PPD's Official Website

Showing posts with label ทหารเสือราชินี. Show all posts
Showing posts with label ทหารเสือราชินี. Show all posts

Friday, July 17, 2015

ประวิทย์ กับการเป็นนายกฯ รัฐบาลแห่งชาติของเผด็จการเพื่อศักดินาไทย+++!!

สำหรับการวิเคราะห์เหตุการณ์ในกองทัพ จับกระแสการเปลี่ยนแปลง 
เมเนเจอร์ถือว่าเป็นสื่อที่เข้าถึง นำเสนอได้ละเอียด และหลายครั้ง เข้าเป้า

ลองอ่านดูนะครับ แล้วคิดดูว่า ความเป็นไปได้ มีขนาดไหน
แล้วประชาชนและชาติไทย จะได้อะไรจากการเคลื่อนไหวเหล่านี้???



เมื่อ “บูรพาพยัคฆ์”โยนหินถามทางผ่าน “อุดมเดช” ถึง “บิ๊กเยิ้ม
18 กรกฎาคม 2558 06:18 น.
       ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -จู่ๆ สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ก็จุดเทียนกลางสายฝน ให้จัดตั้ง “รัฐบาลแห่งชาติ” ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง โดยเชิญทุกพรรคการเมืองเข้าร่วมสังฆกรรมด้วย ทั้งที่รู้ว่า ท่ามกลางความขัดแย้ง ไม่มีพรรคการเมืองใดอยากร่วมสังฆกรรมกับฝ่ายตรงข้าม เพราะต่างฝ่ายต่างกลัวเสียมวลชน และเสียแต้มทางการเมือง จึงวัดใจบรรดาบิ๊กทหารว่า จะเอาบ้าจี้เอาด้วยหรือไม่
      
       เพราะหากดูตามไทม์ไลน์การเมืองแล้ว เมื่อ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายก รัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต้องลาโรงจากคานอำนาจ จะไม่มีอะไรการันตีฐานอำนาจของทหารว่า จะยังแข็งแกร่งเหมือนหรือไม่ โดยเฉพาะทหารสาย “บูรพาพยัคฆ์”
      
       มองข้ามช็อต อ่านเกมในใจของ “นายใหญ่” พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีต นายกรัฐมนตรี หากชนะการเลือกตั้ง กลับมามีอำนาจ สิ่งแรกที่ “นายใหญ่” ต้องสังคายนาเพื่อกำจัด “เสี้ยนหนาม” คือ การล้างบางทหารสาย “บูรพาพยัคฆ์” ออกจากขั้วอำนาจกองทัพ เพราะไม่มีทางทื่ “นายใหญ่” จะไว้ใจให้นายทหารสาย “บูรพาพยัคฆ์” อยู่ในฐานอำนาจอีกต่อไป เพราะมีบทเรียนจาก “บิ๊กตู่” ที่รับปากอย่างดี ตีบทเนียนว่า จะไม่ทำรัฐประหาร แต่เมื่อเจอ “ม็อบ กปปส.” ที่นำโดย “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ซึ่งมีสายสัมพันธ์อันดีกันตั้งแต่สมัยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเร้าสถานการณ์ สุดท้ายก็มิวายลากรถถังออกมายึดอำนาจจากอกรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
      
       “นายใหญ่” จำขึ้นใจแล้วว่า ตราบใดที่ยังให้นายทหารสาย “บูรพาพยัคฆ์” อยู่ในแผงอำนาจของกองทัพ โอกาสที่ตัวเองจะถูกยึดอำนาจสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้น เมื่อไม่ไว้ใจและมีบทเรียน ทางเดียวของ “นายใหญ่” คือ ล้างบางและตอนไม่ให้นายทหาร “สายบูรพาพยัคฆ์” ผงาดขึ้นมาอีก
      
       ส่วนขั้วทหารสายอื่นๆ ที่จะเลือกขึ้นมาก็จะต้องเป็นประเภทที่ “ไว้ใจ” และสามารถ “คอนโทรล” ได้ หมดยุคเชื่อ หลงคำสัญญา “ลมปาก” หรือ “ประนีประนอม” กับทหารสาย “บูรพาพยัคฆ์” แล้ว
      
       ขณะที่ “บิ๊กตู่” และ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เจตนาเดียวที่จะรับข้อเสนอ “รัฐบาลแห่งชาติ” คือ ต้องการจะสืบทอดอำนาจต่อไปเท่านั้น และเป็นการเปิดทางที่เนียนตามากที่สุด
      
       ซึ่งหากในภายภาคหน้าที่จะมีการเลือกตั้ง ปรากฏว่า เกิดความวุ่นวายขึ้น ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังเลือกตั้ง และไม่ว่าจะเป็นฝีมือของคนกลุ่มใด “รัฐบาลแห่งชาติ” จะถูกหยิบยกขึ้นมาเพื่อเป็น “ประตูหนีไฟ” ของประเทศทันที เพราะไม่มีทางที่ “บิ๊กตู่” จะลากอำนาจของตัวเองออกไปได้อีกแล้ว
      
       หาก “รัฐบาลแห่งชาติ” เกิดขึ้นจริง แม้จะเขียนสวยหรูให้พรรคการเมืองเข้ามาร่วม แต่ไม่ได้ระบุว่า สเปก “คนกลาง” ว่า ใครบ้างที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ และไม่มีทางที่จะให้ “นักการเมือง” มาเป็นผู้นำรัฐบาลแน่นอน เพราะจะยิ่งทำให้สถานการณ์บานปลายกว่าเดิม ควบคุมไม่ได้ ดังนั้น ขั้วอำนาจที่เหมาะสมและตอบโจทย์สถานการณ์ในขณะนั้นได้มากที่สุด ย่อมหนีไม่พ้น “บิ๊กทหาร” อีกเช่นเคย
      
       ชื่อที่โดดเด่นที่สุดที่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ เนื่องจากมี “กำลัง - บารมี” เป็นที่นับถือของน้องๆ ในกองทัพ และพรรคการเมืองบางซีกการเมืองที่มีดีลการเมือง และดีลธุรกิจกันตลอดเวลา อีกทั้งสายสัมพันธ์กับผู้นำมวลชน โดยเฉพาะ “กปปส.” ยังอยู่ในขั้น “แนบชิด” ขณะที่สายสัมพันธ์กับ “พรรคสีฟ้า” ก็ไม่ได้ถือว่า เป็นศัตรูกัน เพราะครั้งหนึ่งเคยร่วมหัวจมท้าย สู้ศึกค้ำยันอำนาจ “เดอะมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาแล้วก็คือ “บิ๊กป้อม”
      
       แม้ว่าชื่อของ “บิ๊กป้อม” จะขายยาก เพราะไม่เป็นที่ยอมรับจากสังคม เพราะชื่อเสียงหนักไปทางสีดำมากกว่าสีขาว แถมมีบุคลิกมึงมาพาโวย จนยากที่ปันใจให้มานั่งในตำแหน่งผู้นำประเทศได้ แต่ชื่อนี้ก็ปรากฏตามหน้าสื่อทุกครั้งที่มีสถานการณ์พิเศษ
      
       และมีการพูดถึง “นายกฯคนกลาง” แม้ภาพลักษณ์จะสู้บรรดาแคนดิเดตคนอื่นๆ เช่น “อานันท์ ปันยารชุน” อดีตนายกรัฐมนตรี “พลากร สุวรรณรัฐ” องคมนตรี ไม่ได้ แต่ด้วยบารมีที่สั่งสมบวกกับคอนเนกชั่นการเมือง ชื่อของ “บิ๊กป้อม” โดดเด่นกว่าทุกคน
      
       ที่สำคัญ อย่าลืมว่า ความฝันสูงสุดของ “บิ๊กป้อม” ก็คือ การเดินตามรอยเท้าผู้มากบารมีแห่ง “บ้านน้อยเสา” ดังนั้น ฐานแรกที่จะปูทางให้ “พี่ใหญ่” ได้ก็คือ การก้าวมาเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยตัวเองเพื่อสั่งสมบารมี สร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้หลักผู้ใหญ่ ไต่บันไดขึ้นไปได้อย่างใจหวัง
      
       เรื่องการก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในวันใดวันหนึ่งของ “บิ๊กป้อม” ไม่ได้เป็นสิ่งที่มีการมโนกันขึ้นมา หากแต่เจ้าตัวมีการเตรียมพร้อมมาเสมอ หลังเคยถูก “โหรชื่อดัง” ทำนายทายทักว่า จะก้าวขึ้นสู่เก้าอี้เบอร์หนึ่งในรัฐบาล แต่ต้องถือเคล็ดบางอย่าง ตามที่มีการซุบซิบว่า ห้าม “แต่งเมีย” เด็ดขาด
      
       แต่อีกชื่อที่มาแรง แต่ยังไม่แซงทางโค้ง นั่นคือ “บิ๊กโด่ง” พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ที่ต้องยอมรับว่า ยังรอวันเป็น ”ดาวฤกษ์” มีแสงในตัวเองเพื่อเฉิดฉายขึ้นมา เพราะปัจจุบันแม้เป็นถึง ผบ.ทบ.คุมกำลังพลอย่างเบ็ดเสร็จ แต่ก็ยอมเป็น “เด็กดี” อยู่ภายใต้ร่มเงาของ “บิ๊กตู่” ด้วยความอยู่ในโอวาทนี้เองที่ทำให้ถูกมองว่าเป็น “หมาก” ที่อาจถูกหยิบขึ้นมาเดินเมื่อไรก็ได้
      
       ตามโปรไฟล์แล้ว “บิ๊กโด่ง” แทบจะไม่มีมลทินให้ขั้วตรงข้ามมาโจมตีได้ ขณะเดียวกัน ยังเป็นนายทหารที่มีอากัปกิริยา “สุขุมนุ่มลึก” ไม่โผงผางเหมือน “บิ๊กตู่ - บิ๊กป้อม” ที่สำคัญ บทจะโหดก็โหดได้ สั่งเฉียบ เป็นพวก “น้ำนิ่งไหลลึก”
      
       อย่างกรณี 14 นักศึกษาที่ออกมาเคลื่อนไหว แม้จะเป็นการแก้เกมฝ่ายตรงที่พลาดของรัฐบาล แต่ “บิ๊กโด่ง” ก็เป็นคนที่เห็นดีเห็นงามกับมาตรการดังกล่าว กับ “บิ๊กป้อม” ที่ให้ยกระดับการบังคับใช้กฎหมาย จนนำมาสู่การออกหมายจับ เรื่อง “เฮี๊ยบ” จึงหายห่วง
      
       ผู้บังคับบัญชาคนใดสั่งพร้อม “เซย์เยส” ตลอดเวลา แถมพ่วงด้วยผลการปฏิบัติงานที่เกินร้อยเปอร์เซ็นต์เสมอ นอกจากนี้ ยังเป็นน้องที่ดีของ “บิ๊กตู่ - บิ๊กป้อม” ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับพี่ๆ เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด
      
       ดังนั้น ตัวเลือกที่จะก้าวเข้าสู่อำนาจใน “รัฐบาลแห่งชาติ” ที่ใครบางคนวางเกมเอาไว้ล่วงหน้า จึงหนีไม่พ้น “บิ๊กป้อม” หรือ “บิ๊กโด่ง”
      
       และก็ไม่แปลกที่ “บิ๊กโด่ง” จะออกมาปฏิเสธสยบข่าวทันควันแบบนิ่มๆตามสไตล์ว่า ส่วนตัวไม่เคยคิดที่จะเป็นนายกฯคนกลางอย่างที่เป็นข่าว ทุกวันนี้ตั้งใจทำงานเต็มที่ ขณะนี้ขอยืนยันว่า จะร่วมแก้ปัญหากับนายกฯให้เต็มที่ เมื่อนายกฯใช้อะไรสั่งการอะไรมา
      
       แต่คำปฏิเสธของ “บิ๊กโด่ง” ก็ไม่ต่างกับเรื่อง “รัฐบาลแห่งชาติ” ที่มีการปล่อยออกมา เหมือนกับมีคนเขียนบทเอาไว้แล้ว รอแต่ประเมินสถานการณ์ว่า จำเป็นมากพอหรือไม่ หรือจะงัดมาใช้ในช่วงเวลาใด ซึ่งหากดูตามความเชื่อมโยง เริ่มมีกระบวนการปล่อยข่าวในลักษณะ “โยนหินถามทาง” มากขึ้นเรื่อยๆ
      
       ไม่ว่าจะเป็น กรณี “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ในฐานะ “พี่รอง” แห่งบูรพาพยัคฆ์ กล่าวกับกำนัน - ผู้ใหญ่บ้านตอนหนึ่งโดยระบุในทำนองว่า หากเกิดความขัดแย้งกันอีก จะวิกฤตถึงขั้นจับอาวุธมาสู้กันแน่ เหมือนเป็นการส่งสัญญาณว่า ขณะนี้สถานการณ์ยังไม่นิ่ง ทุกอย่างที่สงบเป็นแค่ภาพลวงตา สถานการณ์จริงยังมีการปลุกปั่นมวลชนของตัวเอง ฝั่งหนึ่งมีทหารในราชการ แต่อีกฝั่งมีทหารนอกราชการ โดยเฉพาะ “ทหารพราน” ที่เป็นเครื่องมือในการแย่งอำนาจ
      
       เหมือนกำลังจะถามต่อสังคมว่า จำเป็นที่จะต้องใช้ คสช.ซุกปัญหาไว้ใต้พรม กดไม่ให้กลุ่มอำนาจเก่าขึ้นมาสร้างความวุ่นวายกันอีก แต่เมื่อใดที่ คสช.วางมือปัญหาความขัดแย้งจะกลับมาแน่ คำพูดของ “บิ๊กป๊อก” เหมือนกำลังจะสื่อว่า ประเทศไทยในวันที่ไม่มี คสช.ความรุนแรงจะกลับมาทันที
      
       ในช่วงเวลาเดียวกัน ก็มีการปรากฏตัวของ “บิ๊กเยิ้ม” พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร สมาชิก สปช. เพื่อนรักนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 12 (ตท.12) ของ “บิ๊กตู่” ออกมาปูดข่าวว่า ขณะนี้มี 2 พรรคการเมือง จับมือลงขันเพื่อโค่นล้ม “รัฐบาลบิ๊กตู่” โดยสร้างสถานการณ์ความวุ่นวายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ใช้คนด้ามขวานเป็นกองหน้าและกองหลัง และมีคนภาคเหนือและอีสานเป็นกองกลาง
      
       แม้จะดูฟุ้งเฟ้อ โอเวอร์เกินจริง แต่ในเชิงยุทธศาสตร์การข่าวแล้วถือว่า ประสบความสำเร็จ เพราะสามารถวาดภาพให้ประชาชนเห็นได้ว่า “ขั้วตรงข้าม” ยังไม่หยุด และมีการแบ่งกลุ่มมวลชนที่สามารถปลุกปั่นมาโค่นล้มรัฐบาลได้ การออกมาพูดในลักษณะนี้ของ “บิ๊กเยิ้ม” คงไม่ใช่แค่เพียงการพูดเล่น เพื่อให้คนถอนหงอก เพราะรู้ดีว่า หากพูดเกินจริงไปผลเสียจะตกอยู่ที่รัฐบาล
      
       ซึ่งหากผลเสียตกกับเพื่อนรัก “บิ๊กเยิ้ม” คงไม่ทำแน่
      
       หากย้อนไปดูแบ็กกราวด์ของ “บิ๊กเยิ้ม” สมัยเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 ได้รับการมอบหมายจาก “บิ๊กตู่” ให้เป็น “นายด่าน” เฝ้าประตูภาคอีสานในช่วงการเลือกตั้งปี 2554 ซึ่งเคยออกมาให้สัมภาษณ์หยาม “ทักษิณ” ว่า ไม่มีทางเอาชนะการเลือกตั้งในพื้นที่ภาคอีสานได้ทั้งหมด
      
       “บิ๊กเยิ้ม” ลงทุนเดินเกมลงสำรวจสำมะโนครัวเกือบทุกบ้านถึงเปอร์เซ็นต์ในเลือกตั้ง แล้วกลับมารายงานให้ “บิ๊กตู่” ทราบ แต่ก็ไม่สามารถสกัดกั้นความร้อนแรงในภาคอีสานของ “ทักษิณ” ได้
      
       ที่ผ่านมาจะเห็นว่า ความพยายามในการต่อทอดอำนาจมีหลายครั้ง แต่รูปแบบจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เหมือนการ “โยนหินถามทาง” ว่า กระแสสังคมจะตอบรับหรือไม่ หากไม่ตอบรับข้อเสนอก็จะ “ถอย” เพื่อชงข้อเสนอใหม่ๆ ออกมา โดยใช้ “ตัวแสดงแทน” สลับกันเล่นไปเรื่อยๆ
      
       ตั้งแต่ครั้งที่ “ไพบูลย์ นิติตะวัน” สมาชิกสปช. และกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ออกมา “จุดพลุ” ให้เพิ่มคำถามในการทำประชามติว่า เห็นด้วยหรือไม่กับการปฏิรูปประเทศก่อน 2 ปี แล้วค่อยมีการเลือกตั้ง จนมีทั้งกระแส “ขานรับ” และ “ต่อต้าน”
      
       แม้กระทั่งตัว “บิ๊กตู่” ช่วงแรกยังเล่นบทแบ่งรับแบ่งสู้บอกว่า ให้ไปทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมอธิบายให้ต่างชาติเข้าใจ
      
       ซึ่งผลของการ “ถามทาง” ของ “ไพบูลย์” นำมาซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 เปิดช่องให้ทำประชามติ และสามารถสอบถามความเห็นของประชาชนในเรื่องอื่นได้ ซึ่งอาจจะเป็นการเปิดช่องให้สอบถามเกี่ยวกับการให้ “บิ๊กตู่” และ “ขุนทหาร” ได้ไปต่อก็ได้
      
       หรือแม้กระทั่ง “วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ” หรือ “โหร คสช.” ที่ “บิ๊กตู่” และ “ขุนทหาร” เคารพนับถือ ยังออกมาทำนายทายทักว่า “บิ๊กตู่” จะได้อยู่ในอำนาจต่ออีกอย่างน้อย 2 ปี เพื่อแก้ปัญหาให้ประชาชน แม้จะออกมาแก้ข่าวเพื่อสยบข่าวลือในภายหลัง แต่การที่ “โหรวารินทร์” เป็นคนวงในระดับอินไซด์ของทหาร ข้อมูลความเป็นไปได้บวกกับเรื่อง “โชคชะตา” ก็ควรจะต้องฟังหูไว้หูเหมือนกัน เพราะเรื่องอำนาจไม่เข้าใครออกใคร
      
       จนกระทั่งมาถึงคิวของ “บิ๊กเยิ้ม” ที่ออกมาปูดข่าวลงขัน ซึ่งจะเห็นได้ว่า ตัวละครและห้วงเวลาที่ออกมา มีความเชื่อมโยงอย่างผิดสังเกต จากนี้ต้องติดตาม “หิน” ที่โยนออกจากคนใกล้ชิด “บิ๊กทหาร” หรือคนวงในของ คสช. เพราะทุกย่างก้าวสื่อนัยสำคัญไว้เสมอ และอาจเปลี่ยนเกมได้ตามสถานการณ์เมื่อไหร่ก็ได้
      
       “หิน” นับร้อยที่โยนมาให้สังคมวิพากษ์วิจารณ์ ต้องมีสักประเด็นที่เหมาะสมและมีแรงต้านน้อยที่สุดในการสืบทอดอำนาจของ คสช. ซึ่งเกมที่ คสช.วางไว้ต้องดูระยะยาว เพราะฝั่งตรงข้ามเองก็เตรียมแคมเปญไว้แก้เกมเสมอ อยู่ที่ไทม์มิ่งเท่านั้นว่า จะเข้าทางใครมากกว่า
      
       แต่ที่น่าจับตามากที่สุดคือ ความฝันของ “บิ๊กป้อม” ที่ไม่ใช่ความฝันลมๆ แล้งๆ อีกต่อไป ยิ่งมีการออกมาพูดรัฐบาลแห่งชาติมากเท่าไหร่ โอกาสของคน “ตัวเล็ก” ที่จะมีโอกาสได้ “ตัวโต” ก็จะมากขึ้นเท่านั้น
      
       เพราะพรรคการเมืองไม่ได้รับประโยชน์จาก “รัฐบาลแห่งชาติ” เลย!!!
      
      
       

พิมพ์จาก http://manager.co.th/AstvWeekend/ViewNews.aspx?NewsID=9580000081211
เวลา 18 กรกฎาคม 2558 12:17 น.
ผู้จัดการออนไลน์ - Manager Online (http://www.manager.co.th)
Thailand Web Stat

Thursday, May 7, 2015

ทหาร พ่อทุกสถาบัน... พวกล้มปชต.เคยโจมตีว่า รัฐตำรวจ วันนี้เลยเป็น "รัฐทหาร" เต็ม ๆ

ทหาร พ่อทุกสถาบัน... พวกล้มปชต. เคยโจมตีว่า รัฐตำรวจ แล้วให้ทหารยึดอำนาจ
วันนี้เลยเป็น "รัฐทหาร" เต็ม ๆ  มันสะใจ ไหมน้องไทยเอ๋ย...

ตามข่าวนี้ครับ..


ทหาร  บุก  สำนักงานตำรวจแห่งขาติ รวบเจ้าหน้าที่อิสราเอลขณะสาธิตอุปกรณ์ดักฟังให้ตำรวจสันติบาลดู  อ้างใช้มาตรตรา  44  ไม่ประสาน ตำรวจพื้นที่


วันนี้ 7 พ.ค.2558 เวลา11.00น.ที่กองบัญชาการตำรวจสันติบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเจ้าหน้าที่บริษัทเอกชนของอิสราเอลได้มาสาธิตการใช้เครื่องดักฟัง และการเช็ค พิกัดโดยมาสาธิตที่ห้องประชุมกองบัญชาการตำรวจสันติบาล แต่ในขณะที่มีการสาธิตได้มีเจ้าหน้าที่ทหารจากกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ จำนวน 3 คันรถฮัมวี่ รวมกว่า10นาย พร้อมอาวุธครบมือได้บุกเข้ารวบตัวเจ้าหน้าที่ชุดอิสราเอลชุดดังกล่าวจำนวน 9นาย ซึ่งทั้งหมดเป็นอดีตเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจเก่าของอิสลาเอล ทำให้ตำรวจสันติบาลที่อยู่ในห้องประชุมต่างตกใจและกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

โดยในเวลาต่อมาเจ้าหน้าที่ทหารได้มีการชี้แจงว่าเป็นการควบคุมตัวตามมาตรา44แห่งรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ปี พ.ศ.2557 และได้นำเจ้าหน้าที่อิสรา เอลทั้งหมดไปควบคุมไว้ที่กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2)

โดยมีรายงานว่าทหาชุดดังกล่าวได้มาเฝ้ารอตั้งแต่เวลา 08.00 น.ก่อนที่จะบุกเข้าจับกุมขณะที่มีการสาธิตในห้องประชุม โดยการบุกเข้าจับกุมไม่ได้มีการประสานกับกองบังคับการสันติบาล 3 ที่รับผิดชอบพื้นที่แต่อย่างใด ซึ่งผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามไปยังนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่หลายนายแต่ก็ได้รับการปฎิเสธที่จะพูดถึงเรื่องดังกล่าว

/////

Wednesday, April 8, 2015

เบื้องหลัง 10 เมษาฯ ถล่ม “บูรพาพยัคฆ์” ฆาตกรมือเปื้อนเลือดที่กุมอำนาจเบ็ดเสร็จวันนี้ (มติชนสุดฯ)

เบื้องหลัง 10 เมษาฯ ถล่ม “บูรพาพยัคฆ์”  (ขอบคุณ มติชนสุดฯ)
หลัง ความพ่ายแพ้ ทั้งที่สถานีดาวเทียมไทยคม ลาดหลุมแก้ว เมื่อ 9 เมษายน และโดยเฉพาะเหตุนองเลือด 10 เมษายน 2553 ที่แยกคอกวัวและถนนดินสอ สถานภาพที่แท้จริงของกองทัพไทยก็ปรากฏโดยพลัน พร้อมๆ กับบทเรียนและบาดแผลจากสงคราม
ชื่อของบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. กับเพื่อนรัก บิ๊กหนุ่ย พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รอง เสธ.ทบ. กลับถูกวิพากษ์ลั่นกองทัพ แม้ว่าจะทำเพื่อความสงบสุขของบ้านเมืองก็ตาม
ด้วยรู้กันว่าก่อนหน้า นั้นบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. แม้จะไม่ได้เป็น “ทหารแตงโม” แต่ก็ใส่เกียร์ว่าง รักษาเนื้อรักษาตัวกลัวเป็น ผบ.ทบ. มือเปื้อนเลือด จึงปล่อยให้ พล.อ.ประยุทธ์ น้องรัก ใส่เกียร์ 5 เดินหน้าเต็มตัว ประหนึ่งเป็น ผบ.ทบ. โดยมี พล.ท.ดาว์พงษ์ ประหนึ่งเป็น เสธ.ทบ. ราวกับเตรียมฝึกงานไว้ก่อน
การเสียหน้าเสียฟอร์ม เสียศักดิ์ศรี ที่ทหารพร้อมใจกันแตกทัพ ถูกคนเสื้อแดงต้อนหนีออกทุ่งนา ไม่ว่าจะเพราะเป็นแตงโม หรือไม่กล้าใช้ความรุนแรง กลัวต้องรับผิดชอบหรือสร้างเงื่อนไข ก็ตาม รวมทั้งความคาดหวังหลังจากที่รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ว่าต้องจัดการเด็ดขาด พร้อมทั้ง “คำสั่งพิเศษ” ที่ว่า “ให้จบก่อนสงกรานต์ที่กดดันทั้งรัฐบาลและกองทัพ
ทำ ให้ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.ท.ดาว์พงษ์ ไม่รีรอที่จะใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้า ที่บังคับให้เรียกอย่างสวยหรูว่า “ขอคืนพื้นที่” หลังจากที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการศูนย์แก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ผอ.ศอฉ.) ต้องการให้ทำมานานแล้ว
แต่ยุทธการ “ยึดผ่านฟ้า” กลับเริ่มต้นตอนบ่ายโมงเศษๆ โดยฉวยโอกาสเมื่อคนเสื้อแดงบุกไล่ทหารที่กองทัพภาค 1 เพราะกลัวว่าจะมาสลายการชุมนุม จึงมีเวลาปฏิบัติการแค่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนพลบค่ำ ซึ่งตามหลักนิยมทหารแล้วจะหลีกเลี่ยงเพราะควรจะเป็นช่วงก่อนรุ่งสางมากกว่า เลือกเวลาที่ม็อบอ่อนล้าอ่อนเพลีย หรือลดจำนวนน้อยลง แถมมีเวลาปฏิบัติการได้ทั้งวันหากจะปิดเกม
ทั้งๆ ที่เพลี่ยงพล้ำก็ควรจะหยุดเพื่อตั้งหลักตามยุทธวิธี แต่อาจด้วยเพราะ “อารมณ์” กลับมีคำสั่งให้เสริมกำลังทหารพร้อมเสียงกรอกใส่โทรศัพท์ว่า “ต้องให้จบในคืนนี้” ทั้งๆ ที่ปฏิบัติการทางทหารต้องใช้สถานการณ์เป็นตัวตัดสิน ต้องค่อยๆ ก้าวอย่างมีกลยุทธ์ ไม่เร่งรัดหรือขีดเส้นเวลา ที่สำคัญ ต้องไม่ให้ปัจจัยการเมืองมาแทรกแซงปฏิบัติการทางทหาร
งานนี้ บรรดาทหาร “วงศ์เทวัญ” จากกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล. 1 รอ.) รับผิดชอบวงนอก ตั้งแต่พระราชวังจิตรลดาฯ ตามถนนราชดำเนิน ไปสู่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ที่มีการปะทะกับคนเสื้อแดง แต่ก็แค่ใช้รถฉีดน้ำ แก๊สน้ำตา และกระสุนยาง
แม้จะ “หัว เสธ.” แค่ไหน แต่ก็จบจากโรงเรียนเดียวกัน เรียนตำราเล่มเดียวกันมา เมื่อกองทัพต้องใช้แผน “ล้อมปราบ” ด้วยการใช้ “ทหารป่า” อย่างกองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) กาญจนบุรี บุกมาทางฝั่งธนบุรี สะพานพระปิ่นเกล้า ส่วนกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) อันโด่งดังในชื่อ “บูรพาพยัคฆ์” ออกจากทั้งที่รวมพลที่กองทัพภาค 1 และ บก.ทบ. เดินหน้าลุยเข้าถนนดินสอ หน้า ร.ร.สตรีวิทยา และแยกไปทางวัดบวรนิเวศน์ฯ บางลำพู เข้าถนนตะนาว ข้าวสาร และแยกคอกวัว
โดยมีกำลังเสริมจาก กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) มาเสริม โดยเฉพาะรถสายพานลำเลียงพล แบบที-85 จากจีน รวม 9 คัน เพื่อหวังเป็นด่านหน้าในการบุกตะลุย และเป็นเกราะกำบังภัยให้ทหาร เพื่อไป “รวมกันตี” ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แล้วบุกเข้ายึดผ่านฟ้า พร้อมกับกำลังจาก พล.1 รอ. ที่จะบุกมาจากทางแยก จปร.
ในเมื่อฝั่ง ฝ่ายเสื้อแดงก็มีทั้งทหารเก่าทหารแก่ และทหารแตงโมที่เชี่ยวการศึก วางกลยุทธ์ให้ และใช้ข้ออ้าง เมื่อมีกระสุนจากปืนสไนป์เปอร์จากตึกสูงพุ่งเข้าหัวคนเสื้อแดงแตกกระจุย ทั้งเอ็ม 67 และเอ็ม 79 ก็ระดมใส่ทหาร ผ่านฟ้าลีลาศ จึงไม่กลายเป็น “เทียนอันเหมิน” อย่างเช่นที่ทหารจีนใช้รถถังและอาวุธกระสุนจริงปราบปรามนักศึกษาและประชาชน ที่เรียกร้องประชาธิปไตย ในห้วงเวลาเดียวกันนี้ของเมื่อ 21 ปีก่อน
โดย ลูกแรก หมายเด็ดหัวแม่ทัพนายกอง หยอดใส่วงประชุมจัดกำลังของบิ๊กอู๊ด พล.ต.วลิต โรจนภักดี ผบ.พล.ร.2 รอ. ที่กำลังถกกับผู้บังคับการกรม ผู้บังคับกองพัน ทั้งเหล่าบูรพาพยัคฆ์ ทหารม้า และทหารรบพิเศษ 2 ลูกติดกัน จนทัพระส่ำแตกพ่าย เอารถสายพานฯ หนีได้แค่ 3 คัน ที่เหลือถูกยึด รวมทั้งทหารประจำรถและอาวุธต่างๆ เมื่อถอยร่นกันอุตลุต หิ้วลากร่างทหารทั้งที่ไร้วิญญาณและบ้างโชกเลือด ไม่ต่างจากคนเสื้อแดง
การ สูญเสียของทั้งสองฝ่าย ยิ่งสำหรับทหารแล้ว ถือว่าที่เสียชีวิต 6 คน บาดเจ็บอีก 230 คน สาหัส 90 คนนั้น มากกว่าสงครามครั้งใดเลยด้วยซ้ำ แถมนายทหารสัญญาบัตรสายเลือดเตรียมทหาร จปร. ทั้งตายและเจ็บ ที่สำคัญล้วนเป็น “ทหารเสือราชินี” ทั้งสิ้น โดยเฉพาะ เสธ.เปา พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รอง เสธ.พล.ร.2 รอ. เป็นศพแรก
ส่วน พล.ต.วลิต ขาซ้ายแตกหัก 3 ท่อน ที่ต้องดามเหล็ก ไม่นับแผลตามร่าง พ.ท.เกรียงศักดิ์ นันทโพธิเดช ผบ.ร.12 พัน 2 รอ. ที่สะเก็ดเอ็ม 79 ฝังในศีรษะเจาะสมอง แม้จะพ้นขีดอันตรายแต่ก็ไม่มีวันกลับมาเป็นผู้พันไก่คนเดิม พ.อ.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ ผบ.ร.21 รอ.หน่วยทหารเสือราชินี ก็ถูกสะเก็ดฝังที่ต้นขา พ.ท.นพสิทธิ์ สิทธิพงษ์โสภณ ผบ.ม.พัน 3 รอ. ที่จู่ๆ ต้องมีสะเก็ดเอ็ม 79 ฝังอยู่ในขาทั้งสองข้าง โดยหมอไม่ผ่าออก เพราะเกรงกระทบเส้นประสาทกล้ามเนื้อ ไม่นับรวมระดับรองผู้การกรม ผู้พัน และรองผู้พัน ที่ล้วนเป็น จปร. อีกหลายคน
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเป็นการส่วนพระองค์เพื่อเยี่ยมบรรดาทหารเสือราชินี ที่ล้วนเคยถวายงาน ถึงที่ ร.พ.พระมงกุฎเกล้าฯ รวมทั้งพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ พ.อ.ร่มเกล้า ด้วยพระองค์เอง
การศึกนี้ นอกจากแพ้พ่ายแล้ว ยังเสียขุนพล และเสียทหารไป 1 กองพล คือ พล.ร.2 รอ. ที่ต้องเรียกว่า “ละลาย” ไปเลย เพราะในจำนวนทหารที่บาดเจ็บกว่า 200 คนนั้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นบูรพาพยัคฆ์
จึง ไม่แปลกที่ พล.ต.วลิต จะรู้ตัวว่า ถูกหมายหัว เพราะมีการชี้เป้า ก่อนที่กองกำลังไม่ทราบฝ่ายจะหยอดเอ็ม 79 ลงตรงพอดี แถมทั้งบรรดานายทหารที่แต่งกายต่างจากกำลังพลไปยืนรวมเป็นจุดใหญ่ ทั้งๆ ที่มีรถสายพานเป็นเกราะอยู่ จึงเป็นเสมือนการล้างแค้นที่ พล.ร.2 รอ. เคยปราบปรามเสื้อแดง ที่สามเหลี่ยมดินแดงเมื่อสงกรานต์ปีที่แล้ว จนได้รับยกย่องจาก ทบ. ไว้ด้วยนั่นเอง ไม่นับรวมความโดดเด่นของหน่วย ที่ในยุค 3 ป.นี้ถือเป็นยุคทอง ที่ทหารหน้าไหนก็พากันหมั่นไส้ จึงอาจเป็นการส่งสัญญาณเตือนไปยัง บูรพาพยัคฆ์ พร้อมกันนั้นก็เป็นบทเรียนของสิงห์ตะวันออก ทั้งน้อยใหญ่ รวมทั้ง ป้อม – ป๊อก – ประยุทธ์ ด้วยนั่นเอง
บทเรียน 10 เมษายน ทำให้เกิดการเรียกขาน พล.ท.ดาว์พงษ์ เป็น “แม่ทัพภาคศูนย์” เพราะสั่งการโดยตรงยัง ผบ.หน่วยคุมกำลังด้วยตัวเอง บางครั้งไม่ผ่านบิ๊กอ๊อด พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาค 1 ด้วยซ้ำ ที่อาจเป็นเพราะเคยพลาดหวังจากเก้าอี้แม่ทัพภาค 1 มาก่อน ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสได้แสดงฝีมือ แถมทั้งไม่วางใจใคร จนถึงขั้นที่ต้องสวมบท “จ่า” ลงไปยืนจี้ชี้สั่งการนายสิบ พลทหาร ในพื้นที่เองเลยทีเดียว เพราะมีดาบอาญาสิทธิ์ จาก พล.อ.ประยุทธ์
จึง เกิดการจับคู่ ทหารวงศ์เทวัญกับบูรพาพยัคฆ์ เกิดขึ้น ด้วย พล.ท.ดาว์พงษ์ เติบโตจาก ร.11 รอ. และในพล.1 รอ. ส่วน พล.ท.คณิต รุ่นน้อง ตท.13 โตมาจาก พล.ร.2 รอ. แถมต้องมาชิงเก้าอี้ห้าเสือ ทบ. และเป็นที่ไว้วางใจของ พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อขึ้นเป็น ผบ.ทบ.
งานนี้ เตรียมทหาร 12 ของ พล.อ.ประยุทธ์ ประธานรุ่น หมายจะโชว์ศักยภาพการขึ้นเป็นผู้คุมกองทัพในยุคต่อไป จึงทำงานกันแค่ไม่กี่คน เช่น บิ๊กเต่า พล.ท.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ผช.เสธ.ทบ.ฝ่ายกิจการพลเรือน บิ๊กหน่อย พล.ต.จิระเดช สิทธิประณีต เลขานุการ ทบ. และใช้ทหารรบพิเศษหน่วยเฉพาะกิจ 90 (ฉก.90) ของ พล.ท.โปฎก บุนนาค ผบ.นสศ. และแท็กทีมกับ พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบชน. เพื่อนสีกากี
ทั้ง จะเห็นได้ว่า ศึกแดงเดือดครั้งนี้ มีการใช้ “ทหารม้า” มากเป็นพิเศษ ที่นอกจากเพราะมีบิ๊กอ้อ พล.ต.วิลาศ อรุณศรี รองแม่ทัพน้อยที่ 1 คุม ในฐานะที่เป็นพี่เลิฟของบิ๊กฟิ้งค์ พล.ต.สุรศักดิ์ บุญศิริ ผบ.พล.ม.2 รอ. เพราะไปอยู่ชายแดนภาคเหนือมาด้วยกันแล้ว ยังมีแนวคิดกลยุทธ์การรบแบบสงคราม “วอเตอร์ลู” (Waterloo) ร่วมด้วย
แต่ดูเหมือนจะเป็น “วอเตอร์ลู” ของทหารในฝ่ายเสื้อแดงด้วย เพราะนอกจากจะเป็นสงครามกลางเมืองแล้ว ยังจะเป็น “สงครามครั้งสุดท้าย” ของนโปเลียนด้วย แต่ยุทธการดับแดงเดือดนี้ ยังไม่รู้ว่าจะเป็นสงครามครั้งสุดท้ายของฝ่ายใดเท่านั้น เพราะทหารสีแดงก็ระดมการต่อสู้ทุกหนทาง แม้แต่ต้องก่อศึกสายเลือดฆ่าฟันกันเอง เมื่อสงครามยังไม่จบ ก็อย่าเพิ่งนับศพทหารหรือประชาชน
ยิ่งเมื่อกลุ่มเสื้อแดง ทิ้งผ่านฟ้าฯ แล้วคงยึดแยกราชประสงค์ไว้เป็นฐานที่มั่นเดียวไว้อยู่ และยังไม่เห็นทางออกที่จะไม่ให้เกิดการเจ็บตายขึ้นอีก
แม้ว่า นายอภิสิทธิ์จะกล้าเล่นกับไฟ ด้วยการตั้ง พล.อ.อนุพงษ์ เป็นหัวหน้าส่วนราชการในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือที่ภาษาทหารเรียกกันว่า “ผู้บัญชาการเหตุการณ์” แทนนายสุเทพ เพื่อที่จะ “แก้เผ็ด” การที่ พล.อ.อนุพงษ์ ลอยตัว ไม่เต็มที่ เพื่อประคองตนให้เกษียณแบบมือไม่เปื้อนเลือดและไม่มีคดีความติดตัว
ความ เป็น “เด็กดื้อ” ของ นายอภิสิทธิ์ ประกอบกับความมั่นใจใน “กองหนุน” ที่มีหลายระดับ ทำให้เขากล้าที่จะเอ่ยปากเหน็บแนมทหาร ที่บิ๊กๆ ฟังแล้วไม่สบายใจ ทั้ง “เจ้าหน้าที่ไม่มีสิทธิ์ท้อแท้” หรือ “หากไม่ทำ ไม่ใช่ว่ารัฐบาลอ่อนแอ แต่เป็นการสะท้อนความอ่อนแอของรัฐและความมั่นคงของประเทศ”
ครั้ง หนึ่งก่อนหน้า 10 เมษายน พล.อ.อนุพงษ์ เคยปฏิเสธข้อเสนอของ นายอภิสิทธิ์ ที่ให้ยึดพื้นที่ราชประสงค์คืน ว่า “ทำไม่ได้ เพราะจะเกิดการสูญเสียทั้งเศรษฐกิจ ทรัพย์สิน และชีวิตของทั้งสองฝ่าย” แต่เห็นว่าการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง ไม่ใช่แก้ด้วยการทหาร
หลัง 10 เมษายน พล.อ.อนุพงษ์ ถึงขั้นให้สัมภาษณ์ว่า “การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง” พร้อมเสนอให้ยุบสภา พร้อมทั้งยืนกรานว่า ทหารไม่ได้ “หน่อมแน้ม อ่อนแอ หรือเกียร์ว่าง” แต่ “ประเสริฐสุดยอด” ที่ไม่ยิงประชาชน
จะว่าไปแล้ว พล.อ.อนุพงษ์ เองก็ไม่ได้เกียร์ว่าง เพราะ 10 เมษายน เขาเป็นผู้บัญชาการศึกด้วยตนเอง เป็นแม่ทัพเสียเอง แม้พื้นที่วงในจะใช้กำลังจาก พล.ร.2 รอ., พล.ร.9 และ พล.ม.2 รอ. แต่ พล.อ.อนุพงษ์ ก็สั่งการตรงไปถึงผู้บังคับการกรมเองด้วยซ้ำ พล.อ.อนุพงษ์ เผยเองว่า พ.อ.กู้เกียรติ ศรีนาคา ผบ.ร.2 รอ. โทรศัพท์มาขอถอนกำลังเพราะถูกระเบิดโจมตีทหารเจ็บหนักกว่า 30 คน โดยตนให้ถอยมาที่ สิบสามห้าง บางลำพูก่อน แต่ก็โดนระเบิดตามมาอีก จนต้องมายังสโมสร ทบ. เทเวศร์
รวมทั้งการขึ้น ฮ. บินดูสถานที่และจำนวนผู้ชุมนุมด้วยตนเอง แนวคิดการใช้ ฮ. แจกใบปลิว หรือการใช้ ฮ. โปรยแก๊สน้ำตาลงหน้าเวทีผ่านฟ้า ที่ก็แห้ว แถมทหารยศพันเอกถูกยิง ฮ. ทะลุเท้าเสียอีก แม้แต่การให้กำลังทหารแยกกันเดินเข้าถนนเล็กๆ หลายสาย ที่เป็นรูปตัว S น่าจะช่วยเป็นเกราะกำบังทหารเวลาบุกได้ ก่อนรวมกันตี
“ข่าวที่ออกมา เหมือนผมขัดแย้งกับพี่ป๊อก ว่าพี่ป๊อกไม่เอา ผมเอา ทั้งๆ ที่ความจริง มีอะไรก็ปรึกษาหารือกันตลอด แต่การตัดสินใจและสั่งการ เขาเป็นนาย เขาเป็นคนรับผิดชอบ” พล.อ.ประยุทธ์ แจงสั้นๆ
แต่ท่าทีโดยภาพรวมของ พล.อ.อนุพงษ์ ที่ปรากฏ ยิ่งเมื่อเสนอให้ยุบสภานั้น ก่อให้เกิดความไม่พอใจในหมู่คนรักอภิสิทธิ์ คนสีเหลือง แม้แต่ นายสุเทพ เอง ที่เคยสนิทสนมก็เริ่มมองหน้ากันไม่สนิทใจ โดยเฉพาะแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถึงขั้นเชียร์ให้ นายอภิสิทธิ์ ปลด ผบ.ทบ. แล้วตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ทหารเสือราชินีตัวพ่อ ที่กล้าได้กล้าเสียและพร้อมลุย ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.เลย แต่ นายอภิสิทธิ์ รู้ดีว่าไม่ใช่เรื่องง่าย และอะไรจะเกิดขึ้นหากทำเช่นนั้น
แต่วิธีของนายอภิสิทธิ์ก็คือ การตั้ง พล.อ.อนุพงษ์ ให้มาร่วมรับผิดชอบอย่างเต็มตัว ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบฯ อันเป็นการมัดมือชกหรือบังคับไม่ให้หนีปัญหาอีกต่อไป จากเดิมที่เป็น ผช.ผอ.ศอฉ. เท่านั้น จนร่ำลือกันว่าหาก พล.อ.อนุพงษ์ ยังนิ่งเฉย หรือกล้าๆ กลัวๆ รัฐบาลก็จะหาเหตุในการปลด แล้วตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ รับผิดชอบแทน เพื่อที่จะล้อมปราบเสื้อแดงให้ราบคาบ
แรงกดดันจากสังคม รวมทั้งเล็งเห็นแล้วว่าต่อให้มีประชาชนหรือทหารเสียชีวิต ก็ไม่เห็นว่ารัฐบาลต้องรับผิดชอบอะไร แถมมีทางออกด้วยการโยนและประโคมข่าวให้เป็น “กลุ่มก่อการร้าย” กองกำลังติดอาวุธ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้ทหารในการยิงเพื่อป้องกันตัวเอง หรือคุ้มกันในการถอนตัว ทำให้ พล.อ.อนุพงษ์ กล้าที่จะสั่งทหารจาก 3 กองพล คือทั้ง พล.1 รอ., พล.ม.2 รอ. และ พล.ร.9 พร้อมอาวุธครบมือเข้ายึดสีลมก่อนที่เสื้อแดงจะบุก
ถึงขั้นที่ เสธ.ไก่อู พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. ได้ปลดปล่อยความรู้สึกด้วยการลั่นขู่ปะทะ และทหารได้ไฟเขียวให้ใช้อาวุธจริงได้ เพื่อป้องกันตัวเอง หรือหยุดยั้งผู้ชุมนุมตามสมควรแก่เหตุ ซึ่งถือเป็นการเปิดช่องให้ยิงได้เต็มที่ จนแกนนำเสื้อแดงเปลี่ยนแผนไม่บุกยึดสีลม เพราะนาทีนี้ หากสั่งทหารไปพร้อมโล่ กระบอง แก๊สน้ำตา ไม่มีใครไปแล้ว ต้องกระสุนจริงเท่านั้น


จุดยืนของ พล.อ.อนุพงษ์ก็คือ หากเสื้อแดงก่อเหตุป่วนเมืองหรือไปยึดสถานที่อื่น หรือแม้แต่ ร.11 รอ. ฐานบัญชาการ ศอฉ. รัฐบาลและกองทัพก็คงยอมไม่ได้ ต้องประกาศกฏอัยการศึก ปะทะ ตายเจ็บต้องมี แต่หากเสื้อแดงยังคงชุมนุมโดยสงบที่แยกราชประสงค์ ทหารก็จะไม่เข้าสลาย เพราะฝ่ายทหารสีแดงคงตั้งรับเต็มที่ แถมมีอาวุธปืนหลายแบบที่ยึดไปจากทหารมากกว่า 60 กระบอก แม้แต่ปืน Tavor ใหม่เอี่ยมจากอิสราเอล ที่ ทบ. ซื้อมาใช้แทนปืนเอ็ม 16 จึงอาจเกิดการสูญเสียทั้งสองฝ่าย แต่จะจัดการกับกองกำลังติดอาวุธ กลุ่มก่อการร้าย และดำเนินคดีตามกฎหมายกับแกนนำที่ออกหมายจับ ทั้งแบบบนดินและใต้ดิน
บทเรียน 10 เมษายน ทำให้วันนี้ทหารที่ออกปฏิบัติหน้าที่ทุกคนต้องพกอาวุธ มีปืนเอ็ม 16 ติดตัวตามปกติ แถมมีการแจกจ่ายปืนลูกซองและกระสุนจริงไว้สลายม็อบ แทนแก๊สน้ำตาหรือกระสุนยาง ยกเลิกกฎการใช้กำลัง 7 ขั้น ที่หนักกว่านั้นคือ ทหารมีทั้งกระสุน “ลูก 9″ ที่ยิง 9 นัด จะแตกออกเป็น 9 ลูก และ “ลูก 70″ ที่จะแตกออกไป 70 ลูกเล็กๆ ที่สามารถหยุดม็อบแดงให้ร่วงผล็อยได้คราวละมากๆ เลยทีเดียว รวมทั้งการส่งพลซุ่มยิง หรือสไนป์เปอร์ ไปอยู่ตามตึกสูง เพื่อป้องกันกลุ่มก่อการร้ายขึ้นไปยึดพื้นที่รอจังหวะยิงทหารหรือสร้าง สถานการณ์ ทั้งยังปรับกลยุทธ์ด้วยการใช้ทหารนอกเครื่องแบบ พร้อมเข้าปฏิบัติการ
ส่วนนายทหาร ผบ.หน่วย หรือสัญญาบัตร ก็ต้องแต่งตัวให้กลมกลืนกับทหาร สวมเสื้อเกราะและหมวกเหล็ก ราวทำสงครามใหญ่ และปกปิดตัวเอง ไม่ให้ออกสื่อมาก จนคนจำหน้าได้ อันเป็นบทเรียนจากบูรพาพยัคฆ์
หากไม่มี “สัญญาณพิเศษ” หรือคำสั่งพิเศษมายัง พล.อ.อนุพงษ์ เขาก็จะประคองสถานการณ์ไปเรื่อยๆ เพื่อรอให้การเมืองแก้ปัญหากันเอง หรือให้สถานการณ์คลี่คลายด้วยตัวของมันเอง หรือบางทีม็อบสีเหลืองอาจเป็นทางออกในที่สุด เพราะหากต้องยึดพื้นที่ราชประสงค์คืนนั้น ทุกฝ่ายคาดการณ์ว่าต้องมีตายเป็นหลักร้อยหรือหลักพัน บาดเจ็บนับไม่ถ้วน ไม่ต่างจากเหตุนองเลือดที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน แล้วชื่อของ พล.อ.อนุพงษ์ ก็จะถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ที่ดำมืด และเป็น “ตราบาป” ไปตลอดชีวิต
นักการเมืองมาเป็นรัฐบาล ครองอำนาจอย่างมาก 4 ปี แล้วก็ไป แต่ทหาร หากมือต้องเปื้อนเลือด กองทัพจะอยู่อย่างไร นอกเสียจากเป็นจำเลยของสังคม
จึง ไม่แปลกที่จะเกิดข่าวลือ การปฏิวัติรัฐประหาร มาเป็นทางออกสุดท้าย ในเมื่อคำพูดของ ผบ.ทบ. ที่ให้การเมืองแก้ด้วยการเมือง ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้รับการตอบสนอง รัฐบาลคิดแต่จะโยนความรับผิดชอบภาระที่หนักอึ้งมาให้กองทัพ คิดแต่จะแก้ปัญหาการเมืองด้วยการทหาร โดยไม่สนใจว่านายทหารหรือพลทหาร จะตายอีกกี่คน เพราะทหารไม่อาจนั่งบัญชาการจากห้องแอร์ได้อย่างนักการเมือง แต่ต้องลงไปเสี่ยงกับลูกน้องด้วย หรือไม่สนใจว่าเสื้อแดงจะตายอีกกี่คน เพราะไม่ได้มองว่าเป็นประชาชน แต่ทว่าเป็นหนามยอกอก ด้วยการประโคมเรื่อง การก่อการร้ายมาเป็นข้ออ้างในการปราบปราม
“ชัยชนะบนซากศพของประชาชน มันช่างเป็นชัยชนะที่น่าเศร้าใจจริงๆ” บทเรียนแห่ง วอเตอร์ลู หรือ เทียนอันเหมิน มีอยู่แล้ว

โลกทั้งใบ จึงขึ้นอยู่กับ “นาย” คนเดียว พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา


เบื้องหลัง 10 เมษาฯ ถล่ม “บูรพาพยัคฆ์” ฆาตกรมือเปื้อนเลือดที่กุมอำนาจเบ็ดเสร็จวันนี้  (มติชนสุดฯ)