PPD's Official Website

Saturday, January 28, 2017

ค่านิยมไทย ที่ฉุดรั้งพัฒนาการประชาธิปไตย โดย ตาอยู่

เมื่อพศ.2475 ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงระบบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นประชาธิปไตยเรียบร้อยแล้ว

และตามหลักการแล้วทุกคนในประเทศนี้ต้องอยู่ใต้กฏหมาย ไม่มีใครมีอภิสิทธิ์อีกต่อไป ถ้าเป็นอย่างนั้นเราคงเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์แล้ว

แต่ผมอยากถามว่า แล้วที่ผ่านมา 83ปี มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมั้ยครับ
ทุกคนอยู่ใต้กฏหมายอย่างที่บอกมั้ย
อภิสิทธิ์ชนหมดไปไหม
ขุนนาง(ข้าราชการ-นักการเมือง)เลิกคอรัปชั่นหรือปล่าว

83ปีที่ผ่านมา สิ่งเหล่านี้ไม่เคยเปลี่ยน เพราะเรายังมีค่านิยมแบบเดิม 

อะไรที่ทำให้ค่านิยมเก่าๆนี้ยังคงมีอยู่ในสังคม !?

สาเหตุคือ เพราะไม่ว่ารัฐบาลไหนขึ้นมามีอำนาจ ก็จะชูนโยบายรักษาความเป็นไทย รักษาวัฒนะธรรมไทย เอาใว้ตลอด
โดยนึกไม่ถึง(หรือจงใจ)ว่านั่นมันคือแนวทางแบบ"อนุรักษ์นิยม"ซึ่งมันขัดต่อหลักการของระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย

สิ่งที่เราพยายามอนุรักษ์เอาใว้นั้นแท้จริงแล้วมันคือ ค่านิยมศักดินาในระบอบการปกครองแบบเก่า(สมบูรณาญาสิทธิราชย์)

เพราะฉะนั้นไม่ว่าฝ่ายประชาธิปไตยจะชนะการเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาลอีกกี่ครั้ง หากมองไม่เห็นและไม่แก้ใขค่านิยมให้สอดคล้องกับระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย ประเทศของเราก็ไม่มีทางเป็นสังคมแบบประชาธิปไตยได้เลย

คุณเชื่อผมไหมครับว่าแนวทางการเปลี่ยนค่านิยมนี้จะสามารถสร้างสังคมแบบประชาธิปไตยได้อย่างแท้จริง หากคุณเชื่อ กรุณาอ่านต่อให้จบ

ก่อนที่เราจะเปลี่ยนค่านิยมได้นั้นต้องมีรัฐบาลที่เชื่อในแนวทางนี้เพราะเราต้องอาศัยกฏหมาย ระบบการศึกษาและการรณรงค์จากภาครัฐฯ เพื่อเปลี่ยนค่านิยมของประเทศ

แนวทางการเปลี่ยนค่านิยม

1,โดยกฏหมาย เช่น
-ห้ามสื่อมวลชนมอมเมาประชาชนเรื่องไสยศาสตร์
- เปลี่ยนชื่อเรียกจาก"ข้าราชการ"เป็น"พนักงานรัฐ"
-ยกเลิกกฏหมายบางมาตราที่ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียม
-และออกกฏหมายทุกอย่างเพื่อกำจัดระบบอุปถัมภ์

2,โดยการศึกษา เช่น
-บรรจุวิชาประวัติศาสตร์การเมือง ของไทยและของโลก ให้เป็นวิชาบังคับ
(จุดประสงค์เพื่อให้คนไทยทุกคนในรุ่นต่อๆไป จำเป็นต้องมีความรู้เรื่องการเปลี่ยนระบบการปกครองไทย สาเหตุที่เปลี่ยนคืออะไร  เปลี่ยนเพื่ออะไร)
-เน้นเรื่องสิทธิมนุษยชน 
-สร้างค่านิิยมในโรงเรียนให้เด็กๆนักเรียนทุกคนว่าเราทุกคนเป็นเจ้าของประเทศนี้เท่าๆกัน ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ทุกคนอยู่ใต้กฏหมายเดียวกัน และทุกคนมีความเท่าเทียมกัน เช่น "การใหว้" ให้ใช้มือพนมที่หน้าอกตำแหน่งเดียวกันทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ยกเลิกการกราบให้ใช้การใหว้อย่างเดียว

(ชาติที่มีค่านิยมที่เคารพความเท่าเทียมเขาจะทักทายกันด้วยการจับมือหรือโอยกอดตบใหล่เหมือนๆกันทั้งหมดไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่) 

หากเราสามารถเปลี่ยนค่านิยมได้จริง เราจะสามารถพัฒนาปรเทศไทยเป็นชาติที่เจริญไม่แพ้ชาติใดๆในโลกนี้ได้ในอนาคต

ค่านิยมไทย ที่ฉุดรั้งพัฒนาการประชาธิปไตย โดย ตาอยู่

เมื่อพศ.2475 ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงระบบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นประชาธิปไตยเรียบร้อยแล้ว

และตามหลักการแล้วทุกคนในประเทศนี้ต้องอยู่ใต้กฏหมาย ไม่มีใครมีอภิสิทธิ์อีกต่อไป ถ้าเป็นอย่างนั้นเราคงเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์แล้ว

แต่ผมอยากถามว่า แล้วที่ผ่านมา 83ปี มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมั้ยครับ
ทุกคนอยู่ใต้กฏหมายอย่างที่บอกมั้ย
อภิสิทธิ์ชนหมดไปไหม
ขุนนาง(ข้าราชการ-นักการเมือง)เลิกคอรัปชั่นหรือปล่าว

83ปีที่ผ่านมา สิ่งเหล่านี้ไม่เคยเปลี่ยน เพราะเรายังมีค่านิยมแบบเดิม 

อะไรที่ทำให้ค่านิยมเก่าๆนี้ยังคงมีอยู่ในสังคม !?

สาเหตุคือ เพราะไม่ว่ารัฐบาลไหนขึ้นมามีอำนาจ ก็จะชูนโยบายรักษาความเป็นไทย รักษาวัฒนะธรรมไทย เอาใว้ตลอด
โดยนึกไม่ถึง(หรือจงใจ)ว่านั่นมันคือแนวทางแบบ"อนุรักษ์นิยม"ซึ่งมันขัดต่อหลักการของระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย

สิ่งที่เราพยายามอนุรักษ์เอาใว้นั้นแท้จริงแล้วมันคือ ค่านิยมศักดินาในระบอบการปกครองแบบเก่า(สมบูรณาญาสิทธิราชย์)

เพราะฉะนั้นไม่ว่าฝ่ายประชาธิปไตยจะชนะการเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาลอีกกี่ครั้ง หากมองไม่เห็นและไม่แก้ใขค่านิยมให้สอดคล้องกับระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย ประเทศของเราก็ไม่มีทางเป็นสังคมแบบประชาธิปไตยได้เลย

คุณเชื่อผมไหมครับว่าแนวทางการเปลี่ยนค่านิยมนี้จะสามารถสร้างสังคมแบบประชาธิปไตยได้อย่างแท้จริง หากคุณเชื่อ กรุณาอ่านต่อให้จบ

ก่อนที่เราจะเปลี่ยนค่านิยมได้นั้นต้องมีรัฐบาลที่เชื่อในแนวทางนี้เพราะเราต้องอาศัยกฏหมาย ระบบการศึกษาและการรณรงค์จากภาครัฐฯ เพื่อเปลี่ยนค่านิยมของประเทศ

แนวทางการเปลี่ยนค่านิยม

1,โดยกฏหมาย เช่น
-ห้ามสื่อมวลชนมอมเมาประชาชนเรื่องไสยศาสตร์
- เปลี่ยนชื่อเรียกจาก"ข้าราชการ"เป็น"พนักงานรัฐ"
-ยกเลิกกฏหมายบางมาตราที่ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียม
-และออกกฏหมายทุกอย่างเพื่อกำจัดระบบอุปถัมภ์

2,โดยการศึกษา เช่น
-บรรจุวิชาประวัติศาสตร์การเมือง ของไทยและของโลก ให้เป็นวิชาบังคับ
(จุดประสงค์เพื่อให้คนไทยทุกคนในรุ่นต่อๆไป จำเป็นต้องมีความรู้เรื่องการเปลี่ยนระบบการปกครองไทย สาเหตุที่เปลี่ยนคืออะไร  เปลี่ยนเพื่ออะไร)
-เน้นเรื่องสิทธิมนุษยชน 
-สร้างค่านิิยมในโรงเรียนให้เด็กๆนักเรียนทุกคนว่าเราทุกคนเป็นเจ้าของประเทศนี้เท่าๆกัน ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ทุกคนอยู่ใต้กฏหมายเดียวกัน และทุกคนมีความเท่าเทียมกัน เช่น "การใหว้" ให้ใช้มือพนมที่หน้าอกตำแหน่งเดียวกันทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ยกเลิกการกราบให้ใช้การใหว้อย่างเดียว

(ชาติที่มีค่านิยมที่เคารพความเท่าเทียมเขาจะทักทายกันด้วยการจับมือหรือโอยกอดตบใหล่เหมือนๆกันทั้งหมดไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่) 

หากเราสามารถเปลี่ยนค่านิยมได้จริง เราจะสามารถพัฒนาปรเทศไทยเป็นชาติที่เจริญไม่แพ้ชาติใดๆในโลกนี้ได้ในอนาคต

Thursday, January 26, 2017

"ประเทศเป็นของใคร” โดย ตาสีตาสา

"ประเทศเป็นของใคร"  

โดย ตาสีตาสา


ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักคือ ระบอบการปกครองครับ 


ถ้าประเทศปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยประเทศนั้นเป็นของประชาชนทุกคนและประชาชนทุกคนคือผู้ได้รับผลประโยชน์จากการทำงานของรัฐบาลครับ เราทุกคนคือผู้กำหนดทิศทางของประเทศ โดยผ่านรัฐบาลที่เราเลือกมาเป็นลูกจ้างทำงานให้เรา ถ้าลูกจ้างห่วยแตกเราสามารถไล่ออกได้ ด้วยวิธีการทางรัฐสภา และการไม่เลือกเขาในสมัยต่อไป ถ้าเขาโกงกิน คอรัปชั่น เราก็มีกฏหมายใว้ลงโทษ แต่ทั้งนี้ เราต้องมีค่านิยมที่เป็นประชาธิปไตยด้วย ระบบการปกครองมันถึงจะได้ผล(ค่านิยมที่ว่าคือหลักสิทธิมนุษยชน) ประเทศเราทุกวันนี้ ใช้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย แต่เรามีค่านิยมเก่าที่ติดมาจากระบบการปกครองเก่า(ค่านิยมของสังคมแบบศักดินา) อันสืบทอดต่อเนื่องมาหลายร้อยปี จนเป็นสันดาน ด้วยเหตุนี้ค่านิยมของสังคมไทย จึงเป็นกติกาของระบบอุปถัมภ์ มีนาย มีเส้น มีบริวาร มีพวกอวย ประจบสอพลอ ที่เป็นตัวทำลายกติกา ทำลายความยุติธรรมและทำลายกฏหมาย คล้ายๆกับเก๊งค์มาเฟีย แต่รุนแรงกว่า ตรงที่ค่านิยมนี้มันลามไปทุกตัวคนไม่เว้นแม้แต่ลูกเด็กเล็กแดงจนถึงคนใหญ่คนโตและรวมถึงระบบการทำงานของรัฐบาล ผู้มีอำนาจมักสร้างความเป็นอภิสิทธิ์ชนให้ตน ด้วยการชุบเลี้ยงส่งเสริมนักการเมือง ชุบเลี้ยงนายตำรวจ ชุบเลี้ยงนายทหาร ชุบเลี้ยงผู้มีอำนาจในกระบวนการยุติธรรม กระบวนการทางกฏหมาย ให้ได้เป็นใหญ่เป็นโต เพื่ออกดดัน ควบคุม กำหนดทิศทางการทำงานของรัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐให้เป็นประโยชน์แก่ตน พูดง่ายใครมีเงินก็ลงทุนขุดขุมทรัพย์ใว้ด้วยการซื้อตัวเจ้าหน้าที่รัฐพวกนี้เอาใว้แล้วกอบโกยผลประโยชน์ที่ประชาชนควรจะได้ เข้ากระเป๋าตัวเอง เพราะฉะนั้นเจ้าของประเทศนี้จึงไม่ใช่ประชาชน แต่เป็นของอภิสิทธิ์ชนไม่กี่คนเท่านั้น ทั้งที่เราปกครองด้วยระบบประชาธิปไตยซึ่งผลประโยชน์ควรจะเป็นของประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียม นี่คือค่านิยมแบบเก่าที่สร้างความยากจนให้ประชาชน ซึ่งเป็นสาเหตุที่หลายๆประเทศต้องเปลี่ยนระบบการปกครอง 





"ประเทศเป็นของใคร” โดย ตาสีตาสา

"ประเทศเป็นของใคร"  

โดย ตาสีตาสา


ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักคือ ระบอบการปกครองครับ 


ถ้าประเทศปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยประเทศนั้นเป็นของประชาชนทุกคนและประชาชนทุกคนคือผู้ได้รับผลประโยชน์จากการทำงานของรัฐบาลครับ เราทุกคนคือผู้กำหนดทิศทางของประเทศ โดยผ่านรัฐบาลที่เราเลือกมาเป็นลูกจ้างทำงานให้เรา ถ้าลูกจ้างห่วยแตกเราสามารถไล่ออกได้ ด้วยวิธีการทางรัฐสภา และการไม่เลือกเขาในสมัยต่อไป ถ้าเขาโกงกิน คอรัปชั่น เราก็มีกฏหมายใว้ลงโทษ แต่ทั้งนี้ เราต้องมีค่านิยมที่เป็นประชาธิปไตยด้วย ระบบการปกครองมันถึงจะได้ผล(ค่านิยมที่ว่าคือหลักสิทธิมนุษยชน) ประเทศเราทุกวันนี้ ใช้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย แต่เรามีค่านิยมเก่าที่ติดมาจากระบบการปกครองเก่า(ค่านิยมของสังคมแบบศักดินา) อันสืบทอดต่อเนื่องมาหลายร้อยปี จนเป็นสันดาน ด้วยเหตุนี้ค่านิยมของสังคมไทย จึงเป็นกติกาของระบบอุปถัมภ์ มีนาย มีเส้น มีบริวาร มีพวกอวย ประจบสอพลอ ที่เป็นตัวทำลายกติกา ทำลายความยุติธรรมและทำลายกฏหมาย คล้ายๆกับเก๊งค์มาเฟีย แต่รุนแรงกว่า ตรงที่ค่านิยมนี้มันลามไปทุกตัวคนไม่เว้นแม้แต่ลูกเด็กเล็กแดงจนถึงคนใหญ่คนโตและรวมถึงระบบการทำงานของรัฐบาล ผู้มีอำนาจมักสร้างความเป็นอภิสิทธิ์ชนให้ตน ด้วยการชุบเลี้ยงส่งเสริมนักการเมือง ชุบเลี้ยงนายตำรวจ ชุบเลี้ยงนายทหาร ชุบเลี้ยงผู้มีอำนาจในกระบวนการยุติธรรม กระบวนการทางกฏหมาย ให้ได้เป็นใหญ่เป็นโต เพื่ออกดดัน ควบคุม กำหนดทิศทางการทำงานของรัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐให้เป็นประโยชน์แก่ตน พูดง่ายใครมีเงินก็ลงทุนขุดขุมทรัพย์ใว้ด้วยการซื้อตัวเจ้าหน้าที่รัฐพวกนี้เอาใว้แล้วกอบโกยผลประโยชน์ที่ประชาชนควรจะได้ เข้ากระเป๋าตัวเอง เพราะฉะนั้นเจ้าของประเทศนี้จึงไม่ใช่ประชาชน แต่เป็นของอภิสิทธิ์ชนไม่กี่คนเท่านั้น ทั้งที่เราปกครองด้วยระบบประชาธิปไตยซึ่งผลประโยชน์ควรจะเป็นของประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียม นี่คือค่านิยมแบบเก่าที่สร้างความยากจนให้ประชาชน ซึ่งเป็นสาเหตุที่หลายๆประเทศต้องเปลี่ยนระบบการปกครอง 





"ทำไมโลกนี้ถึงมีความงมงาย" ??


"ทำไมโลกนี้ถึงมีความงมงาย" ?? 

โดย ตาสีตาสา


เพราะระบอบการปกครองของทุกประเทศในสมัยโบราณ(ไม่เว้นแม้แต่ในยุโรป) จำเป็นต้องทำให้ประชาชนทุกคนเชื่อมั่นและศรัทธาว่าผู้ปกครองคือผู้มีบุญญาธิการสูงที่สุด เปรียบเสมือนกับเทพเจ้าองค์หนึ่ง หรือที่เราเคยได้ยินคำว่า"สมมุติเทพ"กันบ่อยๆนั่นเอง จึงเกิดการสร้างค่านิยมงมงาย แบบ"เทวนิยม" ให้ประชาชนกันอย่างมากมาย เพื่อทำให้ประชาชนเชื่อว่าความงมงายเหล่านี้เป็นเรื่องจริง จึงทำให้ประชาชนไม่แข็งข้อ( ต้องใช้คำว่าไม่มีความคิดที่จะแข็งข้อในสมองเลยเสียด้วยซ้ำ ) เพราะเชื่อสนิทใจว่าเทพองค์นี้คือผู้มีบุญญาสูงส่ง ไม่มีใครเทียบได้ เขาจึงสมควรแล้วที่จะเป็นใหญ่สูงสุดในอาณาจักรของเขา ... 


................... เวลาผ่านไปนับร้อยนับพันปี ค่านิยมที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสนับสนุนระบบการปกครองแบบเก่านั้นได้ฝังรากลึก จากรุ่นสู่รุ่น จนกลายเป็นสันดาน เป็นจิตวิญญาน ทุกคนในยุคนั้นจะต้องมีค่านิยมแบบนี้ ใครที่ไม่เชื่อจะถูกรังเกียจ ถูกมองว่าเป็นพวกกบฏ แหกคอก จึงไม่มีใครกล้าที่จะไม่เชื่อ ถึงมีก็เป็นส่วนน้อยและไม่กล้าแสดงออกให้ใครรู้ ...... จนกระทั่งยุคสมัยของวิทยาศาสตร์ได้กำเนิดขึ้น โลกเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ในอัตราทวีคูณ ต่างจากยุคแห่งความงมงายหลายร้อยเท่า ความเชื่อโบราณไม่อาจตอบคำถามอย่างมีเหตุผลในเชิงวิทยาศาสตร์ได้ อย่างเช่น "หากบนฟ้ามีเทวดาจริง ทำไมเราจึงไม่เห็นพวกเขาสักที ในเมื่อเรามีเครื่องบิน หรือแม้แต่ยานอวกาศ ที่สามารถบินขึ้นไปบนฟ้า ทะลุก้อนเมฆ ที่เราเชื่อว่ามีเทวดาอยู่" เราก็มักจะได้คำตอบข้างๆคูๆว่า " เทวดามีอำนาจวิเศษ ทำให้เราไม่สามารถมองเห็นได้" หรือ " เราไม่มีบุญพอที่จะมองเห็นเทวดาได้" อย่างนี้เป็นต้น เหล่านี้ทำให้คนจำนวนหนึ่งเริ่มกล้าที่จะไม่นับถือความเชื่องมงายโบราณอีกต่อไป อีกทั้งระบอบการปกครองแบบใหม่ๆก็ได้ถูกคิดค้นขึ้นมาแทนที่ระบบการปกครองแบบเก่า โดยอาศัยตรรกะทางวิทยาศาสตร์ เพื่อจะทำให้ทุกคนในสังคมมีความเสมอภาค ยุติธรรม และพัฒนาสังคมมนุษย์ให้เจริญขึ้นตามกระแสโลกยุคใหม่ ความงมงายจึงค่อยๆหมดไป ปัจจุบันหลายประเทศเลิกมีค่านิยมที่โง่งมงาย และใช้วิทยาศาสตร์มาพัฒนาประเทศจนกลายเป็นประเทศที่เจริญแล้ว ดังเช่นประเทศแถบยุโรป และอเมริกา เหลืออยู่ไม่กี่ประเทศหรอกครับที่ยังมีค่านิยมเก่าๆที่ถ่วงความเจริญแบบนี้อยู่ จึงทำให้ประเทศเหล่านั้นกลายเป็นประเทศด้อยพัฒนา และประเทศกำลังพัฒนา 





"ทำไมโลกนี้ถึงมีความงมงาย" ??


"ทำไมโลกนี้ถึงมีความงมงาย" ?? 

โดย ตาสีตาสา


เพราะระบอบการปกครองของทุกประเทศในสมัยโบราณ(ไม่เว้นแม้แต่ในยุโรป) จำเป็นต้องทำให้ประชาชนทุกคนเชื่อมั่นและศรัทธาว่าผู้ปกครองคือผู้มีบุญญาธิการสูงที่สุด เปรียบเสมือนกับเทพเจ้าองค์หนึ่ง หรือที่เราเคยได้ยินคำว่า"สมมุติเทพ"กันบ่อยๆนั่นเอง จึงเกิดการสร้างค่านิยมงมงาย แบบ"เทวนิยม" ให้ประชาชนกันอย่างมากมาย เพื่อทำให้ประชาชนเชื่อว่าความงมงายเหล่านี้เป็นเรื่องจริง จึงทำให้ประชาชนไม่แข็งข้อ( ต้องใช้คำว่าไม่มีความคิดที่จะแข็งข้อในสมองเลยเสียด้วยซ้ำ ) เพราะเชื่อสนิทใจว่าเทพองค์นี้คือผู้มีบุญญาสูงส่ง ไม่มีใครเทียบได้ เขาจึงสมควรแล้วที่จะเป็นใหญ่สูงสุดในอาณาจักรของเขา ... 


................... เวลาผ่านไปนับร้อยนับพันปี ค่านิยมที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสนับสนุนระบบการปกครองแบบเก่านั้นได้ฝังรากลึก จากรุ่นสู่รุ่น จนกลายเป็นสันดาน เป็นจิตวิญญาน ทุกคนในยุคนั้นจะต้องมีค่านิยมแบบนี้ ใครที่ไม่เชื่อจะถูกรังเกียจ ถูกมองว่าเป็นพวกกบฏ แหกคอก จึงไม่มีใครกล้าที่จะไม่เชื่อ ถึงมีก็เป็นส่วนน้อยและไม่กล้าแสดงออกให้ใครรู้ ...... จนกระทั่งยุคสมัยของวิทยาศาสตร์ได้กำเนิดขึ้น โลกเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ในอัตราทวีคูณ ต่างจากยุคแห่งความงมงายหลายร้อยเท่า ความเชื่อโบราณไม่อาจตอบคำถามอย่างมีเหตุผลในเชิงวิทยาศาสตร์ได้ อย่างเช่น "หากบนฟ้ามีเทวดาจริง ทำไมเราจึงไม่เห็นพวกเขาสักที ในเมื่อเรามีเครื่องบิน หรือแม้แต่ยานอวกาศ ที่สามารถบินขึ้นไปบนฟ้า ทะลุก้อนเมฆ ที่เราเชื่อว่ามีเทวดาอยู่" เราก็มักจะได้คำตอบข้างๆคูๆว่า " เทวดามีอำนาจวิเศษ ทำให้เราไม่สามารถมองเห็นได้" หรือ " เราไม่มีบุญพอที่จะมองเห็นเทวดาได้" อย่างนี้เป็นต้น เหล่านี้ทำให้คนจำนวนหนึ่งเริ่มกล้าที่จะไม่นับถือความเชื่องมงายโบราณอีกต่อไป อีกทั้งระบอบการปกครองแบบใหม่ๆก็ได้ถูกคิดค้นขึ้นมาแทนที่ระบบการปกครองแบบเก่า โดยอาศัยตรรกะทางวิทยาศาสตร์ เพื่อจะทำให้ทุกคนในสังคมมีความเสมอภาค ยุติธรรม และพัฒนาสังคมมนุษย์ให้เจริญขึ้นตามกระแสโลกยุคใหม่ ความงมงายจึงค่อยๆหมดไป ปัจจุบันหลายประเทศเลิกมีค่านิยมที่โง่งมงาย และใช้วิทยาศาสตร์มาพัฒนาประเทศจนกลายเป็นประเทศที่เจริญแล้ว ดังเช่นประเทศแถบยุโรป และอเมริกา เหลืออยู่ไม่กี่ประเทศหรอกครับที่ยังมีค่านิยมเก่าๆที่ถ่วงความเจริญแบบนี้อยู่ จึงทำให้ประเทศเหล่านั้นกลายเป็นประเทศด้อยพัฒนา และประเทศกำลังพัฒนา 





อยู่มาไม่ถึงสามปี...คสช.​ทำชาติล่มจม ขนาดไหน?


ขอบอกเพื่อนๆ อย่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยนะ ประหยัด รักษางานประจำให้ดี ประเทศเราเริ่มขาลงแล้วครับ

ฟัง ดร.สมคิดฯ จะได้เตรียมล่วงหน้า

จริงไม่จริงติดตามเอาเอง...


เศรษฐกิจไทยใกล้ทเข้าI.M.F.

เมื่ออาทิตย์ที่แล้วI.M.F.ได้แถลงเตือน

สภาวะเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วง"ขาลง"

อย่างน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะ

เกิดสภาวะ

"เงินฝืด"


แต่ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลบอกว่า

ประเทศไทยอยู่ในสภาวะ"เงินเฟ้อติดลบ"

ต่อเนื่องกันเป็นเดือนที่ 5แล้ว

จริงๆน่าจะบอกให้ประชาชนทราบข่าว

แล้วเตรียมตัวให้ทันจะดีกว่า

ไม่ควรใช้สำนวนว่า"เงินเฟ้อติดลบ"

บอกไปตรงๆว่าประเทศไทยอยู่ใน

สภาวะ"เงินฝืด"..คือเงินหายาก

ข้าวยาก-หมากแพง คล้ายๆกับสมัย

จอมพล ป.พิบูลย์สงคราม

ที่รัฐบาลต้องพิมพ์ธนบัตรออกมาใช้

ตามคำสั่งของ "ทหารญี่ปุ่น"

ที่บุกประเทศไทย สมัยหลังสงคราม

โลกครั้งที่2 จนธนบัตินั้นเป็น

"เงินขยะ" (Junk Bond)


การเกิดสภาวะ"เงินฝืด"เนื่องจาก

เศรษฐกิจไม่ดีรัฐบาลเก็บภาษีไม่เข้าเป้า

เงินงบประมาณขาดดุลย์

ไป3แสนกว่า

ล้านบาท เที่ยวออกโฆษณากระตุ้นเศรษฐกิจ

ว่าลงทุนรถไฟฟ้ารางคู่,รถไฟความเร็วสูง,

ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ

ล้วนแล้วแต่เป็นตัวเลข..ไม่มีตัวเงิน

หวังว่าจะเอาตัวเลขการลงทุนภาครัฐฯ

มาคำนวณในการหาค่าG.D.P.

เป็นการโกหก แท้ที่จริงแล้วเกิดสภาวะ

เงินฝืด..สินค้าภาคการเกษตรก็ตกต่ำ

ประชาชนขาดกำลังซื้อ

สินค้าส่งออกติดลบทุกเดือน

เดือน พค. ติดลบอีก4.4%

ไม่เกิดสภาวะเงินฝืดจะทนไหวหรือ?


รัฐบาลควรประกาศให้เตรียมตัวรับ

สถานการณ์ให้ดี ภายในสิ้นปีนี้

ประเทศไทยต้องเข้าI.M.F.แน่นอน

โดยเอาประเทศไทยไปจำนองอีกรอบ

เพราะเงินคงคลังร่อยหรอ ตอนนี้

เริ่มมีข่าวออกมาว่าจะแปรรูป

รัฐวิสาหกิจ

และตัดงบประมาณในส่วนของ

"รัฐสวัสดิการ"ลงมา..ดังนั้น

ในฐานะประชาชนต้องทำใจเอาไว้

เพื่อเตรียมตัวช่วยกัน"ใช้หนี้"

เพื่อไถ่ถอนประเทศคืน..

น่าฟังมาก..


ยิงตรงไดัชัดเจนครับ

เศรษฐกิจปีนี้น่ากลัวกว่าที่คิด

สัญญานเตือนภัย

จาก.. ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ 

ในงานกล่าวปิดงานสัมมนา

จับชีพจรประเทศไทย:  บันเทิงละงานนี้


Cr. เพื่อนเศรษฐศาสตร์