ณ บ้านพระอาทิตย์ โดย...ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คนไทยในยุคนี้เป็นโรคมะเร็งกันมากขึ้น สังเกตดูว่าในช่วงหลังๆนี้เวลาไปงานศพเราจะพบว่าสาเหตุการเสียชีวิตของคนส่วนใหญ่ในวันนี้คือถ้าไม่เกี่ยวกับโรคหลอดเลือดและหัวใจ ก็เป็นโรคมะเร็ง ความทุกข์ของผู้ป่วยมะเร็งนั้นนอกจากจะมีความทุกข์กายและทุกข์ใจแล้ว ญาติสนิทและผู้ใกล้ชิดอาจมีความเครียดเสียยิ่งกว่าว่าจะหาหนทางรักษาอย่างไรดีจึงจะดีที่สุด และคนจำนวนไม่น้อยก็มีความวิตกกังวลถึงวิธีการรักษาโดยการใช้คีโมบำบัดและการฉายแสงนั้น ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าผู้ป่วยนั้นจะหายได้จากโรคร้ายหรือไม่ ครั้นจะเข้าหาแนวทางธรรมชาติบำบัดก็ดูจะมีความเครียดไปในอีกทางหนึ่งว่า การใช้ธรรมชาติบำบัดเกี่ยวกับการรักษาโรคมะเร็งนั้นดูจะมีความหลากหลายจนไม่รู้ว่าจะเชื่อสูตรไหนดี และข้อสำคัญมีสูตรห้ามกินและให้กินอาหารที่ขัดแย้งกันเองเสียอีก ความทุกข์นี้บางครั้งไม่รู้ว่าจะเชื่อใครดีจนถึงขั้นมีความเครียดยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ถึงวันนี้ด้วยวิวัฒนาการทางวิทยาศาสตร์ทำให้เราเข้าใจได้มากขึ้นว่าการป่วยเป็นโรคมะเร็งนั้นจะสามารถตรวจสอบด้วยการกลายพันธุ์หรือความเสียหายที่เกิดขึ้นในระดับรหัสพันธุกรรมของมนุษย์ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น อาหาร อาการ น้ำดื่ม ความเครียด มลพิษ ฯลฯ ผมเคยมีความมุ่งมั่นว่าจะรวบรวมงานวิจัยต่างๆที่เกิดขึ้นในโลกเกี่ยวกับมะเร็งที่คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้ ซึ่งผมตัดสินใจที่จะทยอยตีพิมพ์ลงคราวนี้บางส่วนไปก่อนเพราะไม่รู้ว่าหนังสือ “ASTV-ผู้จัดการ สุดสัปดาห์”จะกลับมาอีกเมื่อไหร่ ดังนั้นจึงต้องรีบเผยแพร่เสียก่อนที่ท่านผู้อ่านจะพลาดโอกาส ใครก็ตามเมื่อรู้ข่าวว่าตัวเองหรือคนที่เรารักเป็นมะเร็ง จะต้องตระหนักว่า “หลักคิด”การรักษาโดยแพทย์แผนปัจจุบัน กับแนวทางแพทย์ทางเลือกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และหลายอย่างขัดแย้งกันเอง ถ้าตัดสินใจจะผสมผสานใช้ควบคู่กันไป สุดท้ายแล้วจะสับสนและเครียดกับคำขู่ของทั้งสองทางเลือก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารว่าอะไรควรกิน และอะไรไม่ควรกิน เพราะการรักษาแผนปัจจุบันมีข้อเด่นอยู่มากว่าแม้จะไม่ได้รักษาที่ต้นเหตุแต่หากรักษาสำเร็จก็จะได้ผลอย่างรวดเร็วและหยุดมะเร็งได้ทัน แต่ก็มีข้อเสียคือการรักษาวิธีนี้ได้ทำลายเซลล์ดีไปด้วยจึงอาจทำให้ร่างกายทรุดโทรมทรมานและอ่อนแอลง จำเป็นต้องให้อาหารที่มีโภชนาการครบถ้วนในการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ถึงกระนั้นก็ไม่มีหลักประกันว่าจะหายเสมอไปและการรักษาในแนวทางนี้ก็ยังมีโอกาสที่มะเร็งจะลุกลามจนเสียชีวิตได้ด้วย ในขณะที่การรักษาในแนวทางธรรมชาติบำบัดแม้จะไม่ทุกข์ทรมานในการรักษา แต่จะเน้นรักษาที่การปรับพฤติกรรมโดยเฉพาะอาหารที่เป็นต้นเหตุแต่นอกจากจะไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว ยังก็มีข้อเสียว่าอาจไม่ทันการลุกลามของมะเร็งที่เกิดขึ้นแล้วเช่นกัน ดังนั้นสำหรับผมแล้วจึงเห็นว่าการรับมือกับโรคมะเร็งที่ดีที่สุดคือการใช้แนวทางธรรมชาติบำบัดเพื่อ “การป้องกัน” จึงสำคัญที่สุด แต่ถ้าเกิดขึ้นแล้วเงื่อนไขที่ต้องพิจารณาอย่างยิ่งยวดคือ เรามีเวลาเหลือเท่าไหร่ ถ้ามีเวลาเหลือมากพอ ก็น่าจะเลือกแนวทางธรรมชาติบำบัดให้เต็มที่เสียก่อนแล้วดูสัญญาณว่าดีขึ้นหรือแย่ลง อาจเป็นดัชนีชี้วัดให้ตัดสินใจชั่งน้ำหนักอีกครั้งหนึ่งว่าควรจะไปแนวทางใด ในขณะเดียวกันหากเกิดโรคนี้แล้วจะต้องตัดสินใจว่าจะใช้แนวทางแผนปัจจุบันด้วยการฉายแสงหรือคีโมได้หรือไม่ หรือจะใช้แนวทางธรรมชาติบำบัดดี ก็ควรจะต้องตรวจเลือดเพื่อถอดรหัสพันธุกรรมเสียก่อน เพราะการถอดรหัสพันธุกรรมเสียก่อนที่จะตัดสินใจนั้นจะทำให้รู้ก่อนว่าการคีโมและการฉายแสงนั้นจะได้ผลจริงหรือไม่ ถ้ารู้ว่าได้ผลก็เดินหน้าไปแนวทางแพทย์แผนปัจจุบันเพื่อไม่ให้เสียโอกาส แต่ในขณะเดียวกันหากรู้ล่วงหน้าว่าการคีโมและฉายแสงจะไม่ได้ผลก็หันไปเลือกแนวทางธรรมชาติบำบัดได้ทันที หรือแม้แต่หากรู้ว่ามีงบประมาณอันจำกัดไม่สามารถที่จะรองรับในแพทย์แผนปัจจุบันแล้ว ก็เดินสู่ธรรมชาติบำบัดได้โดยไม่ต้องลังเล ท่านที่สนใจที่จะตรวจเลือดเพื่อถอดรหัสพันธุกรรมสามารถรับการตรวจได้ที่ Man Nature Lab Center ที่อาคารบี บ้านพระอาทิตย์ ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพ 10200 เปิดทำการวันอังคาร ถึง วันอาทิตย์ สนใจติดต่อรายละเอียดได้ที่ 096-065-3684 และ 096-065-3685 และขอย้ำว่าไม่ว่าจะเลือกหนทางใด ก็ขอให้เชื่อมั่นและศรัทธาว่าดีแล้ว เพราะพลังจิตนี่แหละจะเป็นส่วนสำคัญการสังเคราะห์ระบบฮอร์โมนในร่างกายที่จะทำให้เราอ่อนแอลงหรือเข้มแข็งขึ้นได้ด้วย และข้อมูลต่อไปนี้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ เท่าที่ได้รวบรวมมาดังต่อไปนี้ 1. รับประทานผักให้มากลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง ดร.อ๊อตโต้ วอร์เบิร์ก นักวิทยาศาสตร์ผู้ได้รับรางวัลโนเบล ได้พบว่ามะเร็งนั้นสามารถเจริญเติบโตได้ดีในสภาวะความเป็นกรดและไม่มีออกซิเจน ซึ่งอาหารที่เป็นกรดได้แก่ โปรตีน เนื้อสัตว์ ไขมัน แป้ง น้ำตาล ซึ่งควรบริโภครวมกันไม่เกิน 30% ในขณะที่อาหารที่มีฤทธิ์เป็นด่างส่วนใหญ่อยู่ในรูปของผักและผลไม้รสเปรี้ยวควรบริโภคให้ได้ถึง 70% หากยังบริโภคในอัตราส่วนนี้ไม่ได้ควรดื่มน้ำที่มีฤทธิ์เป็นด่างไม่ว่าจากพืชหรือน้ำด่างให้เพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตามการรับประทานอาหารมังสวิรัติจะลดอัตราความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งได้อย่างมาก โดยการสำรวจชาวมังสวิรัติ เซเว่น เดย์ แอดเวนติสต์ ในแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวน 22,940 พบว่าโดยเฉลี่ยแล้วผู้ชายที่รับประทานอาหารมังสวิรัติมีอายุยืนกว่าชายในแคลิฟอร์เนียทั่วไป 7.3 ปี ในขณะที่ผู้หญิงที่รับประทานอาหารมังสวิรัติมีอายุยืนกว่าผู้หญิงทั่วไปในแคลิฟอร์เนียประมาณ 4.4 ปี ทั้งนี้การศึกษาดังกล่าวพบว่าชาวเซเว่น เดย์ แอดเวนติสต์ มีอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งต่ำกว่าชาวแคลิฟอร์เนียเป็นอย่างมาก โดยผู้ชายที่รับประทานอาหารมังสวิรัติกลุ่มนี้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งน้อยกว่าผู้ชายทั่วไปที่อาศัยอยู่ในแคลิฟอร์เนียถึง 60% ส่วนผู้หญิงที่รับประทานอาหารมังสวิรัติเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งน้อยกว่าผู้หญิงชาวแคลิฟอร์เนียทั่วไปถึง 76% โดยการสำรวจข้างต้นยังพบอีกว่าชาวมังสวิรัติเสียชีวิตโดยโรคมะเร็งปอดน้อยกว่าคนแคลิฟอร์เนียทั่วไป 21% เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งลำไส้น้อยกว่า 62 % โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีอัตราการเสียชีวิตโรคมะเร็งเต้านมน้อยกว่า 82% ดัชนีชี้วัดนี้แสดงให้เห็นว่าการับประทานอาหารมังสวิรัติลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งได้มากกว่า นอกจากนี้ยังพบการสำรวจของชาวเซเว่น เดย์ แอดเวนติส ได้รณรงค์พฤติกรรม 5 อย่างที่ใช้กันมานานกว่า 100 ปี คือ 1.ไม่สูบบุหรี่ 2. กินอาหารจากพืช 3. กินถั่วหลายๆครั้งต่อสัปดาห์ 4.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ 5. รักษาระดับน้ำหนักของร่างกายให้อยู่ระดับปกติ จะสามารถยืดอายุได้มากขึ้นกว่าปกติถึง 10 ปี การศึกษาดังกล่าวยังพบว่าการดื่มไวน์แดงแลไวน์ขาวมีความสัมพันธ์กับการเพิ่มของโรคมะเร็งลำไส้, ในขณะที่การบริโภคพืชตระกูลถั่วจะป้องกันโรคมะเร็งลำไส้, ผู้ชายที่บริโภคมะเขือเทศในปริมาณที่มากจะลดอัตราเสี่ยงของโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้ถึง 40% และการดื่มนมถั่วเหลืองมากว่า 1 ครั้งต่อวันอาจจะลดความเสี่ยงโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้ถึง 70% 2. กินน้อยกว่าเสี่ยงเป็นมะเร็งน้อยกว่า จากงานวิจัยพบว่าการจำกัดแคลอรี่ (Calorie Restriction) ในการโภชนาการจะทำให้เรามีอายุยืนขึ้นได้ ทั้งการทดสอบในหนูและลิง และอาจเป็นเหตุผลว่าคนที่รับประทานอาหารมังสวิรัติที่มีแคลอรี่ต่ำกว่านั้นจึงได้มีอายุยืนกว่า รศ.ดร.คล้ายอัปสร พงศ์รพีพร นักชีวเคมีผู้เชี่ยวชาญการถอดรหัสพันธุกรรม จาก Man Nature Lab Center ได้รายงานาการศึกษาชิ้นหนึ่งเป็นการศึกษาในหนูที่รหัสพันธุกรรมขาดโปรตีน p53 (ทำให้ไม่สามารถกำจัดเซลล์มะเร็งได้) เทียบกับหนูปกติ เมื่อให้หนูกินอาหารปกติ อายุเฉลี่ยของหนูที่รหัสพันธุกรรมขาดโปรตีน p53 เป็น 104 วัน ในขณะที่หนูที่ปกติอายุยืนกว่าคือ 470 วัน แต่เมื่อหนูทั้ง 2 กลุ่มกินอาหารที่จำกัดแคลอรีลง โดยให้ลดลงเหลือเพียง 60% ของจำนวนแคลอรีปกติ ปรากฏว่าอายุขัยยืนยาวขึ้น โดยหนูที่ขาดโปรตีนอายุขัยเพิ่มขึ้นเป็น 169 วัน (เพิ่มขึ้น 62%) ในขณะที่หนูที่ปกติอายุยืนขึ้นเป็น 648 วัน (เพิ่มขึ้น 38%) 3. บริโภคอาหารที่ช่วยกระตุ้นในการกำจัดมะเร็ง การบริโภคพืชผักและผลไม้สามารถป้องกันมะเร็งได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผักบล็อกโคลี่ กะหล่ำปลี ขมิ้นชัน และแหล่งอาหารที่มีบิวไทยเรต เช่น ถั่วเขียว และผลไม้ที่ส่วนใหญ่มีรสเปรี้ยว นอกจากนี้จากงานวิจัยวัดค่าความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระที่สุดในโลกโดยการวัดค่าความสามารถในการดูดซับอนุมูลอิสระออกซิเจน (ORAC) พบว่ากลุ่มเครื่องเทศมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุดในโลก สูงกว่าผักและผลไม้ทุกชนิดในโลก ที่พบในไทยมากได้แก่ กานพลู ขมิ้นชัน อบเชย ฯลฯ 4. หยุดหวานทุกชนิด น้ำตาลกลายเป็นปัญหาหลักของโรคมะเร็ง เพราะมะเร็งจะใช้การย่อยสลายกลูโคสในการเจริญเติบโตของมะเร็ง อันตรายที่สุดคือน้ำตาลทรายขาว ข้าวขาว ที่จะดูดซึมเข้าไปเลี้ยงเซลล์มะเร็งให้เจริญเติบโตได้ง่ายที่สุด แม้แต่น้ำตาลจากผลไม้หวานก็มีการศึกษาโดยมหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนีย ลอส แองเจิลลิส ประเทศสหรัฐอเมริกาว่าสามารถทำให้เซลล์มะเร็งโตได้เช่นกัน 5. โปรตีนจากเนื้อสัตว์ทำให้มะเร็งโตได้ การศึกษาเชิงเปรียบเทียบระดับนานาชาติที่ชื่อว่า China Study โดย ดร.ที คอลลิน แคมเบลล์ ได้รายงานว่าผลการทดสอบให้หนูที่ได้รับสารก่อมะเร็ง พบว่าการให้โปรตีนจากสัตว์โดยนมวัวนั้นเซลล์มะเร็งเพิ่มตามสัดส่วนปริมาณนมวัว 20% และเซลล์มะเร็งจะลดขนาดลงเมื่อให้ปริมาณนมวัวที่ลดลง ในขณะที่หนูที่ได้รับโปรตีนจากนมวัวในระดับต่ำเพียงแค่ 5% ไม่พบการเจริญเติบโตของกลุ่มมะเร็งเลย ในขณะเดียวกันพบว่าโปรตีนจากพืชก็ไม่ได้ทำให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโตเช่นกันไม่ว่าจะให้มากในปริมาณที่เท่ากับนมวัวก็ตาม 6. หยุดไขมันไม่อิ่มตัว ยกเว้นโอเมก้า 3 หรือกรดไลโนเลนิคซึ่งมีผลทำให้ความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งลดลงแล้ว ได้มีงานวิจัย พ.ศ. 2527 ซึ่งตีพิมพ์วารสถาบันมะเร็งแห่งชาติ โดย Reddy และ Maeura ได้ทำการทดลองในหนูโดยฉีดสารก่อมะเร็งลำไส้ แล้วเลี้ยงด้วยน้ำมันหลายชนิดแล้วพบว่าน้ำมันที่ไม่อิ่มตัวมากที่สุดกลับเพิ่มอัตราการเกิดเนื้องอกมากที่สุด (ข้าวโพดและดอกคำฝอย) ไขมันที่ไม่อิ่มตัวน้อยหรือตำแหน่งเดียวคือน้ำมันมะกอกพบเนื้องอกเจริญเติบโตเล็กน้อย ในขณะที่น้ำมันมะพร้าวไม่พบการเจริญเติบโตของเนื้องอกเลย ส่วนไขมันทรานส์ที่เกิดขึ้นจากไขมันไม่อิ่มตัวทั้งจากการเติมไฮโดรเจนก็ดี หรือจากการโดนความร้อนก็ดีล้วนแล้วแต่เป็นการเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งทั้งสิ้น นอกจากนี้แล้วการศึกษาโดย Cohen และคณะหลายชิ้นซึ่งตีพิมพ์ในวารสารสถาบันมะเร็งแห่งชาติยังได้รายงานถึง 4 ชิ้นระหว่างปี พ.ศ. 2527- พ.ศ.2530 ว่าน้ำมันมะพร้าวมีผลทำให้การเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมชะงักลง น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์มีกรดลอริก เมื่อย่อยแล้วได้สารชื่อ โมโนลอริน มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อก่อโรครวมถึงแบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัสที่เป็นสาเหตุของมะเร็งบางชนิด เช่น Human Papilloma Virus (HPV) ซึ่งเป็นไวรัสที่เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก, ไวรัส Epstein Barr Virus ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของมะเร็งโพรงหลังจมูกและมะเร็งต่อมน้ำเหลือง, ไวรัส Herpes Simplex Virus Type 2 ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว, ไว้รัสตับอักเสบชนิดบี ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งในตับ, แบคทีเรียชนิด Helicobacter Pyroli ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร, เชื้อรา Aspergillus flava ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งตับ ฯลฯ 7. จากสถิติคนไทยพบว่าผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดีส่วนใหญ่มีปัจจัยเสี่ยงมาจากการติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับที่มีการระบาดในภาคอีสาน หมายความว่าควรหยุดรับประทานปลาน้ำจืดดิบ และปรุงสุกแทนเท่านั้น 8. เมื่อปี พ.ศ. 2556 คณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยขอนแก่นได้ตีพิมพ์รายงานชิ้นสำคัญในวารสารทางการแพทย์ต่างประเทศระบุว่าการนวดไทยแบบเบาๆร่วมกับการใช้น้ำมันหอมระเหยนั้นสามารถเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันให้ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ที่ได้รับคีโมให้ฟื้นตัวได้ จึงต่างจากความเชื่อเดิมว่าห้ามผู้ป่วยมะเร็งนวดไทยเพราะจะทำให้มะเร็งลุกลาม 9. ล้างสารพิษสิ่งตกค้างในตับลำไส้ จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งซินซินเนติ มลรัฐโอไฮโอ ประเทศและสหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2544 พบว่าสารพิษจำพวกยาฆ่าแมลงและสารพิษตกค้างจากหม้อแปลงไฟฟ้าที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งหลายชนิดละลายอยู่ในรูปของไขมันสามารถออกได้เส้นทางหลักคือ “น้ำดี” ในขณะที่ การวิจัยเรื่องการขับโลหะหนักแคดเมียมในหนู (ซึ่งแคดเมียมเป็นโลหะหนักชนิดหนึ่งที่ก่อให้เกิดมะเร็ง)ตีพิมพ์เมื่อ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2521 ตีพิมพ์ในวารสาร Environ Health Perspect พบว่าเส้นทางในการขับแคดเมียมหลักคือลำไส้และน้ำดี ดังนั้นหลักสูตรการล้างพิษตับที่ล้างทั้งลำไส้และขับน้ำดีออกนั้นจึงเท่ากับมีโอกาสที่จะขับพิษที่เป็นสารก่อมะเร็งได้หลายชนิดที่ละลายอยู่ในรูปของไขมัน 10. พักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้แจ่มใส ไม่เครียด เพราะความเครียดทำให้ร่างกายมีความต้องการน้ำตาลไปเลี้ยงสมองมากขึ้น เมื่อน้ำตาลมีมากในกระแสเลือดก็จะเป็นอาหารชั้นดีในการทำให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโตขึ้นได้เช่นกัน |
No comments:
Post a Comment