PPD's Official Website

Thursday, April 23, 2015

ปฎิญญาแห่งชาติของประชาชน ว่าด้วยรัฐประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย

ปฏิญญาปวงชน ว่าด้วยรัฐประธิปไตยไทย

ปฎิญญาแห่งชาติของประชาชน
ว่าด้วยรัฐประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย

The People’s National Declaration of a Democratic State of Thailand

ร่างฉบับแก้ไขครั้งที่สอง

ประเทศไทยในยุคศตวรรษที่ 21 มีองค์ประกอบทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การศึกษา และการเมือง ที่พร้อมสำหรับการเป็นรัฐประชาธิปไตยสมบูรณ์อย่างถาวร เพราะปวงชนชาวไทย ส่วนใหญ่เข้าใจในหลักการพื้นฐานสำหรับการปกครองแบบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ว่าอำนาจอธิปไตย อันเป็นอำนาจสูงสุดนั้นเป็นของประชาชน หาใช่ของกษัตริย์หรือกลุ่มอภิสิทธิชนใด ๆ ไม่ นอกจากนี้ มหาประชาชนยังได้รับรู้ถึงปัญหาเชิงโครงสร้าง ภายใต้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ที่มีพัฒนาการไปในทางทำลายล้าง และนำไปสู่ความตกต่ำของประเทศ จนกลายไปสู่การปกครองแบบเผด็จการซ่อนรูปดังที่ประจักษ์แก่สายตาประชาชนทั่วไปในศกนี้ โดยสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงและความต้องการของประชาชนได้ แถมถูกมองว่าเป็นศูนย์กลางของปัญหาความขัดแย้งเสียเอง โดยมีสถาบันทหารและตำรวจ สถาบันการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ทางธุรกิจและสื่อ กลุ่มนักวิชาการและหน่วยงานอิสระหัวเอียงขวา และชนชั้นศักดินาหรืออภิสิทธิชน ผู้ซึ่งได้ปรากฎชัดออกมาจากการเลือกตั้งในระยะสองทศวรรษหลังนี้ ว่าเป็นคนส่วนน้อยของประเทศนั้น สามารถใช้อำนาจพิเศษ แย่งชิงหรือปล้นอำนาจ ของประชาชนส่วนใหญ่ ของประเทศไปใช้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวและพรรคพวก ทำให้ประเทศชาติเสียหายอย่างมหาศาล ดังเห็นได้จากหนี้สินที่รัฐบาลเผด็จการซ่อนรูปของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งอยู่ภายใต้ การเป็นประมุขของกษัตริย์ภูมิพลและพระราชินีสิริกิตต์ ที่สร้างหนี้สินให้กับประเทศ เกือบหนึ่งล้านห้าแสนล้านล้านบาท (1,500,000,000,000 บาท) ภายในเวลาแค่สองปีกว่า ๆ โดยหว่านเงินไปกับโครงการที่หาประโยชน์ อันจับต้องได้หรือมีผลระยะยาวไม่ได้ และได้ทุ่มงบประมาณให้กับงานของกองทัพ ที่สร้างความวุ่นวายในประเทศและกับประเทศข้างเคียงบังหน้า แต่โดยเนื้อแท้แล้ว เพื่อตอบสนองต่อการปันผลประโยชน์จากเงินภาษีอากรของปวงชน และเพื่อการสร้างสถานการณ์ อันนำไปสู่บิดเบือนความจริงของการลุกฮือขึ้นมาทวงอำนาจของประชาชนหัวก้าวหน้า และการให้โอกาสกองทัพในการใช้สถานการณ์เข่นฆ่าประชาชนจากช่องโหว่ในกฎหมายที่อาศัยความสงบแห่งชาติมาอ้าง เพื่อใส่ร้ายให้ปวงชนผู้บริสุทธิ์กลายเป็นผู้ก่อการร้าย และภายในสถานการณ์ที่ชาติเสียหายแสนสาหัสเหล่านี้ กษัตริย์ไทยกลับกลายเป็นราชวงศ์ที่รวยที่สุดในโลก มีทรัพย์สินถึงสามหมื่นล้านเหรียญ หรือประมาณเก้าแสนล้านล้านบาท (900,000,000,000 บาท) ติดต่อกันหลายปี โดยมีทรัพย์สินรวมห่างจากอันดับสองถึงหมื่นล้านเหรียญ หรือประมาณสามหมื่นล้านบาท พร้อมกันนี้ ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนส่วนใหญ่ก็ได้ถ่างออกไปอย่างมหาศาล สร้างความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า จากการที่รายได้หดหาย แต่รายจ่ายเพิ่มขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือ เกิดการแตกแยกของประชาชนในชาติ โดยการโหมกระพือของสื่อแห่งรัฐและสื่อเอกชนที่ไร้จรรยาบรรณ ที่ได้่สร้างกระแสความเกลียดชัง และต่อต้านความเจริญงอกงามของระบอบประชาธิปไตย โดยที่กลไกของรัฐที่ดูแลสื่อสารมวลชนก็รู้เห็นเป็นใจ ด้วยการปล่อยให้สื่อฝ่ายขวา เพาะเชื้อมะเร็งร้าย ให้กับสังคมโดยสะดวก ในขณะเดียวกันกับที่ พวกเขาใช้อำนาจจากกฎหมายหมิ่นกษัตริย์ และ พรบ. ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ เพื่อปิดหูปิดตาประชาชนอย่างบ้าคลั่งในการไล่ปิดสื่อทุกรูปแบบ ของฝ่ายประชาชนหัวก้าวหน้าหรือเหล่าเสรีชน ผู้ต้องการเสรีประชาธิปไตยอันสมบูรณ์

บัดนี้เหล่ามหาประชาชนต้องการแสดงออกถึงเจตนารมย์อันชัดแจ้งว่า ได้เข้าใจปัญหาของชาติ ตามประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาหลายทศวรรษ อันถูกทำให้เกิดขึ้นโดยการกระทำของกลุ่มคนข้างต้น ที่ทำตัวเป็นปฎิปักษ์ต่อการพัฒนาเสรีประชาธิปไตยทุกรูปแบบ และเป็นการขัดกับหลักสากล แห่งความมีเสรีภาพ เสมอภาค และบรรยากาศแห่งการมีสันติสุขร่วมกันฉันท์พี่น้องร่วมชาติ รวมถึงการอยู่ดีกินดี ของมวลมหาประชาชนไทย โดยพวกเขาได้ปล้นอำนาจอธิปไตยไป ด้วยอำนาจสั่งการที่อยู่ เหนือระบบกฎหมายและศีลธรรม จนทำให้กลายเป็นการปกครองที่ ไม่ใช่ของประชาชนที่เอื้อประโยชน์แก่มหาชนอย่างแท้จริง ดังปรากฎชัดว่า คณะผู้ทรยศต่อระบอบ ประชาธิปไตยเหล่านี้ ได้ดำเนินการปล้นอำนาจจากประชาชนด้วยการรัฐประหาร แล้วเขียนกฎหมายกบถ พร้อมตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ ขึ้นมาสานต่อการบีฑาและย่ำยี ทุกความพยายาม และทุกตัวแทนของประชาชนที่ใฝ่ประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ ทำให้ตัวแทนประชาชน และประชาชนทั้งหลาย ที่ลุกขึ้นมาต่อสู้ด้วยมือเปล่า ถูกกดขี่และฆ่าฟันในระบอบปัจจุบัน และผลของระบอบเผด็จการซ่อนรูปนี้ ก็ไม่ได้ให้คุณประโยชน์แก่ประชาชนแต่ประการใด
ด้วยเหตุดังกล่าวทั้งหมด ปวงชนชาวไทยทั้งหลาย จึงได้ลงนามต่อท้ายปฎิญญาฉบับนี้ เพื่อแสดงให้เห็นถึงเจตนารมย์ในการวางหลักการสำหรับการก้าวไปข้างหน้าของประเทศไทย
โดยมีรายละเอียดที่จักขอประกาศให้คนไทยรุ่นปัจจุบันและรุ่นลูกหลานสืบต่อไป เพื่อได้รับรู้ และรับเอาไว้เป็นหลักการสำหรับการจัดการบริหารอำนาจอธิปไตยและกลไกของรัฐไทย สืบต่อไปชั่วกัลปาวสานต์ ดังนี้
  1. พลเมืองทุกหมู่เหล่าของชาติไทย ต้องอยู่รวมกันแบบรัฐชาติเดียว และถึงแม้จะมีความหลากหลายด้านชาติพันธุ์กำเนิด ศาสนาหรือลัทธิความเชื่อ ฯลฯ คนทุกหมู่เหล่าต้องได้รับการค้มครองสิทธิและเสรีภาพโดยรัฐ ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ด้วยมาตรฐานความเป็นธรรม เพื่อสร้างความผาสุกร่วมกัน โดยไม่มีการแตกแยกหรือล่วงเกินระหว่างกัน หรือใช้ความรุนแรงเหนือกฎหมาย สำหรับการแก้ปัญหาหรือข้อขัดแย้งใด ๆ ทั้งสิ้น
  2. ในกิจการปกครองประเทศทุกด้าน จักต้องผ่านกระบวนการของอำนาจอธิปไตย ที่เป็นของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชนอย่างสมบูรณ์ ปราศจากการแทรกแซง หมกเม็ดโดยสถาบันหรือองค์กรใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งในตัวบทกฎหมายและการปฎิบัติ
  3. บ้านเมืองต้องได้รับการประกันให้เกิดเสรีภาพและความเสมอภาค บนบรรยากาศแห่งความเป็นพี่น้องภายใต้วัฒนธรรมอันดีงามของไทย และวัฒนธรรมใหม่อันเป็นอารยะสากล ที่เคารพหลักสิทธิมนุษยชนสากล พร้อมกับความเป็นนิติรัฐ ที่ทุกคนเท่าเทียมกันในฐานะมนุษย์และพลเมืองภายใต้กฎหมาย
  4. การพัฒนาของประชาธิปไตยไทย ต้องให้ผ่านขั้นตอนทางประชาธิปไตยภายใต้กฎหมาย ที่อยู่ในกรอบของรัฐธรรมนูญที่เป็นไปตามเจตนารมย์ในปฎิญญkนี้ Fดยไม่มีข้อยกเว้นหรือ การบิดเบือนในรูปแบบใด ๆ ทั้งสิ้น อำนาจและผลประโยชน์ต้องเป็นของและเป็นไปเพื่อประชาชนโดยแท้จริง
  5. สถาบันกษัตริย์ต้องหลุดพ้นจากการเกี่ยวข้องกับอำนาจอธิปไตย หรือมีอิทธิพลใด ๆ ต่อระบบหรือกลไกทุกอย่างในสังคมอย่างสิ้นเชิง และจะมีตัวแทนใด ๆ ไปยุ่งเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตย และกิจกรรมของประชาชนไม่ได้โดยเด็ดขาด ระบบทุนผูกขาดและกลไกอันไม่เป็นประชาธิปไตยที่ครอบงำประเทศ ต้องถูกทดแทนด้วยระบบที่ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุดจากทรัพยากร การบริหารเงินภาษี และจากการใช้อำนาจของตัวแทนประชาชนสูงสุดด้านบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ
  6. การปฎิวัติหรือรัฐประหารโดยกำลังกองทัพเป็นสิ่งต้องห้าม จะต้องไม่เกิดขึ้นอีกด้วยเหตุใด ๆ ทั้งสิ้น ผู้ก่อการจะต้องโทษในฐานะกบถ และไม่สามารถอ้างการเป็นรัฐถาธิปัตย์ ด้วยวิธีหรือเหตุใด ๆ ทั้งสิ้น
  7. การยุบพรรคการเมืองจะกระทำไม่ได้ด้วยวิธีการใดทั้งสิ้น และการตั้งกรรมการอิสระใด ๆ จะกระทำโดยบุคคลผู้ใช้อำนาจ ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชนมิได้ ผู้เข้ารับตำแหน่งทางการเมืองและกิจการของรัฐ กินเงินเดือนภาษีประชาชน ที่มียศขั้นตั้งแต่ระดับเก้าหรือเทียบเท่าขึ้นไป ต้องผ่านการตรวจสอบและยอมรับ จากตัวแทนจากรัฐสภาก่อนรับตำแหน่ง
  8. ประมุขสูงสุดผู้ใช้อำนาจอธิปไตยทั้งสามฝ่าย ต้องมาโดยการเลือกตั้ง ของประชาชนโดยทางตรงหรือทางอ้อมเท่านั้น จะใช้วิธีการอื่นใดมิได้ และบุคคลในตำแหน่งสำคัญ ๆ ต้องได้รับการตรวจสอบ และอนุมัติจากตัวแทนประชาชนก่อนเสมอ
  9. สื่อสารมวลชน คือแสงไฟที่ส่องสว่างสะท้อนภาพความจริงของสังคม เพื่อเสริมให้ประชาชนและกลไกต่าง ๆ ในประเทศเกิดปัญญา สื่อสารมวลชนที่ดีต้องถือหลักแห่งการเสนอข้อมูลจากทุกด้าน ไม่มีอคติ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด หรือถูกกลุ่มผลประโยชน์ใดบงการ รัฐจักต้องประกันความมีเสรีภาพในการนำเสนอข้อมูล แต่ให้มีการควบคุมโดยกลไกของรัฐและประชาชน ที่ถือจรรยาบรรณอันชัดเจนเป็นหลัก สำหรับการพิจารณา ควบคุม และกำกับการทำงานของสื่อ
  10. การศึกษาและการวิจัยเพื่อพัฒนาบุคลากรและประเทศชาติ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง สำหรับการเป็นรากฐาน และหัวใจของการก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง และท้นต่อโลก รัฐจะต้องเน้นการจัดการศึกษาและส่งเสริมการวิจัยให้มากกว่าการลงทุนด้านการ ทหาร
  11. ทหารมีหน้าที่ปกป้องประเทศเป็นหลัก ไม่มีหน้าที่ยุ่งเกี่ยวกับกิจการพลเรือน ทหารเป็นอาชีพที่มีเกียรติและบุญคุณกับประเทศ ต้องมีการพฤติกรรมให้สมกับเกียรติ แต่ทหารกินเงินเดือนจากประชาชน ดังนั้น ทหารจะต้องรับใช้ประชาชนเป็นหลัก ไม่ใช่กลุ่มผลประโยชน์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ทหารต้องอยู่ใต้การบังคับบัญชา ของนายกรัฐมนตรี หรือประมุขฝ่ายบริหาร ผู้เป็นจอมทัพในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งด้วย และการจะประกาศศึกใด ๆ กับประเทศเพื่อนบ้าน จะต้องได้รับการเห็นชอบของประมุขสามฝ่าย คือฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลากรก่อน
  12. ตำรวจ เป็นผุ้ดูแลใกล้ชิดกับประชาชน และพิทักษ์ภัยให้ประชาชนในทุกอนูของประเทศ อาชีพตำรวจเป็นอาชีพมีเกียรติ และควรได้รับเกียรติเช่นเดียวกับทหาร แต่ผู้สั่งการตำรวจในทุกอำเภอและจังหวัด ต้องได้ผ่านการเลือกตั้งโดยตรง โดยประชาชน
กฎหมายรัฐธรรมนูญ และการตรากฎหมายอื่นใด ตลอดจนการดำนเนินการของรัฐ และหน่วยงานรัฐใด ๆ จักขัดแย้งหรือทำให้เกิดผลอันขัดกับหลักเบื้องต้นนี้ไม่ได้โดยเด็ดขาด เจตนารมย์ของประชาชนไทยผู้ได้ลงชื่อไว้เป็นหลักฐานต่อท้ายปฎิญญาฉบับนี้ี้ ถูกร่างและขัดเกลาด้วยเจตนาบริสุทธิ์ของตัวแทนปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า เพื่อวางรากฐานประเทศ เพื่อการวัฒนาถาวรของชาติ และเพื่อให้สืบเป็นมรดกถาวรไปยังลูกหลานไทยในอนาคต เพื่อเป็นหางเสือและเสาหลักสำหรับการพัฒนาประเทศตลอดไปตราบนานแสนนาน
เมื่อได้อ่านทำความเข้าใจในเนื้อหาสาระข้างต้น และเห็นด้วยกับข้อความดังกล่าวทุกประการแล้ว บรรดาข้าพเจ้าทั้งหลาย จึงขอลงลายมือชื่อไว้เป็นประจักษ์พยานสืบต่อไป 
ปวงชนชาวไทย


No comments:

Post a Comment