือตามคำพูดที่ขัดต่อหลักความจริงและก็ไม่ปรากฎหลักฐานให้เห็นเพื่อเป็นการพิสูจน์ ตามหลักการที่ถูกต้อง และก็ตามหลักสากลที่คนในสังคมโลกยอมรับ ?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:office:office" /

โดยเฉพาะความเชื่อเรื่องวัตถุ หรือพระต่างๆที่คนในชาตินำมาเป็นที่พึ่งเพื่อให้ช่วยในการแก้ไข หรือปกป้องคนดีๆ หรือลงโทษคนที่ทำร้ายบ้านเมือง หรือกลุ่มคนที่โกงกินบ้างเมือง หรือกลั่นแกล้งบุคคลผู้บริสุทธิ์ หรือการใช้อำนาจของตัวเองทำร้ายคู่ต่อสู้ก็ตาม สิ่งที่ปรากฎให้เห็นนั้น จึงพอมอง และสรุปได้ว่าหากประเทศไทยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายเหล่านั้นต้องลุกขึ้นมาปกป้องคนดีๆ เพื่อให้เกิดความยุติธรรม ตามหลักที่ว่า "ทำดีต้องได้ดี"แต่สิ่งที่ปรากฎให้พวกเราได้เห็นก็คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่สามารถคุ้มครองคนดีๆ ได้เช่นประชาชนที่ด้อยโอกาส แต่กับปล่อยให้คนชั่วๆ ทั้งหลายที่มีอำนาจยังคงทำลายความยุติธรรมและรังแกคนที่ด้อยโอกาสกว่า เป็นเรื่องที่ทำให้คนที่มีสำนึกอย่างผม ต้องนำเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาวิจารณ์ให้เห็นกันบ้างว่า ประเทศที่เจริญแล้วนั้นไม่ได้อยู่ได้ด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่อยู่ได้ด้วยหลักของความยุติธรรมต่างหาก ที่เป็นกรอบกำหนดให้เราอยู่ร่วมกันอย่างสันติ          วันนี้พวกเราเลิกพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว เลิกงมงายกันเสียทีมันไม่ศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไปแล้ว เพราะคนที่มีอำนาจนั้นสามารถทำอะไรก็ได้ และก็ทำตัวเหนือกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสียด้วยซ้ำเช่น ช่วยคนผิดให้เป็นถูกเช่นเรื่องคดีกล้ายางที่มีพวกนายเนวินคนขี้โกงประเทศที่เล่นแทงพนันฟุตบอลคู่ละเป็นล้านทุกวัน ได้รับอิสระเพราะอำนาจมาจากใคร? รัฐบาลที่เป็นพวกเดียวกัน เพราะนายเนวินยอมให้ความร่วมมือกับพรรคประชาธิปัตย์ตั้งรัฐบาล  ยอมทรยศพรรคพวกที่เคยให้ความช่วยเหลือ เอาตัวรอดมา ผลจึงออกมาเป็นในรูปนี้ แต่คดีของนายสมัคร สุนทรเวช ซึ่งเป็นเพียงคดีเรื่องเล็กน้อยที่ไปสอนทำอาหาร(ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม) กลับถูกลงโทษ แต่ไม่ลงโทษคนที่มีพฤติกรรมเหมือนกันเช่นนายวิชา มหาคุณ หรือนายจรัญ ภักดีธนากุล ที่ไปรับจ้างสอนหนังสือเหมือนกัน หรือคดีคุณหญิงพจมาน ที่ไปประมูลที่ดินสามีกลับมีความผิด แต่พลเอกสุรยุทธิ์ยึดที่ดินของประเทศไปฟรีๆเป็นสมบัติตัวเองกลับไม่มีความผิด 

อำนาจที่รัฐบาลชุดนายอภิสิทธิ์ที่กำลังบริหารประเทศอยู่ทุกวันนี้นั้นได้มาเพราะใคร? ประชาชนหรือก็ไม่ใช่เพราะเสียงส่วนใหญ่คนในประเทศก็ไม่ได้เลือกพรรคประชาธิปัตย์แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นมา เป็นแบบนี้นั้นก็เป็นเพราะเขาได้รับอำนาจจากใครเป็นคนแต่งตั้ง? เพราะฉะนั้นอำนาจที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ที่ได้ผลบังคับใช้นั้นเป็นอำนาจที่มาคนๆ นี้ ที่ไม่ใช่อำนาจของประชาชน วันนี้เรายังคงรอคอยสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้ช่วยเหลือพวกเราอยู่อีกหรือ? กลุ่มพันธมิตรยึดสนามบินยึดทำเนียบรัฐบาล ประเทศชาติเดือดร้อน ไม่เห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลุกขึ้นมาลงโทษคนที่ทำชั่วเลย ไหนบอกว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วไง เราเลิกงมงายกันได้แล้วไปมัวนับถือเรื่องโง่ๆอยู่ทำไมเรียนแบบคนต่างชาติดีกว่าที่พวกเขาไม่เคยโง่งมงายเหมือนพวกเราเลย พวกเขาเชื่อถือเพียงการเคารพต่อกฎหมาย และปฎิบัติตนให้เป็นคนดีของครอบครัวและสังคมเพียงเท่านั้น อย่าเอาหลักการที่ล้าสมัยมาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจเลย เพราะคนทำชั่วกลับได้ดีแต่คนทำดีกลับได้ชั่ว

เราต้องช่วยกันชี้แจงให้คนในชาติเห็นว่านี่คือโทษของความงมงาย


Tuesday, January 3, 2017

อ. ชูพงศ์-คุณอเนก ซานฟราน และดร.เพียงดิน ร่วมรำลึกสองปี พี่วู๊ดไซด์ นิวยอร์ค 3 มกราคม 2560

อ. ชูพงศ์-ดร.เพียงดิน ร่วมรำลึกสองปี พี่วู๊ดไซด์ นิวยอร์ค 3 มกราคม 2560 

อเนก ซานฟราน-ดร.เพียงดิน ร่วมรำลึกสองปี พี่วู๊ดไซด์ นิวยอร์ค 3 มกราคม 2560



อ. ชูพงศ์-คุณอเนก ซานฟราน และดร.เพียงดิน ร่วมรำลึกสองปี พี่วู๊ดไซด์ นิวยอร์ค 3 มกราคม 2560

อ. ชูพงศ์-ดร.เพียงดิน ร่วมรำลึกสองปี พี่วู๊ดไซด์ นิวยอร์ค 3 มกราคม 2560 

อเนก ซานฟราน-ดร.เพียงดิน ร่วมรำลึกสองปี พี่วู๊ดไซด์ นิวยอร์ค 3 มกราคม 2560



Friday, December 30, 2016

ซีพีก้าวสู่ตลาดโลกอาหารแช่แข็งสหรัฐอเมริกา

ซีพีก้าวสู่ตลาดโลกอาหารแช่แข็งสหรัฐอเมริกา
#คราวต่อไปคงต้องซื้อวอลล์มาร์ท

ซีพีเอฟเข้าซื้อกิจการเบลลิซิโอ มูลค่า 1.075 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
โดย ฐานเศรษฐกิจ - 23 December 2559148

cpf1223-1-2ซีพีเอฟเข้าซื้อกิจการเบลลิซิโอ มูลค่า 1.075 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ นับเป็นการซื้อธุรกิจอาหารในตลาดสหรัฐฯเป็นครั้งแรกของบริษัทฯ

วันที่ 23 ธันวาคม 2559  กรุงเทพฯ, มินนิอาโพลิส – บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ประกาศว่าได้ทำการเข้าซื้อกิจการของบริษัท เบลลิซิโอ ฟู้ด อิ้งค์ (Bellisio) จากบริษัท เซ็นเตอร์ พาร์เนอร์ เมเนจเม้นท์ แอลแอลซี (Centre Partners) ตามเงื่อนไขที่ได้รับการเห็นชอบแล้วจากคณะกรรมาธิการการค้า และกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐอเมริกา (the Federal Trade Commission and Department of Justice of the United States) โดย ซีพีเอฟ ได้ทำการซื้อหุ้น 100% ในบริษัท เบลลิซิโอ ด้วยมูลค่ารวม 1.075 พันล้านเหรียญสหรัฐ

การควบรวมกิจการในครั้งนี้ เป็นการรวมกันระหว่างบริษัทอาหารแช่แข็งที่ใหญ่ที่สุดและเติบโตเร็วที่สุดของสหรัฐฯ กับบริษัทผู้ผลิตอาหารครบวงจรชั้นนำที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของประเทศไทย เบลลิซิโอ เป็นผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายอาหารแช่เข็งแบบ single serve ภายใต้ตราสินค้า มิชิลิน่าส์ (Michelina's), แอทคินส์ (Atkins), บอสตัน มาร์เก็ต(Boston Market), ชิลีส์ (Chili's), อีทติ้งเวล (EatingWell), และ อีท (Eat!) ขณะเดียวกันยังเป็นผู้ผลิตร่วมสินค้าภายใต้ แบรนด์ของลูกค้า (private label) และผู้ประกอบการธุรกิจอาหารต่างๆ ขณะที่ ซีพีเอฟ เป็นผู้ประกอบการเกษตรอุตสาหกรรมชั้นนำในภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิค ที่มีความแข็งแกร่งในเรื่องของโภชนาการอาหารปลอดภัย โดยธุรกิจของบริษัทครอบคลุมฟาร์มปศุสัตว์ (หมู, ไก่เนื้อ, ไก่ไข่ และเป็ด) สัตว์น้ำ (กุ้งและปลา) นอกจากนี้ ยังทำธุรกิจครบวงจรที่เกี่ยวเนื่องกับอาหารสัตว์, พันธุ์สัตว์, ฟาร์มปศุสัตว์, การแปรรูปเนื้อสัตว์, อาหารกึ่งสำเร็จรูป และเนื้อสัตว์ปรุงสำเร็จ, ผลิตภัณฑ์อาหาร, อาหารพร้อมรับประทาน และยังรวมถึงเนื้อสัตว์, การส่งสินค้าให้กับผู้ค้าปลีกและผู้ประกอบการภัตตาคารอาหาร

"เรามีความตื่นเต้นและยินดีที่สุดกับการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ ซีพีเอฟ ในครั้งนี้ ซึ่งจะส่งต่อศักยภาพในการขับเคลื่อนธุรกิจและการเติบโตของ เบลลิซิโอ ในอนาคต" มร.โจแอล คอนเนอร์  ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เบลลิซิโอ กล่าวและว่า "ซีพีเอฟ เป็นบริษัทที่มีแนวทางในการดำเนินธุรกิจที่มุ่งมั่นซึ่งเราสามารถแบ่งปั่นประสบการณ์ที่มีค่าในเรื่องของคุณภาพและนวัตกรรมด้วยกัน"

"การซื้อกิจการในครั้งนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่า ซีพีเอฟ ได้ก้าวผ่านขึ้นมาเป็นผู้นำที่ใหญ่ที่สุดในการตลาดอาหารของโลก ทั้งยังเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของบริษัทในการเดินหน้าสู่เป้าหมายธุรกิจสู่การเป็น "ครัวของโลก" อย่างไม่หยุดยั้ง นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวและว่า "มร.โจแอล และทีมคณะทำงานได้สร้าง เบลลิซิโอ ขึ้นมาให้เป็นธุรกิจที่แข็งแกร่งโดยเฉพาะแบรนด์สินค้าที่ได้รับความนิยม และเรา (ซีพีเอฟและเบลลิซิโอ) จะดำเนินธุรกิจร่วมกัน เพื่อให้ธุรกิจเบลลิซิโอ เติบโตต่อเนื่องต่อไป ซึ่งในการควบรวมกิจการในครั้งนี้จะทำให้เราสามารถบุกตลาดอเมริกาเหนือและสามารถสร้างสรรค์สินค้าเพื่อผู้บริโภคในสหรัฐ ขณะเดียวกันยังสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นด้วย"

"พวกเรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งกับผลสัมฤทธิ์อันยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ ซึ่งเป็นความสำเร็จของ เบลลิซิโอ ในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา ภายใต้ทีมบริหารงานนำโดย มร.โจแอล คอนเนอร์ เราเชื่อว่า ซีพีเอฟ เป็นหนึ่งในหุ้นส่วนที่สำคัญของ เบลลิซิโอ ที่จะเติบโตไปด้วยกันในอนาคต" มร.บรู๊ซ พอลแลค หุ้นส่วนผู้จัดการของบริษัท เซ็นเตอร์ พาร์เนอร์ส กล่าว

ทั้งนี้ ทีมบริหารเบลลิซิโอและพนักงานในปัจจุบันจะยังคงปฎิบัติหน้าที่ในตำแหน่งของตนเองต่อไป และขอยืนยันกับลูกค้าและซัพพลายเออร์ทุกรายว่า ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม โดยเมืองมินนิอาโพลิสจะยังคงเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัทที่บริหารจัดการธุรกิจในทุกภูมิภาคด้วย.