สำหรับการวิเคราะห์เหตุการณ์ในกองทัพ จับกระแสการเปลี่ยนแปลง
เมเนเจอร์ถือว่าเป็นสื่อที่เข้าถึง นำเสนอได้ละเอียด และหลายครั้ง เข้าเป้า
ลองอ่านดูนะครับ แล้วคิดดูว่า ความเป็นไปได้ มีขนาดไหน
แล้วประชาชนและชาติไทย จะได้อะไรจากการเคลื่อนไหวเหล่านี้???
|
|
เมื่อ “บูรพาพยัคฆ์”โยนหินถามทางผ่าน “อุดมเดช” ถึง “บิ๊กเยิ้ม 18 กรกฎาคม 2558 06:18 น.
|
ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -จู่ๆ สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ก็จุดเทียนกลางสายฝน ให้จัดตั้ง “รัฐบาลแห่งชาติ” ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง โดยเชิญทุกพรรคการเมืองเข้าร่วมสังฆกรรมด้วย ทั้งที่รู้ว่า ท่ามกลางความขัดแย้ง ไม่มีพรรคการเมืองใดอยากร่วมสังฆกรรมกับฝ่ายตรงข้าม เพราะต่างฝ่ายต่างกลัวเสียมวลชน และเสียแต้มทางการเมือง จึงวัดใจบรรดาบิ๊กทหารว่า จะเอาบ้าจี้เอาด้วยหรือไม่ เพราะหากดูตามไทม์ไลน์การเมืองแล้ว เมื่อ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายก รัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต้องลาโรงจากคานอำนาจ จะไม่มีอะไรการันตีฐานอำนาจของทหารว่า จะยังแข็งแกร่งเหมือนหรือไม่ โดยเฉพาะทหารสาย “บูรพาพยัคฆ์” มองข้ามช็อต อ่านเกมในใจของ “นายใหญ่” พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีต นายกรัฐมนตรี หากชนะการเลือกตั้ง กลับมามีอำนาจ สิ่งแรกที่ “นายใหญ่” ต้องสังคายนาเพื่อกำจัด “เสี้ยนหนาม” คือ การล้างบางทหารสาย “บูรพาพยัคฆ์” ออกจากขั้วอำนาจกองทัพ เพราะไม่มีทางทื่ “นายใหญ่” จะไว้ใจให้นายทหารสาย “บูรพาพยัคฆ์” อยู่ในฐานอำนาจอีกต่อไป เพราะมีบทเรียนจาก “บิ๊กตู่” ที่รับปากอย่างดี ตีบทเนียนว่า จะไม่ทำรัฐประหาร แต่เมื่อเจอ “ม็อบ กปปส.” ที่นำโดย “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ซึ่งมีสายสัมพันธ์อันดีกันตั้งแต่สมัยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเร้าสถานการณ์ สุดท้ายก็มิวายลากรถถังออกมายึดอำนาจจากอกรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร “นายใหญ่” จำขึ้นใจแล้วว่า ตราบใดที่ยังให้นายทหารสาย “บูรพาพยัคฆ์” อยู่ในแผงอำนาจของกองทัพ โอกาสที่ตัวเองจะถูกยึดอำนาจสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้น เมื่อไม่ไว้ใจและมีบทเรียน ทางเดียวของ “นายใหญ่” คือ ล้างบางและตอนไม่ให้นายทหาร “สายบูรพาพยัคฆ์” ผงาดขึ้นมาอีก ส่วนขั้วทหารสายอื่นๆ ที่จะเลือกขึ้นมาก็จะต้องเป็นประเภทที่ “ไว้ใจ” และสามารถ “คอนโทรล” ได้ หมดยุคเชื่อ หลงคำสัญญา “ลมปาก” หรือ “ประนีประนอม” กับทหารสาย “บูรพาพยัคฆ์” แล้ว ขณะที่ “บิ๊กตู่” และ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เจตนาเดียวที่จะรับข้อเสนอ “รัฐบาลแห่งชาติ” คือ ต้องการจะสืบทอดอำนาจต่อไปเท่านั้น และเป็นการเปิดทางที่เนียนตามากที่สุด ซึ่งหากในภายภาคหน้าที่จะมีการเลือกตั้ง ปรากฏว่า เกิดความวุ่นวายขึ้น ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังเลือกตั้ง และไม่ว่าจะเป็นฝีมือของคนกลุ่มใด “รัฐบาลแห่งชาติ” จะถูกหยิบยกขึ้นมาเพื่อเป็น “ประตูหนีไฟ” ของประเทศทันที เพราะไม่มีทางที่ “บิ๊กตู่” จะลากอำนาจของตัวเองออกไปได้อีกแล้ว หาก “รัฐบาลแห่งชาติ” เกิดขึ้นจริง แม้จะเขียนสวยหรูให้พรรคการเมืองเข้ามาร่วม แต่ไม่ได้ระบุว่า สเปก “คนกลาง” ว่า ใครบ้างที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ และไม่มีทางที่จะให้ “นักการเมือง” มาเป็นผู้นำรัฐบาลแน่นอน เพราะจะยิ่งทำให้สถานการณ์บานปลายกว่าเดิม ควบคุมไม่ได้ ดังนั้น ขั้วอำนาจที่เหมาะสมและตอบโจทย์สถานการณ์ในขณะนั้นได้มากที่สุด ย่อมหนีไม่พ้น “บิ๊กทหาร” อีกเช่นเคย ชื่อที่โดดเด่นที่สุดที่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ เนื่องจากมี “กำลัง - บารมี” เป็นที่นับถือของน้องๆ ในกองทัพ และพรรคการเมืองบางซีกการเมืองที่มีดีลการเมือง และดีลธุรกิจกันตลอดเวลา อีกทั้งสายสัมพันธ์กับผู้นำมวลชน โดยเฉพาะ “กปปส.” ยังอยู่ในขั้น “แนบชิด” ขณะที่สายสัมพันธ์กับ “พรรคสีฟ้า” ก็ไม่ได้ถือว่า เป็นศัตรูกัน เพราะครั้งหนึ่งเคยร่วมหัวจมท้าย สู้ศึกค้ำยันอำนาจ “เดอะมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาแล้วก็คือ “บิ๊กป้อม” แม้ว่าชื่อของ “บิ๊กป้อม” จะขายยาก เพราะไม่เป็นที่ยอมรับจากสังคม เพราะชื่อเสียงหนักไปทางสีดำมากกว่าสีขาว แถมมีบุคลิกมึงมาพาโวย จนยากที่ปันใจให้มานั่งในตำแหน่งผู้นำประเทศได้ แต่ชื่อนี้ก็ปรากฏตามหน้าสื่อทุกครั้งที่มีสถานการณ์พิเศษ และมีการพูดถึง “นายกฯคนกลาง” แม้ภาพลักษณ์จะสู้บรรดาแคนดิเดตคนอื่นๆ เช่น “อานันท์ ปันยารชุน” อดีตนายกรัฐมนตรี “พลากร สุวรรณรัฐ” องคมนตรี ไม่ได้ แต่ด้วยบารมีที่สั่งสมบวกกับคอนเนกชั่นการเมือง ชื่อของ “บิ๊กป้อม” โดดเด่นกว่าทุกคน ที่สำคัญ อย่าลืมว่า ความฝันสูงสุดของ “บิ๊กป้อม” ก็คือ การเดินตามรอยเท้าผู้มากบารมีแห่ง “บ้านน้อยเสา” ดังนั้น ฐานแรกที่จะปูทางให้ “พี่ใหญ่” ได้ก็คือ การก้าวมาเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยตัวเองเพื่อสั่งสมบารมี สร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้หลักผู้ใหญ่ ไต่บันไดขึ้นไปได้อย่างใจหวัง เรื่องการก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในวันใดวันหนึ่งของ “บิ๊กป้อม” ไม่ได้เป็นสิ่งที่มีการมโนกันขึ้นมา หากแต่เจ้าตัวมีการเตรียมพร้อมมาเสมอ หลังเคยถูก “โหรชื่อดัง” ทำนายทายทักว่า จะก้าวขึ้นสู่เก้าอี้เบอร์หนึ่งในรัฐบาล แต่ต้องถือเคล็ดบางอย่าง ตามที่มีการซุบซิบว่า ห้าม “แต่งเมีย” เด็ดขาด แต่อีกชื่อที่มาแรง แต่ยังไม่แซงทางโค้ง นั่นคือ “บิ๊กโด่ง” พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ที่ต้องยอมรับว่า ยังรอวันเป็น ”ดาวฤกษ์” มีแสงในตัวเองเพื่อเฉิดฉายขึ้นมา เพราะปัจจุบันแม้เป็นถึง ผบ.ทบ.คุมกำลังพลอย่างเบ็ดเสร็จ แต่ก็ยอมเป็น “เด็กดี” อยู่ภายใต้ร่มเงาของ “บิ๊กตู่” ด้วยความอยู่ในโอวาทนี้เองที่ทำให้ถูกมองว่าเป็น “หมาก” ที่อาจถูกหยิบขึ้นมาเดินเมื่อไรก็ได้ ตามโปรไฟล์แล้ว “บิ๊กโด่ง” แทบจะไม่มีมลทินให้ขั้วตรงข้ามมาโจมตีได้ ขณะเดียวกัน ยังเป็นนายทหารที่มีอากัปกิริยา “สุขุมนุ่มลึก” ไม่โผงผางเหมือน “บิ๊กตู่ - บิ๊กป้อม” ที่สำคัญ บทจะโหดก็โหดได้ สั่งเฉียบ เป็นพวก “น้ำนิ่งไหลลึก” อย่างกรณี 14 นักศึกษาที่ออกมาเคลื่อนไหว แม้จะเป็นการแก้เกมฝ่ายตรงที่พลาดของรัฐบาล แต่ “บิ๊กโด่ง” ก็เป็นคนที่เห็นดีเห็นงามกับมาตรการดังกล่าว กับ “บิ๊กป้อม” ที่ให้ยกระดับการบังคับใช้กฎหมาย จนนำมาสู่การออกหมายจับ เรื่อง “เฮี๊ยบ” จึงหายห่วง ผู้บังคับบัญชาคนใดสั่งพร้อม “เซย์เยส” ตลอดเวลา แถมพ่วงด้วยผลการปฏิบัติงานที่เกินร้อยเปอร์เซ็นต์เสมอ นอกจากนี้ ยังเป็นน้องที่ดีของ “บิ๊กตู่ - บิ๊กป้อม” ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับพี่ๆ เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด ดังนั้น ตัวเลือกที่จะก้าวเข้าสู่อำนาจใน “รัฐบาลแห่งชาติ” ที่ใครบางคนวางเกมเอาไว้ล่วงหน้า จึงหนีไม่พ้น “บิ๊กป้อม” หรือ “บิ๊กโด่ง” และก็ไม่แปลกที่ “บิ๊กโด่ง” จะออกมาปฏิเสธสยบข่าวทันควันแบบนิ่มๆตามสไตล์ว่า ส่วนตัวไม่เคยคิดที่จะเป็นนายกฯคนกลางอย่างที่เป็นข่าว ทุกวันนี้ตั้งใจทำงานเต็มที่ ขณะนี้ขอยืนยันว่า จะร่วมแก้ปัญหากับนายกฯให้เต็มที่ เมื่อนายกฯใช้อะไรสั่งการอะไรมา แต่คำปฏิเสธของ “บิ๊กโด่ง” ก็ไม่ต่างกับเรื่อง “รัฐบาลแห่งชาติ” ที่มีการปล่อยออกมา เหมือนกับมีคนเขียนบทเอาไว้แล้ว รอแต่ประเมินสถานการณ์ว่า จำเป็นมากพอหรือไม่ หรือจะงัดมาใช้ในช่วงเวลาใด ซึ่งหากดูตามความเชื่อมโยง เริ่มมีกระบวนการปล่อยข่าวในลักษณะ “โยนหินถามทาง” มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น กรณี “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ในฐานะ “พี่รอง” แห่งบูรพาพยัคฆ์ กล่าวกับกำนัน - ผู้ใหญ่บ้านตอนหนึ่งโดยระบุในทำนองว่า หากเกิดความขัดแย้งกันอีก จะวิกฤตถึงขั้นจับอาวุธมาสู้กันแน่ เหมือนเป็นการส่งสัญญาณว่า ขณะนี้สถานการณ์ยังไม่นิ่ง ทุกอย่างที่สงบเป็นแค่ภาพลวงตา สถานการณ์จริงยังมีการปลุกปั่นมวลชนของตัวเอง ฝั่งหนึ่งมีทหารในราชการ แต่อีกฝั่งมีทหารนอกราชการ โดยเฉพาะ “ทหารพราน” ที่เป็นเครื่องมือในการแย่งอำนาจ เหมือนกำลังจะถามต่อสังคมว่า จำเป็นที่จะต้องใช้ คสช.ซุกปัญหาไว้ใต้พรม กดไม่ให้กลุ่มอำนาจเก่าขึ้นมาสร้างความวุ่นวายกันอีก แต่เมื่อใดที่ คสช.วางมือปัญหาความขัดแย้งจะกลับมาแน่ คำพูดของ “บิ๊กป๊อก” เหมือนกำลังจะสื่อว่า ประเทศไทยในวันที่ไม่มี คสช.ความรุนแรงจะกลับมาทันที ในช่วงเวลาเดียวกัน ก็มีการปรากฏตัวของ “บิ๊กเยิ้ม” พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร สมาชิก สปช. เพื่อนรักนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 12 (ตท.12) ของ “บิ๊กตู่” ออกมาปูดข่าวว่า ขณะนี้มี 2 พรรคการเมือง จับมือลงขันเพื่อโค่นล้ม “รัฐบาลบิ๊กตู่” โดยสร้างสถานการณ์ความวุ่นวายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ใช้คนด้ามขวานเป็นกองหน้าและกองหลัง และมีคนภาคเหนือและอีสานเป็นกองกลาง แม้จะดูฟุ้งเฟ้อ โอเวอร์เกินจริง แต่ในเชิงยุทธศาสตร์การข่าวแล้วถือว่า ประสบความสำเร็จ เพราะสามารถวาดภาพให้ประชาชนเห็นได้ว่า “ขั้วตรงข้าม” ยังไม่หยุด และมีการแบ่งกลุ่มมวลชนที่สามารถปลุกปั่นมาโค่นล้มรัฐบาลได้ การออกมาพูดในลักษณะนี้ของ “บิ๊กเยิ้ม” คงไม่ใช่แค่เพียงการพูดเล่น เพื่อให้คนถอนหงอก เพราะรู้ดีว่า หากพูดเกินจริงไปผลเสียจะตกอยู่ที่รัฐบาล ซึ่งหากผลเสียตกกับเพื่อนรัก “บิ๊กเยิ้ม” คงไม่ทำแน่ หากย้อนไปดูแบ็กกราวด์ของ “บิ๊กเยิ้ม” สมัยเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 ได้รับการมอบหมายจาก “บิ๊กตู่” ให้เป็น “นายด่าน” เฝ้าประตูภาคอีสานในช่วงการเลือกตั้งปี 2554 ซึ่งเคยออกมาให้สัมภาษณ์หยาม “ทักษิณ” ว่า ไม่มีทางเอาชนะการเลือกตั้งในพื้นที่ภาคอีสานได้ทั้งหมด “บิ๊กเยิ้ม” ลงทุนเดินเกมลงสำรวจสำมะโนครัวเกือบทุกบ้านถึงเปอร์เซ็นต์ในเลือกตั้ง แล้วกลับมารายงานให้ “บิ๊กตู่” ทราบ แต่ก็ไม่สามารถสกัดกั้นความร้อนแรงในภาคอีสานของ “ทักษิณ” ได้ ที่ผ่านมาจะเห็นว่า ความพยายามในการต่อทอดอำนาจมีหลายครั้ง แต่รูปแบบจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เหมือนการ “โยนหินถามทาง” ว่า กระแสสังคมจะตอบรับหรือไม่ หากไม่ตอบรับข้อเสนอก็จะ “ถอย” เพื่อชงข้อเสนอใหม่ๆ ออกมา โดยใช้ “ตัวแสดงแทน” สลับกันเล่นไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ครั้งที่ “ไพบูลย์ นิติตะวัน” สมาชิกสปช. และกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ออกมา “จุดพลุ” ให้เพิ่มคำถามในการทำประชามติว่า เห็นด้วยหรือไม่กับการปฏิรูปประเทศก่อน 2 ปี แล้วค่อยมีการเลือกตั้ง จนมีทั้งกระแส “ขานรับ” และ “ต่อต้าน” แม้กระทั่งตัว “บิ๊กตู่” ช่วงแรกยังเล่นบทแบ่งรับแบ่งสู้บอกว่า ให้ไปทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมอธิบายให้ต่างชาติเข้าใจ ซึ่งผลของการ “ถามทาง” ของ “ไพบูลย์” นำมาซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 เปิดช่องให้ทำประชามติ และสามารถสอบถามความเห็นของประชาชนในเรื่องอื่นได้ ซึ่งอาจจะเป็นการเปิดช่องให้สอบถามเกี่ยวกับการให้ “บิ๊กตู่” และ “ขุนทหาร” ได้ไปต่อก็ได้ หรือแม้กระทั่ง “วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ” หรือ “โหร คสช.” ที่ “บิ๊กตู่” และ “ขุนทหาร” เคารพนับถือ ยังออกมาทำนายทายทักว่า “บิ๊กตู่” จะได้อยู่ในอำนาจต่ออีกอย่างน้อย 2 ปี เพื่อแก้ปัญหาให้ประชาชน แม้จะออกมาแก้ข่าวเพื่อสยบข่าวลือในภายหลัง แต่การที่ “โหรวารินทร์” เป็นคนวงในระดับอินไซด์ของทหาร ข้อมูลความเป็นไปได้บวกกับเรื่อง “โชคชะตา” ก็ควรจะต้องฟังหูไว้หูเหมือนกัน เพราะเรื่องอำนาจไม่เข้าใครออกใคร จนกระทั่งมาถึงคิวของ “บิ๊กเยิ้ม” ที่ออกมาปูดข่าวลงขัน ซึ่งจะเห็นได้ว่า ตัวละครและห้วงเวลาที่ออกมา มีความเชื่อมโยงอย่างผิดสังเกต จากนี้ต้องติดตาม “หิน” ที่โยนออกจากคนใกล้ชิด “บิ๊กทหาร” หรือคนวงในของ คสช. เพราะทุกย่างก้าวสื่อนัยสำคัญไว้เสมอ และอาจเปลี่ยนเกมได้ตามสถานการณ์เมื่อไหร่ก็ได้ “หิน” นับร้อยที่โยนมาให้สังคมวิพากษ์วิจารณ์ ต้องมีสักประเด็นที่เหมาะสมและมีแรงต้านน้อยที่สุดในการสืบทอดอำนาจของ คสช. ซึ่งเกมที่ คสช.วางไว้ต้องดูระยะยาว เพราะฝั่งตรงข้ามเองก็เตรียมแคมเปญไว้แก้เกมเสมอ อยู่ที่ไทม์มิ่งเท่านั้นว่า จะเข้าทางใครมากกว่า แต่ที่น่าจับตามากที่สุดคือ ความฝันของ “บิ๊กป้อม” ที่ไม่ใช่ความฝันลมๆ แล้งๆ อีกต่อไป ยิ่งมีการออกมาพูดรัฐบาลแห่งชาติมากเท่าไหร่ โอกาสของคน “ตัวเล็ก” ที่จะมีโอกาสได้ “ตัวโต” ก็จะมากขึ้นเท่านั้น เพราะพรรคการเมืองไม่ได้รับประโยชน์จาก “รัฐบาลแห่งชาติ” เลย!!!
| |
|
พิมพ์จาก http://manager.co.th/AstvWeekend/ViewNews.aspx?NewsID=9580000081211 เวลา 18 กรกฎาคม 2558 12:17 น. ผู้จัดการออนไลน์ - Manager Online (http://www.manager.co.th) |