PPD's Official Website

Showing posts with label มาตรา 44. Show all posts
Showing posts with label มาตรา 44. Show all posts

Tuesday, April 7, 2015

แถลงการณ์ สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน เรื่องการใช้อำนาจตามมาตรา 44 แทนกฎอัยการศึก

แถลงการณ์ สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน เรื่องการใช้อำนาจตามมาตรา 44 แทนกฎอัยการศึก
ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ออกคำสั่งที่3/2558 เรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติ โดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 มาตรา 44[1]แทนการใช้กฎอัยการศึก ที่ยกเลิกไปเมื่อวันที่ 1เมษายน พ.ศ. 2558 ที่ผ่านมานั้น

สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนเห็นว่า การประกาศใช้คำสั่งที่ 3/2558ดังกล่าว ที่ให้อำนาจแก่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มีอำนาจเหนืออำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการรวมถึงคำสั่งใดๆที่เกี่ยวเนื่องกับบทบัญญัติข้างต้น ขัดต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจ ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานสำคัญของการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยและขัดต่อหลักการพื้นฐานทางด้านสิทธิมนุษยชนด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

1. การให้อำนาจแก่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีอำนาจเหนือ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ เป็นการรวบอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ขัดต่อหลักนิติรัฐ ที่แบ่งแยกอำนาจเพื่อถ่วงดุล ป้องกันการใช้อำนาจปกครองตามอำเภอใจ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ สิทธิและเสรีภาพของประชาชน อีกทั้งการกำหนดให้การกระทำตามคำสั่งฉบับนี้ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง และกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง ย่อมเป็นการใช้อำนาจโดยความประสงค์หลีกเลี่ยงการตรวจสอบของสถาบันตุลาการที่เป็นอิสระซึ่งทำให้ประชาชนที่ถูกละเมิดสิทธิไม่สามารถใช้สิทธิทางศาลเพื่อตรวจสอบการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ตามคำสั่งดังกล่าว

2. การออกคำสั่งฉบับดังกล่าวเปิดโอกาสให้มีการใช้อำนาจของทหารในฐานะ “เจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย”กระทำการใดๆตามคำสั่งฉบับดังกล่าว เช่น ออกคำสั่งเรียก บุคคล จับกุม ค้น ห้ามการเสนอข่าว ฯ รวมถึงการทำหน้าที่เช่นเดียวกับพนักงานสอบสวน โดยการพิจารณาคดีของพลเรือนในข้อกล่าวหาตั้งแต่มาตรา107 ถึง 112 และมาตรา 113 ถึง 118 ประมวลกฎหมายอาญา และความผิดตามประกาศและคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ยังคงถูกกำหนดให้อยู่ภายใต้เขตอำนาจของศาลทหาร ตาม ประกาศ คสช. ฉบับที่ 37/2557ฉบับที่38/2557และฉบับที่ 50/2557 ซึ่งขัดต่อหลักประกันสิทธิขั้นพื้นฐานและสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมโดยตุลาการที่เป็นอิสระซึ่งได้รับรองไว้ตามปฏิญญาสากลแห่งสหประชาชาติ กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ในหลายๆด้านเช่น สิทธิเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร เสรีภาพของสื่อมวลชน สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพในการชุมนุม และสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งจะมีผลทำให้สิทธิเสรีภาพของประชาชนตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกละเมิดมากยิ่งขึ้นและส่งผลโดยตรงต่อการฟื้นฟูประชาธิปไตยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ดังนั้น สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน องค์กร และบุคคลดังมีรายชื่อท้ายแถลงการณ์ฉบับนี้ ในฐานะที่เป็นนักกฎหมาย ทนายความ และบุคลากรที่ทำงานด้านกฎหมายและสิทธิมนุษยชน มีความห่วงกังวลอย่างยิ่งต่อการใช้อำนาจที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดและละเลยต่อหลักกฎหมายโดยสิ้นเชิง จึงขอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ยกเลิกคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 3/2558 และยุติการใช้อำนาจโดยอาศัยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว)ฯ มาตรา 44 ในการบริหารประเทศเพื่อเป็นหลักประกันว่าสิทธิเสรีภาพของประชาชนจะไม่ถูกละเมิดโดยอำเภอใจจากอำนาจที่ไร้การถ่วงดุลและอยู่เหนือการตรวจสอบ

ด้วยความเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

1. สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส.)

2. สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.)

3. เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมและองค์กรชุมชนภาคใต้

4. นายสมชาย หอมลออ นักกฎหมาย

5. นายไพโรจน์ พลเพชร นักกฎหมาย

6. นายแสงชัย รัตนเสรีวงษ์ ทนายความ

7. นายชัยรัตน์ แสงอรุณ ทนายความ

8. นายถาวร ปิยะวงศ์รุ่งเรือง ทนายความ

9. นายรัษฎา มนูรัษฎา ทนายความ

10. นายสุรศิษฏ์ เหลืองอรัญนภา ทนายความ

11. นายศราวุฒิ ประทุมราช นักกฎหมาย

12. นายสุรชัย ตรงงาม ทนายความ

13. นายสุมิตรชัย หัตถสาร ทนายความ

14. นางสาว ส.รัตนมณี พลกล้า ทนายความ

15. นายสมนึก ตุ้มสุภาพ ทนายความ

16. นางอำพร สังข์ทอง ทนายความ

17. นางสาวเยาวลักษ์ อนุพันธุ์ ทนายความ

18. นางสาวดรุณี ไพศาลพาณิชย์กุล นักกฎหมาย

19. นางสาวปรีดา ทองชุมนุม ทนายความ

20. นางสาวนภาพร สงปรางค์ ทนายความ

21. นายธีรพันธุ์ พันธุ์คีรี ทนายความ

22. นายสงกรานต์ ป้องบุญจันทร์ นักกฎหมาย

23. นางสาวจันทร์จิรา จันทร์แผ้ว ทนายความ

24. นายเลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล ทนายความ

25. นายพนม บุตะเขียว ทนายความ

26. นางสาวคอรีเยาะ มานุแช ทนายความ

27. นางสาวประดิษฐา ปริยแก้วฟ้า นักกฎหมาย

28. นางสาวอัจฉรา สุทธิสุนทรินทร์ นักกฎหมาย

29. นางสาวพุทธิณี โกพัฒน์ตา นักกฎหมาย

30. นางสาวผรัณดา ปานแก้ว ทนายความ

31. นายสนธยา โคตปัญญา นักกฎหมาย

32. นายอภิราชย์ ขันธ์เสน นักกฎหมาย

33. นางสาวโรสนานี หะยีสะแม นักกฎหมาย

34. นางสาววลีรัตน์ ชูวา นักกฎหมาย

35. นางสาวคุ้มเกล้า ส่งสมบูรณ์ ทนายความ

36. นางสาวมนทนา ดวงประภา ทนายความ

37. นางสาววราภรณ์ อุทัยรังษี ทนายความ

38. นางสาวอัญญาณี ไชยชมภู นักกฎหมาย

39. นางสาวภาวิณี ชุมศรี ทนายความ

40. นายธรธรร การมั่งมี นักกฎหมาย

41. นายอับดุลเลาะห์ หะยีอาบู ทนายความ

42. นายกฤษดา ขุนณรงค์ ทนายความ

43. นางสาวพูนสุข พูนสุขเจริญ ทนายความ

44. นางสาวสุพรรษา มะเหร็ม ทนายความ

45. นายดนัยกฤต ศรีคาน นักกฎหมาย

46. นางสาวชันษา สุพรรณเมือง นักกฎหมาย

47. นางสาวอัชฌา สงฆ์เจริญ นักกฎหมาย

48. นางสาวอุมาพร สังขะเลขา นักกฎหมาย

49. นายอัมรินทร์ สายจันทร์ นักกฎหมาย

50. นางสาวสมสกุล ศรีเมธีกุล ทนายความ

51. นายวีรวัฒน์ อบโอ ทนายความ

52. นางสาวอังคณา อนุจร ทนายความ

53. นายนรากร นาเมืองรักษ์ นักกฎหมาย

54. นางสาววราภรณ์ อินทนนท์ นักกฎหมาย

55. นางสาวจันทิมา ตรีเลิศ นักกฎหมาย

56. นายมนตรี อัจฉริยสกุลชัย นักกฎหมาย

57. นางสาวมึดา นาวานาถ นักกฎหมาย

58. นางสาวจริงจัง นะแส นักกฎหมาย

59. นางสาวฐิติวรดา ธรรมพิริยะกุล นักกฎหมาย

60. นายอิสระพงศ์ เวียงวงษ์ นักกฎหมาย

61. นางสาวภัทรานิษฐ์ เยาดำ ทนายความ

62. นางสาวแววตา สาเลศ นักกฎหมาย

63. นายเจษฎา จางจันทร์ ทนายความ

64. นางสาวอชิชญา อ๊อตวงษ์ นักกฎหมาย

65. นางสาวกาญจนา อัครชาติ นักกฎหมาย

66. นายกฤษดา ชีช่วง ทนายความ

67. นายบัณฑิต หอมเกษ นักกฎหมาย

68. นางสาวเฉลิมศรี ประเสริฐศรี นักกฎหมาย

69. นายสุทธิเกียรติ คชโส นักกฎหมาย

70. นางสาวศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ ทนายความ

71. นายสุทธิเกียรติ ธรรมดุล ทนายความ

72. นางสาวมนัญญา พูลศิริ นักกฎหมาย

73. นางสาวอุทุมพร ดวงแก้ว นักกฎหมาย

74. นายวัชระศักดิ์ วิจิตรจันทร์ นักกฎหมาย

75. นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา นักกฎหมาย

76. นางสาวขวัญหทัย ปทุมถาวรสกุล นักกฎหมาย

77. นางสาวมาซีเต๊าะ หมันหล๊ะ นักกฎหมาย

78. นางสาวศิวาพร ฝอดสูงเนิน นักกฎหมาย

79. นายกิตติชัย จงไกรจักร นักกฎหมาย

80. นายอภิสาร ยานุช ทนายความ

81. นางณัฐาศิริ เบิร์กแมน ทนายความ

82. นายสุริยงค์ คงกระพันธ์ ทนายความ

83. นายฐิติรัช สร้อยสุวรรณ นักกฎหมาย

84. นางสาวหนึ่งฤทัย คชสาร นักกฎหมาย

85. นางสาวสุธาทิพย์ อมปาน นักกฎหมาย

86. นางสาวณัฐวดี เต็งพานิชกุล นักกฎหมาย

87. นายสากีมัน เบญจเดชา ทนายความ

88. นายปภพ เสียมหาญ นักกฎหมาย

89. นางสาวปรียาภรณ์ ขันกำเหนิด นักกฎหมาย

90. นางสาวบุศรา สิงหบุตร นักกฎหมาย

91. นายวนวัฒก์ สัมมานิธิ นักกฎหมาย

92. นายอนุชา วินทะไชย นักสิทธิมนุษยชน

93. นางสาวหทัยกานต์ เรณูมาศ

94. นางสาวสิริภาภรณ์ ชื่นศรี

95. นางสาวสุภาภรณ์ มาลัยลอย

96. นางไพรัตน์ จันทร์ทอง

97. นางสาวสิริลักษณ์ ศรีประสิทธิ์

98. นางสาวยลดา ธนกรสกุล

99. นายพนม ทะโน

100. นางศุกาญจน์ตา สุขไผ่ตา

101. นางสาวชนิดาภา ประกายเพชร

102. นายวศิน ไป่ทาฟอง ทนายความ

103. นายพิจิตร์ สุขะยุวนะ ทนายความ

104. นายวิสุทธิ์ ฉันทแดนสุวรรณ นักกฎหมาย

105. นายวณัฐ โคสาสุ นักกฎหมาย

106. นายนนทวุฒิ ราชกาวี นักกฎหมาย

107. นายพร้อมพงษ์ วงศ์ราษฎร์ นักกฎหมาย

108. นางสาวนวศร ลิ่มสกุล นักกฎหมาย

109. นายวิศรุต คิดดี นักกฎหมาย

110. นางสาวอมรรัตน์ คลังกำเหนิด นักกฎหมาย

111. นายอัดฮา โล๊ะมะ อาสาสมัครผู้ช่วยทนายความ

112. นายมาหะมะซูไลนี เต๊ะมาลอ อาสาสมัครผู้ช่วยทนายความ

113. นางสาวนพรักษ์ ยังเอี่ยม นักกฎหมาย

114. นางสาวนิจนิรันดร์ อวะภาค นักกฎหมาย

115. นางสาวศิริกาญจน์ เจริญศิริ นักกฎหมาย

116. นายสิทธิพร ภาศภิรมย์ ทนายความ

117. นายปรีดา นาคผิว ทนายความ

118. นายนัสเซอร์ อาจวาริน ทนายความ

119. นายวรุตม์ บุณฑริก ทนายความ

120. นางสาวจิรารัตน์ มูลศิริ ทนายความ

121. นางสาวลืนหอม สายฟ้า นักกฎหมาย

122. นายวุฒิชัย พากดวงใจ นักกฎหมาย

123. นายจิรวัฒน์ สุริยะโชติชยางกูล นักกฎหมาย

124. นายกิตติศักดิ์ เที่ยงตรง ทนายควม

125. ว่าที่ ร.ต. ชวนันท์ กนกวิจิตรศิลป์ ทนายความ

126. นายอานนท์ ศรีบุญโรจน์ นักวิชาการด้านนักกฎหมาย

127. นายเจษฎา ทองขาว นักวิชาการทางด้านกฎหมาย

128. นางสาวเสาวณีย์ แก้วจุลกาญจน์ นักวิชาการทางด้านกฎหมาย

129. นายทศพล ทรรศนกุลพันธ์ นักวิชาการทางด้านกฎหมาย

130. นายขรรค์เพชร ชายทวีป นักวิชาการทางด้านกฎหมาย

131. รศ.ดร.ณฐพงศ์ จิตรนิรัตน์ นักวิชาการ

132. นายชฤทธิ์ มีสิทธิ์ ทนายความ

แถลงการณ์ สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน เรื่องการใช้อำนาจตามมาตรา 44 แทนกฎอัยการศึก

แถลงการณ์ สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน เรื่องการใช้อำนาจตามมาตรา 44 แทนกฎอัยการศึก
ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ออกคำสั่งที่3/2558 เรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติ โดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 มาตรา 44[1]แทนการใช้กฎอัยการศึก ที่ยกเลิกไปเมื่อวันที่ 1เมษายน พ.ศ. 2558 ที่ผ่านมานั้น

สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนเห็นว่า การประกาศใช้คำสั่งที่ 3/2558ดังกล่าว ที่ให้อำนาจแก่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มีอำนาจเหนืออำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการรวมถึงคำสั่งใดๆที่เกี่ยวเนื่องกับบทบัญญัติข้างต้น ขัดต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจ ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานสำคัญของการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยและขัดต่อหลักการพื้นฐานทางด้านสิทธิมนุษยชนด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

1. การให้อำนาจแก่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีอำนาจเหนือ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ เป็นการรวบอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ขัดต่อหลักนิติรัฐ ที่แบ่งแยกอำนาจเพื่อถ่วงดุล ป้องกันการใช้อำนาจปกครองตามอำเภอใจ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ สิทธิและเสรีภาพของประชาชน อีกทั้งการกำหนดให้การกระทำตามคำสั่งฉบับนี้ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง และกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง ย่อมเป็นการใช้อำนาจโดยความประสงค์หลีกเลี่ยงการตรวจสอบของสถาบันตุลาการที่เป็นอิสระซึ่งทำให้ประชาชนที่ถูกละเมิดสิทธิไม่สามารถใช้สิทธิทางศาลเพื่อตรวจสอบการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ตามคำสั่งดังกล่าว

2. การออกคำสั่งฉบับดังกล่าวเปิดโอกาสให้มีการใช้อำนาจของทหารในฐานะ “เจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย”กระทำการใดๆตามคำสั่งฉบับดังกล่าว เช่น ออกคำสั่งเรียก บุคคล จับกุม ค้น ห้ามการเสนอข่าว ฯ รวมถึงการทำหน้าที่เช่นเดียวกับพนักงานสอบสวน โดยการพิจารณาคดีของพลเรือนในข้อกล่าวหาตั้งแต่มาตรา107 ถึง 112 และมาตรา 113 ถึง 118 ประมวลกฎหมายอาญา และความผิดตามประกาศและคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ยังคงถูกกำหนดให้อยู่ภายใต้เขตอำนาจของศาลทหาร ตาม ประกาศ คสช. ฉบับที่ 37/2557ฉบับที่38/2557และฉบับที่ 50/2557 ซึ่งขัดต่อหลักประกันสิทธิขั้นพื้นฐานและสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมโดยตุลาการที่เป็นอิสระซึ่งได้รับรองไว้ตามปฏิญญาสากลแห่งสหประชาชาติ กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ในหลายๆด้านเช่น สิทธิเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร เสรีภาพของสื่อมวลชน สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพในการชุมนุม และสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งจะมีผลทำให้สิทธิเสรีภาพของประชาชนตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกละเมิดมากยิ่งขึ้นและส่งผลโดยตรงต่อการฟื้นฟูประชาธิปไตยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ดังนั้น สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน องค์กร และบุคคลดังมีรายชื่อท้ายแถลงการณ์ฉบับนี้ ในฐานะที่เป็นนักกฎหมาย ทนายความ และบุคลากรที่ทำงานด้านกฎหมายและสิทธิมนุษยชน มีความห่วงกังวลอย่างยิ่งต่อการใช้อำนาจที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดและละเลยต่อหลักกฎหมายโดยสิ้นเชิง จึงขอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ยกเลิกคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 3/2558 และยุติการใช้อำนาจโดยอาศัยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว)ฯ มาตรา 44 ในการบริหารประเทศเพื่อเป็นหลักประกันว่าสิทธิเสรีภาพของประชาชนจะไม่ถูกละเมิดโดยอำเภอใจจากอำนาจที่ไร้การถ่วงดุลและอยู่เหนือการตรวจสอบ

ด้วยความเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

1. สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส.)

2. สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.)

3. เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมและองค์กรชุมชนภาคใต้

4. นายสมชาย หอมลออ นักกฎหมาย

5. นายไพโรจน์ พลเพชร นักกฎหมาย

6. นายแสงชัย รัตนเสรีวงษ์ ทนายความ

7. นายชัยรัตน์ แสงอรุณ ทนายความ

8. นายถาวร ปิยะวงศ์รุ่งเรือง ทนายความ

9. นายรัษฎา มนูรัษฎา ทนายความ

10. นายสุรศิษฏ์ เหลืองอรัญนภา ทนายความ

11. นายศราวุฒิ ประทุมราช นักกฎหมาย

12. นายสุรชัย ตรงงาม ทนายความ

13. นายสุมิตรชัย หัตถสาร ทนายความ

14. นางสาว ส.รัตนมณี พลกล้า ทนายความ

15. นายสมนึก ตุ้มสุภาพ ทนายความ

16. นางอำพร สังข์ทอง ทนายความ

17. นางสาวเยาวลักษ์ อนุพันธุ์ ทนายความ

18. นางสาวดรุณี ไพศาลพาณิชย์กุล นักกฎหมาย

19. นางสาวปรีดา ทองชุมนุม ทนายความ

20. นางสาวนภาพร สงปรางค์ ทนายความ

21. นายธีรพันธุ์ พันธุ์คีรี ทนายความ

22. นายสงกรานต์ ป้องบุญจันทร์ นักกฎหมาย

23. นางสาวจันทร์จิรา จันทร์แผ้ว ทนายความ

24. นายเลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล ทนายความ

25. นายพนม บุตะเขียว ทนายความ

26. นางสาวคอรีเยาะ มานุแช ทนายความ

27. นางสาวประดิษฐา ปริยแก้วฟ้า นักกฎหมาย

28. นางสาวอัจฉรา สุทธิสุนทรินทร์ นักกฎหมาย

29. นางสาวพุทธิณี โกพัฒน์ตา นักกฎหมาย

30. นางสาวผรัณดา ปานแก้ว ทนายความ

31. นายสนธยา โคตปัญญา นักกฎหมาย

32. นายอภิราชย์ ขันธ์เสน นักกฎหมาย

33. นางสาวโรสนานี หะยีสะแม นักกฎหมาย

34. นางสาววลีรัตน์ ชูวา นักกฎหมาย

35. นางสาวคุ้มเกล้า ส่งสมบูรณ์ ทนายความ

36. นางสาวมนทนา ดวงประภา ทนายความ

37. นางสาววราภรณ์ อุทัยรังษี ทนายความ

38. นางสาวอัญญาณี ไชยชมภู นักกฎหมาย

39. นางสาวภาวิณี ชุมศรี ทนายความ

40. นายธรธรร การมั่งมี นักกฎหมาย

41. นายอับดุลเลาะห์ หะยีอาบู ทนายความ

42. นายกฤษดา ขุนณรงค์ ทนายความ

43. นางสาวพูนสุข พูนสุขเจริญ ทนายความ

44. นางสาวสุพรรษา มะเหร็ม ทนายความ

45. นายดนัยกฤต ศรีคาน นักกฎหมาย

46. นางสาวชันษา สุพรรณเมือง นักกฎหมาย

47. นางสาวอัชฌา สงฆ์เจริญ นักกฎหมาย

48. นางสาวอุมาพร สังขะเลขา นักกฎหมาย

49. นายอัมรินทร์ สายจันทร์ นักกฎหมาย

50. นางสาวสมสกุล ศรีเมธีกุล ทนายความ

51. นายวีรวัฒน์ อบโอ ทนายความ

52. นางสาวอังคณา อนุจร ทนายความ

53. นายนรากร นาเมืองรักษ์ นักกฎหมาย

54. นางสาววราภรณ์ อินทนนท์ นักกฎหมาย

55. นางสาวจันทิมา ตรีเลิศ นักกฎหมาย

56. นายมนตรี อัจฉริยสกุลชัย นักกฎหมาย

57. นางสาวมึดา นาวานาถ นักกฎหมาย

58. นางสาวจริงจัง นะแส นักกฎหมาย

59. นางสาวฐิติวรดา ธรรมพิริยะกุล นักกฎหมาย

60. นายอิสระพงศ์ เวียงวงษ์ นักกฎหมาย

61. นางสาวภัทรานิษฐ์ เยาดำ ทนายความ

62. นางสาวแววตา สาเลศ นักกฎหมาย

63. นายเจษฎา จางจันทร์ ทนายความ

64. นางสาวอชิชญา อ๊อตวงษ์ นักกฎหมาย

65. นางสาวกาญจนา อัครชาติ นักกฎหมาย

66. นายกฤษดา ชีช่วง ทนายความ

67. นายบัณฑิต หอมเกษ นักกฎหมาย

68. นางสาวเฉลิมศรี ประเสริฐศรี นักกฎหมาย

69. นายสุทธิเกียรติ คชโส นักกฎหมาย

70. นางสาวศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ ทนายความ

71. นายสุทธิเกียรติ ธรรมดุล ทนายความ

72. นางสาวมนัญญา พูลศิริ นักกฎหมาย

73. นางสาวอุทุมพร ดวงแก้ว นักกฎหมาย

74. นายวัชระศักดิ์ วิจิตรจันทร์ นักกฎหมาย

75. นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา นักกฎหมาย

76. นางสาวขวัญหทัย ปทุมถาวรสกุล นักกฎหมาย

77. นางสาวมาซีเต๊าะ หมันหล๊ะ นักกฎหมาย

78. นางสาวศิวาพร ฝอดสูงเนิน นักกฎหมาย

79. นายกิตติชัย จงไกรจักร นักกฎหมาย

80. นายอภิสาร ยานุช ทนายความ

81. นางณัฐาศิริ เบิร์กแมน ทนายความ

82. นายสุริยงค์ คงกระพันธ์ ทนายความ

83. นายฐิติรัช สร้อยสุวรรณ นักกฎหมาย

84. นางสาวหนึ่งฤทัย คชสาร นักกฎหมาย

85. นางสาวสุธาทิพย์ อมปาน นักกฎหมาย

86. นางสาวณัฐวดี เต็งพานิชกุล นักกฎหมาย

87. นายสากีมัน เบญจเดชา ทนายความ

88. นายปภพ เสียมหาญ นักกฎหมาย

89. นางสาวปรียาภรณ์ ขันกำเหนิด นักกฎหมาย

90. นางสาวบุศรา สิงหบุตร นักกฎหมาย

91. นายวนวัฒก์ สัมมานิธิ นักกฎหมาย

92. นายอนุชา วินทะไชย นักสิทธิมนุษยชน

93. นางสาวหทัยกานต์ เรณูมาศ

94. นางสาวสิริภาภรณ์ ชื่นศรี

95. นางสาวสุภาภรณ์ มาลัยลอย

96. นางไพรัตน์ จันทร์ทอง

97. นางสาวสิริลักษณ์ ศรีประสิทธิ์

98. นางสาวยลดา ธนกรสกุล

99. นายพนม ทะโน

100. นางศุกาญจน์ตา สุขไผ่ตา

101. นางสาวชนิดาภา ประกายเพชร

102. นายวศิน ไป่ทาฟอง ทนายความ

103. นายพิจิตร์ สุขะยุวนะ ทนายความ

104. นายวิสุทธิ์ ฉันทแดนสุวรรณ นักกฎหมาย

105. นายวณัฐ โคสาสุ นักกฎหมาย

106. นายนนทวุฒิ ราชกาวี นักกฎหมาย

107. นายพร้อมพงษ์ วงศ์ราษฎร์ นักกฎหมาย

108. นางสาวนวศร ลิ่มสกุล นักกฎหมาย

109. นายวิศรุต คิดดี นักกฎหมาย

110. นางสาวอมรรัตน์ คลังกำเหนิด นักกฎหมาย

111. นายอัดฮา โล๊ะมะ อาสาสมัครผู้ช่วยทนายความ

112. นายมาหะมะซูไลนี เต๊ะมาลอ อาสาสมัครผู้ช่วยทนายความ

113. นางสาวนพรักษ์ ยังเอี่ยม นักกฎหมาย

114. นางสาวนิจนิรันดร์ อวะภาค นักกฎหมาย

115. นางสาวศิริกาญจน์ เจริญศิริ นักกฎหมาย

116. นายสิทธิพร ภาศภิรมย์ ทนายความ

117. นายปรีดา นาคผิว ทนายความ

118. นายนัสเซอร์ อาจวาริน ทนายความ

119. นายวรุตม์ บุณฑริก ทนายความ

120. นางสาวจิรารัตน์ มูลศิริ ทนายความ

121. นางสาวลืนหอม สายฟ้า นักกฎหมาย

122. นายวุฒิชัย พากดวงใจ นักกฎหมาย

123. นายจิรวัฒน์ สุริยะโชติชยางกูล นักกฎหมาย

124. นายกิตติศักดิ์ เที่ยงตรง ทนายควม

125. ว่าที่ ร.ต. ชวนันท์ กนกวิจิตรศิลป์ ทนายความ

126. นายอานนท์ ศรีบุญโรจน์ นักวิชาการด้านนักกฎหมาย

127. นายเจษฎา ทองขาว นักวิชาการทางด้านกฎหมาย

128. นางสาวเสาวณีย์ แก้วจุลกาญจน์ นักวิชาการทางด้านกฎหมาย

129. นายทศพล ทรรศนกุลพันธ์ นักวิชาการทางด้านกฎหมาย

130. นายขรรค์เพชร ชายทวีป นักวิชาการทางด้านกฎหมาย

131. รศ.ดร.ณฐพงศ์ จิตรนิรัตน์ นักวิชาการ

132. นายชฤทธิ์ มีสิทธิ์ ทนายความ

Friday, April 3, 2015

คำต่อคำ ประยุทธ์ แก้ตัวเรื่องการใช้ ม. 44 ว่าอย่างไร?

คำต่อคำ : คืนความสุขให้คนในชาติ 27 มีนาคม 2558 (เครดิต manager)
       
       สวัสดีครับ พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่าน ก่อนอื่นผมในนามของรัฐบาล และประชาชนชาวไทย ขอแสดงความเสียใจอย่างที่สุดกับพี่น้องประชาชนชาวสิงคโปร์ ที่้ต้องสูญเสียเอกบุรุษ คนของประเทศไปในช่วงเวลานี้ ฯพณฯ นายลี กวน ยู อดีตนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาผู้ก่อตั้งประเทศสิงคโปร์สมัยใหม่ ได้ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
       
       ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี ที่ท่านดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ ท่านได้ใช้วิสัยทัศน์อันยาวไกลของท่านนำพาความเจริญรุ่งเรือง ความมั่งคั่ง และความมั่นคงทางเศรษฐกิจ มายังประเทศสิงคโปร์ ทำให้ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำที่โดดเด่นมากที่สุดคนหนึ่งของโลก ผมมั่นใจว่า ฯพณฯ นายลี กวน ยู ยังคงจะได้รับการจดจำว่าเป็นผู้นำที่สร้างแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของเอเชียอีกด้วย ซึ่งผมก็จะได้เดินทางไปเคารพศพท่านในวันอาทิตย์นี้
       
       เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ผมและคณะได้เดินทางไปประเทศบรูไนอย่างเป็นทางการ ซึ่งในโอกาสนี้ได้เข้าเฝ้าฯ รับเสด็จ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไน อย่างใกล้ชิดทั้งคณะ ถือว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระองค์ได้พระราชทานวโรกาสนี้ โดยสมเด็จพระราชาธิบดีได้ถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ให้ทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง ดังนั้น ได้มีการหารือทวิภาคีในหลายประเด็นที่สำคัญ อันได้แก่การกระชับความร่วมมือทางด้านการค้า การลงทุน มีการลงนามกรอบความร่วมมือด้านการเกษตรกรรม การกระชับความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล
       
       นอกจากนั้น ได้มีการหารือกันถึงความสำคัญของความมั่นคงทางด้านราคาสินค้าการเกษตรที่ตกต่ำ ในกลุ่มประเทศอาเซียน เราเป็นแหล่งอาหารสำคัญของโลก รวมทั้งในเรื่องของการแก้ปัญหาไฟป่าในภูมิภาคอาเซียน การปลูกป่าอาเซียนด้วย สำหรับเรื่องการศึกษานั้นรัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ผมได้แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบาย และพัฒนาการศึกษา เพื่อทำหน้าที่เป็นซูเปอร์บอร์ดด้านการศึกษา ในการร่วมกันหารือและขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการศึกษาของ คสช. และรัฐบาล สำหรับการดำเนินงานของของโครงการนี้ มุ่งเน้นใน 3 ภารกิจหลัก คือ 1. การดำเนินงานตามภารกิจประจำ 2. การดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล 3. การดำเนินงานสำหรับการวางรากฐานเพื่อส่งต่อไปยังรัฐบาลในอนาคต ทั้งนี้ จะดำเนินการในด้านการศึกษา การปรับหลักสูตร การพัฒนาคุณภาพครูและนักเรียน การยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา การใช้จ่ายงบประมาณและการกระจายอำนาจ เน้นให้มีนักวิชาการและนักปฏิบัติโดยพิจารณาตามแนวทางการดำเนินงานจากต่างประเทศมาปรับใช้ตามความเหมาะสม ซึ่งผมได้มอบหมายให้หน่วยงานและผู้ที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติ พิจารณาดำเนินการและนำเสนอต่อผมในโอกาสต่อไป ทั้งนี้ เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศที่ตอบสนองต่อความคาดหวังของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม ในที่ประชุมได้มีการแสดงความคิดเห็นกันแล้วสรุปว่าเห็นตรงกัน ว่าการพัฒนาการการศึกษานั้น ต้องมีความสอดคล้องกับการพัฒนาในพื้นที่ด้วยเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ เพื่อกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคด้วยไม่ใช่ไปรวมอยู่ตามเมืองใหญ่ๆหรือในกรุงเทพฯ อย่างเดียว รวมถึงต้องมีการบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การศึกษาทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยมีการประเมินผลทางการพัฒนาทางการศึกษาในประเทศและเปรียบเทียบกับต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จ
       
       ทั้งนี้ ต่อไปเรากำลังเข้าสู่การมีเศรษฐกิจดิจิตอล ก็จะนำมาสนับสนุนการพัฒนาทางการศึกษานี้ด้วย โดยอาศัยครูที่มีประสบการณ์ อาจจะมีการเรียนการสอนที่นักเรียนชอบ และทำให้เข้าใจได้ง่าย ซึ่งวันนี้ก็สอนอยู่ตามโรงเรียนกวดวิชาเป็นจำนวนมาก ก็จะนำมาช่วยด้วย ขอร้องกัน ให้มาช่วยกันใช้ความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ เผยแพร่ผ่านทางเทคโนโลยีสารสนเทศ น่าจะได้รับความสนใจจากประชาชนที่อยู่ทางบ้าน พ่อแม่ลูกจะนั่งฟังด้วยกันก็ได้ เป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์ในครอบครัวด้วย
       
       อีกอันหนึ่งที่ผมเห็นเป็นประโยชน์เกี่ยวกับเรื่องการสอนทางโซเชียลมีเดีย หรือทางระบบดิจิตอล ผมว่าเราต้องสอนให้คนรู้จักว่าเราจะใช้ประโยชน์อย่างไร ถ้าเราใช้ในทางที่ผิด แล้วก็ไปคาดหวังกับระบบอย่างเดียวโดยไม่สนใจครู ไม่สนใจผู้ปกครอง มันก็ไม่ได้นะ เพราะมันเป็นเรื่องของการพัฒนาการของสังคม ท่านก็อยู่คอมพิวเตอร์อย่างเดียวไม่ได้ ก็ฝากไว้ด้วย
       
       ในส่วนของการพัฒนาเผยแพร่เทคโนโลยีสารสนเทศนั้น ก็จะต้องกำหนดการพัฒนาเส้นทางอาชีพของครูในกลุ่มนี้ ปัญหาคือครูอาจจะไม่เพียงพอ แล้วก็สอนไม่ตรงวุฒิการศึกษาที่จบมา ตอนนี้ต้องสั่งให้ไปเตรียมการและดำเนินการแก้ไขให้ได้โดยเร็ว ครูเก่า ครูใหม่ อะไรยังไง ผมสั่งไปหมดแล้วนะ แล้วก็จะได้สร้างแรงจูงใจ
       
       การสอนโดยใช้สื่อดิจิตอลนั้น จะเป็นสื่อการสอนที่มีความสำคัญในการขยายโอกาสทางการศึกษาที่มีคุณภาพเข้าสู่พื้นที่ ลดความเหลื่อมล้ำการเข้าถึงการศึกษา
       
       สำหรับการดำเนินการในระยะต้นที่ผ่านมานั้น เราได้ทำมาแล้ว โดยให้กระทรวงศึกษาธิการเพิ่มเติมในเรื่องของการใช้การศึกษาทางไกลผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศ (DLIT) เพิ่มเติม เป็นการผลิต เป็นศูนย์กลางในการผลิตสื่อสารการสอนโดยครูที่เก่ง ครูที่ได้รับความนิยมเหล่านี้ เพื่อจะเผยแพร่ให้โรงเรียนในสังกัดอย่างแพร่หลาย คือ เพิ่มเติมสาระต่างๆ สำคัญ เพื่อเติมไปจากในส่วนของโครงการทางไกลผ่านดาวเทียมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความหลากหลาย ให้เกิดความที่ช่วยกันพัฒนาสนใจร่วมมือกัน มันน่าจะเป็นสิ่งที่ดีนะครับ
       
       นอกจากนั้น ได้มีการหารือแนวทางที่จะผนวกการพัฒนาการศึกษา เข้ากับเงื่อนไขของการส่งเสริมการลงทุน คือลงทุนต่างประเทศ ถ้าเราสามารถที่จะร่วมมือกันกับในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ และในเขตภูมิภาค การเข้าให้เขามาดูแลในส่วนของมหาวิทยาลัย วิทยาลัยต่างๆ เป็นลักษณะเป็นทวิภาคี ผมว่ามันน่าจะใช้ได้ ตอนนี้ก็คิดแล้ว และสั่งการไปพิจารณาดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ให้สอดคล้องกันระหว่างโครงการภาครัฐขนาดใหญ่ และการเปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษในแต่ละภูมิภาคด้วย จะเป็นแหล่งการจ้างงานที่สำคัญ เราควรจะให้ผู้ประกอบการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนนั้นได้มีข้อตกลง ทำความร่วมมือจัดการศึกษาแบบทวิภาคี หรือสหกิจศึกษา รวมทั้งส่งเสริมการอบรมแรงงานฝีมือ วิศวกร ช่างเทคนิคต่างๆ ซึ่งเราขาดแคลนเป็นจำนวนมาก เพื่อจะรองรับโครงการที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ดังกล่าวด้วย สำหรับการศึกษาระดับอาชีวศึกษา คณะกรรมการเห็นว่า จะต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับความก้าวหน้าของโลกสมัยใหม่ ที่ต้องการผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่หลากหลาย อาชีวะต้องดูแนวโน้มการผลิตคนให้สอดคล้อง อะไรขาด อะไรเกิน มันต้องมีลิมิตและควบคุมให้ได้ ทั้งนี้ ควรดูต่างประเทศเช่นเดียวกันประเทศที่ประสบความสำเร็จในการจัดการศึกษามาเป็นกรณีศึกษา เช่น สิงคโปร์จะมี The Institute of Technical Education (ITE) ซึ่งเป็นสถาบันที่จัดการศึกษาสำหรับผู้ต้องการทักษะทางการช่างและช่างฝีมือ สำหรับการศึกษาระดับอุดมศึกษานั้นที่ยังมีปัญหาในการจัดหลักสูตร และบุคลากรในการสอน และก็ขาดงานวิจัยในการพัฒนาที่นำไปใช้ประโยชน์ได้จริง รวมทั้งมหาลัยในภูมิภาคที่การเรียนการสอนเหมือนกัน โดยไม่คำนึงถึงการสนับสนุน การพัฒนาในภูมิภาคนั้นๆ คือตรงกับความต้องการในพื้นที่ และเห็นว่ามีความจำเป็นต้องปฏิรูปการศึกษาอุดมศึกษาด้วย เพื่อผลิตคนให้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ ซึ่งโครงการใดใดก็ต้องช่วยยกระดับมหาลัยในประเทศ เพิ่มการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศในการเรียนการสอนด้วย
       
       และอีกเรื่องหนึ่งผมได้กล่าวไว้ในงานปาฐกถาพิเศษในหัวข้อการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันการค้าในประเทศไทยนั้น ว่าการทำให้อุตสาหกรรมไทยเข้มแข็งต่อไปอย่างยั่งยืน ภาครัฐ-ภาคเอกชนต้องร่วมมือกัน วันนี้รัฐบาลได้ทำให้ประเทศกลับมาสงบสุข สถานการณ์ต่างๆ ที่ไม่ดีก็ชะลอลงตามลำดับ แต่ก็ยังคงมีประชาชนที่ไม่เข้าใจอยู่ โดยเฉพาะประชาชนที่ได้รับผลกระทบต่อธุรกิจสินค้าที่ไม่ค่อยถูกกฎหมายในประเทศที่ถูกลดจำนวนลง ทำให้ประชาชนส่วนนี้ขาดรายได้รัฐบาลเห็นใจ แต่ประเทศก็ต้องมีการจัดระเบียบ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีความเป็นธรรมกับคนอื่นที่เขาทำถูก ต้องลดความเหลื่อมล้ำ ถ้าเราปล่อยต่อไป อาจจะต้องหาทางว่าจะทำอย่างไรให้เขามีที่ทำกิน มีที่ค้าขาย กำลังทำอยู่ ต้องยอมรับกันบ้าง เพราะท่านทำอยู่มันผิด วันหน้าถ้ามันเข้มแข็งได้อะไรได้ มันจะได้เข้าสู่การพัฒนาตนเอง เพิ่มความก้าวหน้าในหลักการเศรษฐกิจพอเพียงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถ้าเริ่มลงทุนมันต้องมีภูมิคุ้มกัน พอมีรายได้มากมายพอ มันก็สามารถช่วยเหลือประเทศชาติได้ ภาษีมันก็มีโอกาสที่จะเสียภาษีได้ อย่าหนีจากระบบภาษีนะครับ ผมอยากให้ทุกคนมีหมายเลขการเสียภาษีทุกคน แต่ไม่ได้หมายความว่า จะไปเก็บทุกคน ปัญหาที่ผมทราบขณะนี้ก็คือ หลายคนไม่อยากจะมีหลักฐานทางภาษี นี่จะทำอย่างไร อย่าตำหนิรัฐบาลอย่างเดียว เราคิดทุกมิตินะครับว่า เขาจะไม่เดือดร้อนอย่างไร เราจะช่วยเหลือเขาได้อย่างไร เราจะจัดกลุ่มคนเดือดร้อนมาก เดือดร้อนน้อย คนยากจนได้อย่างไร ปรากฏว่ามันไม่ได้ เพราะว่าฐานข้อมูลมันไม่มี และประชาชนหลายส่วนไม่ยอมเข้าในระบบ ไม่ต้องกลัว ถ้าท่านมีรายได้น้อย ใครจะไปเก็บภาษีท่านได้ ภาษีมันต้องเก็บตามรายได้ ที่มันมีอยู่ตามกะเกณฑ์ ถ้าไม่ถึงมันก็เก็บไม่ได้ อย่าหาว่าผมไปรีดเลือดกับท่าน มันเป็นการวางอนาคต วันหน้ามันต้องให้ทุกคน ถ้าเข้าระบบภาษีได้ คือทุกคนมีงาน มีอาชีพ มีรายได้ที่เพียงพอ ถึงวันนั้นมันน่าจะต้องเตรียมการความพร้อมตั้งแต่บัดนี้ ไม่ใช่ว่าถ้าหนีไปเรื่อยๆ มันไม่ได้นะครับ
       
       อีกเรื่องหนึ่ง ขณะนี้รัฐบาลกำลังเร่งทำเศรษฐกิจชุมชน ที่มันเป็นตลาดภายในประเทศ ในทุกภูมิภาค ทุกจังหวัด เป็นลักษณะให้เกษตรกรมาขายสินค้า ให้กับประชาชน ผมเคยพูดไปหลายครั้งแล้วนะ ช่วยกัน ไปดูหน่อย ไปอุดหนุนหน่อย มีสัก 2,000 แห่งแล้วตอนนี้ มันเดินหน้าไปแค่ไหน ไปได้ยังไง ถ้าหากว่าขายสินค้าแล้วมันมีการให้พี่น้องเอาอย่างอื่นมาได้มั้ย ของเก่า ของใช้แล้ว ของอะไรที่มันอาจจะไม่มีความจำเป็นในการใช้ของเรา แต่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น ซีดีเก่า อะไรเก่า เหล่านี้ มันเป็นการเผื่อแผ่แบ่งปัน กระติกน้ำร้อนเก่า วิทยุเก่า อะไรที่เราไปซื้อขนาดดีมาแล้ว ของเก่าทิ้งไว้หลังบ้าน มาบริจาคให้คนในพื้นที่เขาซะ มันจะสร้างความรักความสามัคคี
       
       ในส่วนของเกษตรกรวันนี้ก็ยังอยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วง เพราะราคาผลิตผลมันตกต่ำ มันคงจะต้องแก้ไขระบบให้ได้โดยเร็ว นี่ก็กำลังเตรียมการเพื่อจะช่วยเหลือดูแลในขอบใหม่ว่าจะทำยังไง ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรฯ ไปหารือกันอยู่ ในเรื่องของต่างประเทศผมก็พูดคุยกับท่านพระราชาธิบดีบรูไนด้วย บอกขอให้ช่วยตรงนี้ด้วย ในฐานะที่ท่านเป็นผู้นำอาวุโสสูงสุดในอาเซียน จะทำยังไงอาเซียนจะพูดคุยกันได้ในเรื่องของการจำหน่ายขายสินค้า เพราะถ้าแข่งขันกันเองทั้งหมด มันยิ่งไปไม่ได้ทั้งหมด ราคาก็ตกไปเรื่อยๆ เรื่องข้าว เรื่องยาง อะไรก็แล้วแต่ เราต้องรวมกลุ่มให้ได้ ทุกประเทศ ไม่ใช่แค่ 2 - 3 ประเทศ ทุกประเทศที่มีการปลูกยาง ปลูกข้าว เพราะเราไม่ใช่คู่แข่งขันกันแล้ว วันนี้เราเป็นพันธมิตร หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์
       
       สำคัญก็คือ ขอฝากให้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้สนับสนุนการดำเนินการในสิ่งใหม่ๆ ที่ผมกล่าวไปแล้วด้วย เรื่องนี้ภาครัฐกับภาคเอกชนนั้นจะต้องดำเนินการร่วมกัน ตั้งแต่การเริ่มต้นแก้ไขปัญหา รับทราบปัญหาร่วมกัน ทำงานสอดประสานช่วยเหลือเกื้อกูลกัน โดยให้มีการสร้างห่วงโซ่ ห่วงโซ่ทางอาหาร ห่วงโซ่เศรษฐกิจสีเขียว อุตสาหกรรมสีเขียว ให้มันต่อเนื่องเชื่อมโยงชุมชน ท้องถิ่น ภูมิภาค ประเทศ อะไรทำนองนี้ ไม่สร้างอะไรที่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม อันนี้เป็นประเด็นที่โลกให้ความสำคัญอยู่ และให้มีความเชื่อมโยงกันเพื่อจะแลกเปลี่ยนสินค้า เดินทาง สัญจรไปมา การท่องเที่ยวไปได้หมด เพราะเราเชื่อมโยงกันอยู่แล้ว เขาพูดว่า วันหน้าโลกเราจะไร้พรมแดน รวมทั้งต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยี วิจัย วิเคราะห์ พัฒนา
       
       วันนี้ให้มีการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับเรื่องวิจัยและพัฒนาของไทย รู้สึกจะมีอยู่หลาย เป็นพันๆ อย่าง ที่จะไปที่หัวหิน รับรายงานว่าคนสนใจ เราจะได้อธิบายเขาว่าเอสเอ็มอีเรามีการสนับสนุนอย่างไรให้เป็นรูปธรรม ถ้าทุกคนไปบ่นอย่างเดียว ผมติดตามมาเยอะแล้วเรื่องของการพูดคุยเรื่องเศรษฐกิจของประเทศไทย พยายามจะอธิบายแต่บางครั้งการรับรู้ยังไม่ได้ จะเห็นในหนังสือพิมพ์ต่างๆ จะมีนายกสมาคมผู้ประกอบการต่างๆ ไปบ่น บอกว่ารัฐบาลยังไม่เห็นทำอะไรเลย ก็เสียใจนะ
       
       เมื่อวานนี้ผมไปบรูไน เลยให้ท่าน พล.อ.ประวิตร เป็นคณะขับเคลื่อนของผมอยู่แล้ว ไปพบปะเขาดู ปรากฏว่า ท่านก็ถามว่าต้องการอะไร อยากให้รัฐบาลทำอะไร เขาพูดในสิ่งที่เราทำไปแล้ว แสดงว่าการรับรู้ไมได้เลย ยังมีปัญหาอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกฎหมาย เรื่องข้อบังคับ ปลดล็อกไปตั้งเยอะตั้งแยะ ตั้งแต่ระเบียบบีโอไอใหม่ ตั้งแต่การส่งเสริมการลงทุน สิทธิประโยชน์ และเกี่ยวกับเรื่องลดขั้นตอน ศูนย์ติดต่อ One Stop Service ในแต่ละธุรกิจ ก็ขอให้กระทรวง ช่วยไปหน่อย เพราะผมพูดหลายครั้งแล้ว ท่านก็บอกว่าท่านส่งต่อ ท่านก็ประชาสัมพันธ์ไปแล้ว แต่มันยังไม่ถึง ผมไม่รู้ว่ามันติดอยู่ตรงไหน ข้อสำคัญก็คือผู้ประกอบการเหล่านั้นต้องติดตามว่ารัฐบาลเขาทำอะไรไปแล้ว ท่านก็ไปที่กระทรวงก็ได้ ไปถามก็ได้ ผมก็พูด รัฐมนตรีก็ออกมาพูด หน่วยงานก็ออกมาพูดแต่ท่านไม่ฟัง ไปตำหนิติเตียนพวกเราในหนังสือพิมพ์
       
       วันนี้ทำทุกอย่าง ที่ผ่านมาทำน้อยนะ ฉะนั้นขอให้เข้าใจกันบ้าง อย่ามาบ่นอีก เมื่อท่านบ่นแล้ว มันก็ทำให้ความมั่นใจ การค้าลงทุนในประเทศก็ตกลงไป เพราะไม่มั่นใจในสถานภาพ ไม่เชื่อมั่นรัฐบาล ทั้งที่รัฐบาลบอกแล้วว่ามีปัญหาตรงนี้ ก็จะแก้ให้ ท่านไม่เข้าใจ พอท่านพูด มันก็ไม่มีใครกล้าลงทุน ไม่มีความเชื่อมั่น ซึ่งผมต้องการแก้ตรงจุดนี้อยู่แล้ว ซึ่งทำไปแล้ว แต่ท่านบอกว่าไม่ได้ทำ แบบนี้ไม่ได้ เสียหาย แล้วมันทำให้ทั้งประเทศปั่นป่วนไปหมด สื่อก็ไปขยายความไปใหญ่โต แล้วท่านจะให้ใครมาเชื่อมั่น พวกเรากันเองยังไม่รู้เลย ยังไม่เชื่อมั่นเลย ผมก็พูดจนไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว พูดทุกอย่างอยู่แล้ว ฟังหน่อย กรุณาฟังหน่อย อย่าติอย่างเดียว ถ้าท่านพูดดี เพราะเราทำ ผมไม่ได้ให้ท่านไปโกหก ถ้าเราทำแล้วท่านพูดให้ผมหน่อย ว่ารัฐบาลดี เขาทำตรงนี้ ตรงนี้เขายังไม่ดี ผมก็ได้ข้อเสนอแนะ ให้รัฐบาลเขารับไป พูดอย่างนี้เขาเรียกว่าติเพื่อก่อ เข้าใจหรือเปล่า แต่ถ้าติทุกเรื่องไป อย่างนี้ไม่ใช่ สร้างศัตรู
       
       ​เรื่อง “ชุมชนเข้มแข็ง” รัฐบาลให้ความสำคัญมาก หมายความว่าชุมชนที่มีขีดความสามารถในการใช้ศักยภาพของตนเอง เข้าแก้ไขจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชนได้ ฉะนั้นต้องเป็นชุมชนที่มีผู้นำที่มีความสามารถ มีการเรียนรู้ร่วมกันอย่างต่อเนื่อง มีพื้นฐานของจริยธรรม วัฒนธรรม ความเชื่อทางศาสนา และเศรษฐกิจในพื้นที่ จะทำให้คนในชุมชนสามารถพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันได้ โดยส่วนหนึ่งอาจได้รับความร่วมมือการสนับสนุนจากรัฐบาล ราชการ อีกส่วนคือองค์กรภายนอก พ่อค้า นักธุรกิจต่างๆ อาจจะต้องมาช่วยกันเสียสละ ว่าเราจะดูแลคนยากคนจนเหล่านี้อย่างไร รัฐบาลไปไม่ถึงทั้งหมดเพราะเงินก็มีเท่านี้ จำกัด ต้องใช้มากมาย ปัญหาก็มาก เพราะฉะนั้นถ้าทุกคนช่วยกันเสียสละรับผิดชอบตรงนี้ตรงนั้น ชุมชนนี้ ชุมชนนั้น ผมว่านี่คือสังคมไทยในอดีต น่าจะทำได้แต่วันนี้ อย่าไปหวังกำไรเต็มที่ เหมือนเดิมต้องกำไรเท่าเดิม ทุกคนบอกว่าเศรษฐกิจตกเพราะ จริงๆ แล้วผมถามว่าท่านขาดทุนหรือไม่ ท่านก็ไม่ขาดทุน ขาดทุนก็เล็กน้อย ก็เพียงแต่ลดกำไรลงไปหน่อยได้ไหม ผมพูดหลายครั้งแล้ว ถ้าไม่อย่างนี้คนก็ไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย แถมพูดให้ไม่เกิดความเชื่อมั่นอีก อันนี้เป็นสิ่งที่ผม บางครั้งผมก็อาจจะใช้คำพูดที่แรงไปบ้างขอโทษนะครับ แต่ก็เสียใจ เสียใจที่ไม่ฟัง เพราะฉะนั้นในทุกจังหวัดมันจะต้องพึ่งพาอาศัยกันได้ และเป็นชุมชนเข้มแข็งในจังหวัดตัวเอง และเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคที่เรามีงบประมาณลงไปในเรื่องของกลุ่มจังหวัด เงินงบประมาณรัฐไปหลายทาง ทำไมถึงไม่เจริญซักที ผมก็ไม่เข้าใจ ในปัจจุบันก็มีหมู่บ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม ร้านค้าเพิ่มมากขึ้นในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษที่จัดตั้งมันจะมากขึ้น ในไม่ช้าความเจริญจะเข้ามาแผ่ขยายในพื้นที่ รอบๆ เหล่านั้นจะเป็นการสร้างอาชีพให้ได้ แต่ต้องใช้เวลาไง แรงงานก็ใช้จากนอกพื้นที่บ้าง ในพื้นที่บ้าง
       
       เพราะฉะนั้นทำอย่างไรวันนี้ท่านต้องเตรียมความเข้มแข็งของชุมชนเหล่านี้ ให้พร้อมรับการเจริญเติบโต พร้อมรับกับการขยายทั้งคน ทั้งโรงงาน แน่นอนถ้าท่านไม่ขยายเหล่านี้มันก็การค้า การลงทุนในพื้นที่ของท่านมันก็น้อย เศรษฐกิจมันก็ไม่เคลื่อนไหว ถ้าเราจะอยู่กับธรรมชาติอย่างเดียวมันก็ได้ ท่านก็ต้องจัดสัดส่วนว่า อะไรมันอยู่ตรงไหน คนจะอยู่อย่างไร เท่าไร มันจะได้เสริมกัน วันนี้การท่องเที่ยวมีบทสำคัญ ค้าขายอย่างเดียวมันอาจจะไม่ได้
       
       เพราะฉะนั้นต่างจังหวัด ถ้ามันมีสถานที่ท่องเที่ยวด้วย มีการค้าเป็นแต่ละจังหวัด แต่ละภูมิภาคที่ตัวเองสามารถทำให้ดีที่สุด เหมือนกับทำโอท็อปอะไรเหล่านี้ มันจะเป็นชื่อเสียงของจังหวัด มันจะได้ไม่กลั่นแกล้งกัน และไปหาตลาดที่รัฐบาลพอจะจัดกลุ่มให้ได้ อย่างเช่นบางอย่าง ผมบอกลองไปดูขายบนเครื่องบินได้ไหม ถ้าเราไม่ทำแบบนี้มันไปหาตลาดเสริมกัน ผลิตอย่างเดียวมันจะไปขายใคร ไม่ได้หรอก มันก็ไม่ถึง และก็มาบอกรัฐบาลไม่ทำอย่างนี้ รัฐบาลนี้จะทำให้โอท็อปมันสามารถที่จะเข้าสู่การผลิตให้ได้ ท่านก็ต้องไปสร้างความเข้มแข็ง อยากให้ทุกคนอยู่กันท่ามกลางความแตกต่างในอนาคตให้ได้ เพราะอาจจะมีคนนอกพื้นที่ไปอยู่ในพื้นที่ของท่าน เพื่อไปทำงาน เพื่อไปทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น เพราะฉะนั้นทุกคนมีคุณค่าในตัวเอง อย่าไปดูถูกซึ่งกันและกัน มีศักยภาพต่างกันไป รวยบ้าง รายได้มาก รายได้น้อย ทำยังไงจากหลายๆ สาขาอาชีพ จากหลากหลายพื้นที่จะมาอยู่รวมกันโดยที่มีความเข้มแข็ง สามัคคีกัน ร่วมมือกันให้ได้เพื่อจะร่วมกันพัฒนา ร่วมกันแก้ไขปัญหาท้องถิ่นของตนเอง และในเรื่องของเศรษฐกิจต่างๆ ก็ดีขึ้น แต่ถ้าเราไม่สร้างความเข้มแข็งตรงนี้ไว้ก่อน เวลามีเกิดภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติ มันจะมีปัญหามาก ต่างคนก็ต่างอยู่ ไม่ร่วมมือกัน บ้านติดกันไม่คุยกัน ที่ผ่านมาก็มีเรื่องการเมืองเข้ามาอีก มันทำให้มีปัญหาหมด เวลามีการเลือกตั้งนายกเทศมนตรี ท้องถิ่น สมาชิกสภาท้องถิ่น ก็จะพบว่ามีคนจากภายนอกเข้ามาอยู่ใหม่ เช่นในหมู่บ้านจัดสรร ในพื้นที่ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรท่าน เพียงแต่ว่าเท่าที่ได้รับรายงานมา มักไม่ค่อยมาใช้สิทธิ เพราะท่านมาจากข้างนอก เพราะฉะนั้นการกระจายอำนาจ การมอบหมายความรับผิดชอบมันไม่เกิดผลสัมฤทธิ์ เพราะต่างคนต่างอยู่ ฉะนั้นสังคมชนบทมันอีกแบบหนึ่งนะ การสร้างชุมชนเข้มแข็งมันไม่ยากหรอกครับ ก็เป็นความร่วมมือกันระหว่างผู้คนในชุมชนเองอย่างแท้จริง เหมือนเรื่องปรองดองนะ ทุกคนต้องมีใจอยากปรองดอง ไม่ใช่ถูกบังคับให้ปรองดอง มีกฎหมายให้ปรองดอง เอ๊ะ มันต้องใช้กฎหมายในทุกเรื่องเลยหรือไง ท่านต้องมีจิตใจเองสิครับว่าบ้านเมืองมันเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่ปรองดองกันผมก็ไม่รู้จะทำยังไง บังคับท่านไม่ได้ อย่ามาพูดกันเรื่องนี้อีก แล้วก็ต้องต่อเนื่องเลยนะการทำของท่านน่ะ เนี่ย เขาเรียกว่าการกระจายอำนาจ กระจายความรับผิดชอบ กระจายหน้าที่ แล้วสิทธิมันก็จะตามมา เพราะว่ามันเข้มแข็งแล้วไง
       
       หัวใจสำคัญของการมีชุมชนเข้มแข็ง ก็คงต้องใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง บางคนบอกว่า เอ๊ะ รัฐบาลนี้บอกว่าใช้เศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใช้อะไรเลย เศรษฐกิจ ท่านไปดูซิว่าความหมายของเศรษฐกิจพอเพียงคืออะไร ท่านอาจจะมองว่าเศรษฐกิจพอเพียงนี้คือทำให้มันดีขึ้นอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ท่านไปดูความหมายซิว่ามันคืออะไร ผมเห็นเมื่อ 2-3 วันนี้ ในบางสื่อ บางคอลัมนิสต์เขียนออกมา ว่าที่เศรษฐกิจไม่ดีเพราะไม่นำเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผมบอกแล้วว่ารัฐบาลนี้เอาแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มาเป็นหลักการในการทำงาน ผมเคยพูดตั้งแต่ต้น ไปดูคำพูดเก่าๆ ได้ว่า มันมีอยู่ 3 ห่วง 2 เงื่อนไข มีมากใช้มาก มีน้อยใช้น้อย ย่อๆ มีความรู้ มีคุณธรรม มันถึงจะเข้มแข็ง เมื่อเข้มแข็งแล้วทำอย่างที่ผมว่าเมื่อกี้ เศรษฐกิจมันก็จะดีขึ้น ไม่ใช่ทุกคนจะต้องเป็นเถ้าแก่หมดทุกคน มันเป็นไปไม่ได้ อันไหนดีก็ไปก่อน อันไหนยังไม่ดีก็มีภูมิคุ้มกันไง หาความรู้ ดูเขา เมื่อพร้อมเราก็ก้าวอีกเหมือนกัน เป็นเถ้าแก่ระดับ 2 อะไรทำนองนี้ หาเงินหาทอง ดูตัวอย่างเขา นี่คือหลักการเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใช่ให้ประหยัด ไม่ใช่ให้อดออมนะ เข้าใจซักที ไม่อย่างนั้นทุกคนบอกว่า รัฐบาลใช้เศรษฐกิจพอเพียง อีกพวกบอกว่า สอนให้คนอดออม มันคนละเรื่อง อันนั้นเป็นเรื่องการออม อันนี้เป็นเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียง เศรษฐกิจพอเพียงใช้ได้ทุกอย่าง การดำรงชีวิตก็ได้ การจับจ่ายใช้สอยก็ได้ การผลิตก็ได้ ต้องเข้มแข็งก่อน ถึงจะลงทุนให้มากขึ้น ถ้ายังไม่เข้มแข็งก็ทำให้ดีขึ้น แก้ปัญหาให้ได้ และมีพอกินแล้ว แลกเปลี่ยนกัน จากนั้นก็ไปขาย จากขายก็ไปตั้งโรงงาน มีปัญหาทางเศรษฐกิจ เงินทอง อย่างเช่นตอนนี้บางอันไปไม่ไหวก็ต้องหยุดรอไว้ก่อน มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าโลกมันตกต่ำแล้วไม่ได้
       
       เพราะฉะนั้นมันจะเกิดขึ้นด้วยการลงทุนจากต่างประเทศ ลงทุนโดยพ่อค้ารายใหญ่ ซึ่งหลายคนเขาพร้อมจะลงทุน เรื่องรถยนต์ก็กระเตื้องขึ้น ผมจะไม่พูดเรื่องเก่า ไอ้คำว่าที่ผมบอกต้องมีการพัฒนา ผมไม่ได้ให้เกิดวันนี้ ผมพูดให้คนคิดตามผมว่า อนาคตวันหน้าอาจจะ 20 ปี 30 ปี ก็ได้ ที่มันอาจจะใช้พลังไฮโดรเจน หรือใช้แสงแดดกับรถ หรือไฟฟ้าทั้งหมด เราต้องเตรียมไปสู่ตรงโน้น วันนี้เรามีโครงการก็ทำไปสิครับ มีโครงการผมไม่ว่า จะทำกี่ก็ทำไป แต่มันต้องมีเตรียมการไว้ตรงนั้น เขาเรียกว่า นั่นแหละคือภูมิคุ้มกัน ผมพูดภูมิคุ้มกันไม่ใช่วันนี้ มีบางคนบอกว่า ผมพูดทำให้การค้าร่วงตกต่ำ ต่างประเทศไม่เชื่อมั่น วันนี้ผมเชิญเขามาเลย มาสร้างโครงการ 2 3 4 5 ก็ทำไปสิ แต่ท่านก็ต้องมีส่วนหนึ่งที่คิดค้นคว้าวิจัย และใครจะมาทำ วันหน้าโลกเขาเปลี่ยน ท่านจะไม่มีอีกหรอ ไม่มีความรู้เลย ขุดเจาะน้ำมันก็เหมือนกัน เจาะเองทำเองสำรวจเองก็ยังไม่พร้อมซักอย่าง แต่ไม่ได้ ไม่เข้าใจ ชอบอะไรล่ะ ดูหนังเหมือนดูไม่จบเรื่อง แล้วก็วิจารณ์หนังที่พูด ไม่รู้จะลงทุนไปทำไม พวกทำหนังก็เสียใจ
       
       เพราะฉะนั้นก็อยากจะนำมาเล่าให้พี่น้องประชาชนฟัง เรื่องสหกรณ์เกษตรพิมายเป็นตัวอย่าง จ.นครราชสีมาผมเคยไปเยือนมาแล้ว สหกรณ์นี้ตั้งมากว่า 40 ปีแล้ว เริ่มจากสมาชิกกว่า 2,000 คน วันนี้มีสมาชิกกว่าหมื่นคน มี 11,000 คน 80% ของเกษตรกรในพื้นที่มีหลายกิจกรรม คือผมเร่งจากการเกษตรทั้งหมด มีเงินทุนมากถึง 350 ล้าน มีสินทรัพย์กว่า 1,000 ล้านบาทในปัจจุบัน อีกตัวอย่างที่ผมพบคือ การที่ให้จัดกิจกรรมในทำนองที่ว่า เมืองนี้ฉันรัก We Love Cities ของกองทุนสัตว์ป่าโลก เป็นกิจกรรมที่ได้เชิญชวนให้เมืองต่างๆ รอบโลก เข้าร่วมในการสร้างความยั่งยืน ช่วยกันประหยัดพลังงาน โดยคณะกรรมการจะพิจารณามาตรการต่างๆ รวมถึงพันธสัญญาของเมือง ได้จากรายงานที่แต่ละเมืองจัดทำขึ้น เพื่อคัดเลือกเป็นเมืองต้นแบบของแต่ละประเทศสำหรับรางวัล “National Earth Hour Capital” ซึ่งจะมีการมอบรางวัลวันที่ 9 เมษาฯ นี้ ที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ และที่ประทับใจ อันนี้เป็นการคัดเลือกโดยต่างชาติ ต่างประเทศ ประเทศไทยของเรามีเมืองได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมกิจกรรมนี้ถึง 3 เมืองด้วยกัน น่าภูมิใจไหมล่ะครับ เทศบาลนครหาดใหญ่ จ.สงขลา เทศบาลนครขอนแก่น จ.ขอนแก่น และเทศบาล ต. จ.ชุมพร และเทศบาล ต.มาบอำมฤต จ.ชุมพร เป็น 3 ใน 44 เมือง จาก 16 ประเทศทั่วโลก ที่ได้รับการคัดเลือกเข้ารอบสุดท้าย จากทั้งหมด 163 ประเทศ เข้าไปได้แค่นี้ผมก็ดีใจแล้ว แต่อีกกี่เมือง นี่ 3 จังหวัดเอง เรามีตั้ง 77 ทำอย่างไร 76 + กทม. ใช่ไหม ไปดูซิ แต่ละเมืองจะมีวิธีการจัดการเมืองอย่างยั่งยืนแตกต่างกันไป หากใครริเริ่มการมีส่วนร่วมของเทศบาล ชุมชน โรงเรียน เรามีทั้งหมด อาทิ ในเรื่องของการใช้พลังงานกับการผลิตกระแสไฟฟ้าจากมูลสัตว์ขยะ การฟื้นฟูป่าชายเลน ป่าไม้ การผลิตพลังงานชีวภาพจากน้ำมันที่เหลือใช้ ระบบการจัดการขยะ แยกขยะ และการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ น่าสนใจนะครับ
       
       เพราะฉะนั้นผมอยากให้ผู้นำชุมชนที่สนใจ ที่ท่านอยากจะกระจายอำนาจ ไปดูก่อนว่า ท่านทำได้อย่างนี้หรือเปล่า ถ้าทำได้ ผมว่ามันไม่มีปัญหา จะทำอย่างไรก็ได้ วันหน้า วันนี้ยังไม่พร้อมหรอก กระจายความรับผิดชอบกันก่อน ให้ได้ก่อน ให้เห็นถึงความเชื่อมั่น เพราะเราต้องใช้เงินจำนวนมาก ขอให้ไปดู ศึกษารายละเอียดข้อมูล ถ้าใครยังไม่ทำอย่างที่ว่า ก็แสดงว่ามันไม่มีการพัฒนา แล้วเราก็จะถูกบริหารจัดการโดยการเมืองทั้งสิ้น วันนี้มี 2 เรื่องที่คนสนใจ หนึ่ง เศรษฐกิจไม่ดี สอง เลือกตั้ง ผมไม่เห็นว่ามันจะทำให้ดีขึ้นเท่าไรเลยนะ เรื่องเลือกตั้งก็แล้วแต่ท่านแล้วกัน ผมก็บอกไปหลายที ถ้าเลือกมาแล้วมันดีกว่าเดิมก็เอา ก็ทำเถอะ ถ้ามันไม่ดีกว่าเดิม ใครจะมาช่วยท่าน ไม่มีแล้ว ไม่รู้จะว่าไง เพราะฉะนั้นช่วยกันโหวตให้เมืองเหล่านี้ด้วยนะ คือยังไม่ได้ตัดสินใช่มั้ย ตอนนี้เป็นการเสนอเข้ามารอบแรก รอบสุดท้ายที่เขาเลือกมีเข้า 3 จังหวัด ขอให้ทุกคนช่วยไปโหวต ลงคะแนนให้ทางเว็บไซต์ welovecities ไปอ่านแล้วก็ทำตามนั้น นี่น่าสนใจ ได้ทราบจากสื่อสร้างสรรค์เรื่องการส่งเสริมสถาบันการเมืองชุมชน อันนี้คือตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
       
       สร้างเครือข่ายสัจจะสะสมทรัพย์ จ.จันทบุรี และสถาบันการเงินชุมชนสุขสำราญของ อบต.ลับล่อ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร ก็สามารถช่วยเหลือชาวนาในพื้นที่ห่างไกลให้มีเงินทุนหมุนเวียนอย่างเพียงพอในการประกอบอาชีพ ไม่ต้องพึ่งยืมเงินนอกระบบ ส่งเสริมให้คนในชุมชนรู้จักอดออม มันจะเล็กจะน้อย จะกี่บาทไม่รู้ ทำบัญชีครัวเรือนให้ได้ มันเป็นหนี้อยู่ก็ไม่เป็นไร จะได้รู้ว่าที่เป็นหนี้อยู่ มันใช้อะไรที่เกินจำเป็นมั้ย มีเหตุผลมั้ย พอประมาณมั้ย แล้วเราก็หยุดใช้ตรงนั้นไปหน่อย อย่างน้อยหนี้มันก็ลดลง ไม่ได้สร้างหนี้ใหม่ เพราะหนี้ที่ผ่านมานั้นอาจจะมีความจำเป็นบ้าง ไม่จำเป็นบ้าง ก็ธรรมดาครับ มนุษย์ก็อยากจะซื้อความสะดวกสบายบ้าง แต่ถ้าเราทำแล้วเรามีปัญหา เราก็ต้องลดลงนะ การใช้จ่ายเหล่านั้น อย่างวันนี้ทุกคนก็เป็นกังวลกับคำว่าหนี้ครัวเรือน ซึ่งสูงขึ้น มันคงไม่ใช่เลวร้ายทั้งหมดนะ เพราะการที่จะไปกู้หนี้ยืมสินจากใครเขาได้ แสดงว่าตัวเขาต้องพร้อมที่จะสามารถใช้หนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร อะไรต่างๆ มันก็ต้องมีหลักมีฐานไปกู้เขา เว้นแต่ไปกู้เงินนอกระบบ อันนั้นเราออกกฎหมายไปช่วยท่านแล้ว พ.ร.บ. ทวงถามหนี้ แล้วเจ้าหน้าที่ทุกคนก็พร้อมที่จะเข้าไปดูแล ให้มาบอก แต่ในเรื่องของหนี้ครัวเรือนผมเห็นบางประเทศมีหนี้ครัวเรือนกว่า 200 กว่าเปอร์เซ็นต์ ของเราเท่าไหร่ 89 - 90 ก็พูดกันไปจนมันร้ายแรงไปหมด ทุกคนก็ต้องมีหนี้นะ ผมคิดว่า ถ้าไม่ได้เกิดมาเป็นลูกท่านหลานเธอ ไม่มีมรดก มันก็ต้องเป็นหนี้มั้ง ในการที่จะมีอะไรสักอย่าง เพราะมันซื้อไม่ได้ ต้องผ่อน ต้องอะไร วันนี้ผมไม่อยากให้สังคมมองเรื่องนี้อย่างเดียว พอมองเรื่องเงิน ทุกคนก็อยากจะได้เงิน ไม่ว่าจะผิดหรือถูกก็อยากได้เงิน ทุกคนใช้อะไร นับถือหน้าตาด้วยเงินทอง ฐานะทางเศรษฐกิจเป็นหลัก ไม่ใช่นะ ความเป็นคนมีศีลธรรม มีคุณธรรม มีธรรมาภิบาล นั่นล่ะเป็นสิ่งที่ควรได้รับความเคารพนับถือ คนเหล่านี้เขาอาจจะไม่ได้อะไรมากนัก แต่การที่เขาทำตนเป็นคนดี แต่เขาได้กุศล ทางศาสนาก็ตอบแทนด้วยความสุขในอนาคตนะ คนร่ำรวยแล้วไม่ทำ สิ่งตอบแทนบางทีทำผิดมากๆ ก็มีคดีความ ติดคุก อะไรก็ว่ากันไป นั่นล่ะเขาเรียกว่าตอบแทน เพราะฉะนั้นขอให้ช่วยกันจัดสวัสดิการตอบแทนให้กับชุมชน แล้วนำดอกเบี้ยนั้นมาเป็นสวัสดิการให้ชาวบ้าน ทั้งเรื่องการรักษาพยาบาล ทุนการศึกษา บุตรหลานในชุมชนของท่าน ท่านทำเองได้ทั้งหมด แต่ท่านไม่ค่อยทำกัน รอ อบต. จะทำมั้ย อบจ. จะทำหรือเปล่า จังหวัดจะทำมั้ย รัฐบาลจะเอาเงินมาช่วยเมื่อไหร่ ท่านก็มีเงินกัน เพราะฉะนั้นท่านก็เก็บเล็กเก็บน้อย คนละ 5 บาท 10 บาท สมัยก่อนเขาเรียกอะไร ธนาคารชุมชน ก็เหมือนกับธนาคารอาหาร ธนาคารข้าว ก็แบบเดียวกัน อดออมกัน ตั้งสมาชิกขึ้นมา 50 บาท 10 บาท ลงไปก่อน วันหน้าก็เป็น 10 บาท วันต่อไปก็ 100 บาท เงินมันก็มากขึ้นๆ ดูแลคนได้มากขึ้น ไม่เริ่มต้นมันจะไปได้อะไร มัวแต่รอนี่รอนู่น พอไม่ได้ก็โทษมาโน่นมานี่ ไม่ได้ คิดแบบนี้ไม่ได้ ประเทศที่เขาเจริญเขาเลิกคิดไปแล้ว เขาไม่มารอหวัง ให้ประเทศชาติไปพัฒนา ใหญ่ๆ เล็กๆก็ต้องช่วยตัวเองบ้าง เงินทองรัฐก็สนับสนุนบ้าง สร้างอำนวยความสะดวก หาโอกาสให้ ต่างประเทศเขาไปกันหมดแล้ว เรายังต้องมานั่งช่วยเหลือค่าการเกษตร ค่าอะไรต่างๆ แล้วผมถามว่า ที่ผ่านมาการบริหารบ้านเมืองทำอะไรกันมา
       
       ผมว่าวันนี้คิดใหม่ให้หมด ประชาชนต้องร่วมมือกับผม ไม่ใช่จะต้องได้วันนี้ พรุ่งนี้ มันไม่ได้หรอก เพราะมันไม่เข้มเข็งไง ไม่ได้เตรียมพื้นฐานไว้เลย ก็ทำเป็นชิ้นๆมาแบบนี้ ก็เป็นอยู่แบบนี้ เข้าใจซะทีนะ ฉะนั้นนอกจากในเรื่องนี้แล้วก็จะมีการจัดทีมงานลงพื้นที่ด้วย แล้วไปตรวจสอบดูว่า อะไรที่เขาควรจะต้องปรับปรุง อะไรที่ควรจะสนับสนุน ทุกกระทรวงทุกหน่วยงาน สหกรณ์ จังหวัด มีทุกหน่วยงาน แต่ท่านทำงานให้มันได้ผล มีประสิทธิภาพด้วย อยู่ต่างจังหวัดแล้วทำไปๆไม่ได้ วันนี้ต้องช่วย รัฐบาลทำแทบตาย แล้วท่านไม่ไปทำ ไม่ไปช่วยทุ่มเท ให้รัฐมนตรีก็ไม่ได้ ท่านอยู่กับประชาชน ฉะนั้นถ้าประชาชนเรียกร้องขึ้นมาว่า ข้าราชการจังหวัดนี้ จังหวัดนั้นทุจริต ผมจะต้องจัดการนะ อย่าหาว่าผมไปขู่ท่านเลย แต่ไม่ไหว ถ้าปล่อยไปเรื่อยๆ แล้วมันไม่เกิดอะไรขึ้นมาเลย ที่อื่นทำไมเขาทำได้ ทำไมที่นี่ไม่ทำไม่มีผลงาน ไม่มีอะไรปรากฏ คนดีๆ อย่าเสียใจ เสียกำลังใจไม่ได้นะ
       
       การผลิตปุ๋ยต้องทำอย่างไร ปุ๋ยอินทรีย์นะ ขายกันเองภายในกลุ่ม ตั้งธนาคารปุ๋ย ธนาคารเมล็ดพันธุ์พืช ทำจุลินทรีย์ ทำของใช้ที่จำเป็น แจกจ่ายในชุมชน ลดค่าใช้จ่าย บอกตรงๆช่วงนี้เงินมันไม่ดีนะ อย่าเพิ่งไปซื้อของข้างนอกเลย มันแพง เราเอามาทำ อะไรที่จำเป็นต้องใช้ ตะกร้า กระเป๋าอะไรก็ทำไปก่อน พอวันหน้ามันดีขึ้น มีรายได้มากขึ้นค่อยไปซื้อแพงๆ นี่เขาเรียกว่ามีภูมิคุ้มกันไง ต้องเข้าใจนะ
       
       วันนี้ถ้าหากว่ามันเป็นไปได้ผมเห็นมีหลายพื้นที่นะมีการลงทุนกัน แล้วไปซื้อที่เก็บไว้ แล้วให้ชาวบ้านในพื้นที่มีที่ทำกิน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เพราะไปแจกทุกคนคงทำไม่ได้ ลักษณะเป็นนารวม พื้นที่รวม ทางการเกษตรและแบ่งปันกัน รายได้ภายในชุมชน และสร้างสถาบันการเงินให้เข้มเเข็ง เด็กๆคนในพื้นที่เรียนจบก็อยากจะกลับมาทำงานในชุมชนที่มันมีอนาคต ฉะนั้นพ่อแม่ผู้ปกครองช่วยกันนะ เหมือนกับการทำงานในเมือง มันต้องมีรายได้ และอดออม มีภูมิคุ้มกัน เมื่อไหร่จะเดินหน้า เมื่อไหร่จะหยุด รอก่อน
       
       ผู้ริเริ่มโครงการเหล่านี้ผมขอชื่นชมทุกคน ผมอาจจะกล่าวได้ไม่หมด หลายจังหวัดหลายพื้นที่ หลายอำเภอ หลายหมู่บ้าน หลายจังหวัด มีอีกเยอะ เขาไม่บ่นอะไร เพียงแต่ว่าเขาสร้างความเข้มแข็ง และผมเห็นในทีวีแล้วสะท้อนใจ คนเหล่านี้ทำไมเขาไม่บ่นอะไรเลย ทำไมเขายังต้องช่วยกัน เขาไม่มาด่าว่า บ่นรัฐบาลเลย เพราะอะไร เขาก็เป็นเกษตรกรเหมือนกัน เขาบอกวันนี้เป็นแบบนี้เราจะต้องช่วยกันนะ เราเป็นคนไทย ผมฟังเขาพูดผมน้ำตาตกเหมือนกันนะ กับอีกพวก บ่นทั้งวัน เศรษฐกิจไม่ดี รัฐบาลเข้ามาทำให้เกิดปัญหา ไปดูว่ามันเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมก็กำลังทำให้อยู่ ฉะนั้นช่วยกัน ขยายให้ทุกชุมชนด้วย
       
       เรื่องแรงงานประมง วันนี้อาจจะมีหลายท่านไม่เข้าใจ ว่ามันมีปัญหามายาวนานพอสมควร เป็นสิบๆปี ในเรื่องของปัญหาการค้ามนุษย์ ผมเลยมอบหมายให้ พล.อ.ประวิตร ซึ่งรับผิดชอบตั้งแต่แรกกับผม ช่วยดำเนินการในการขับเคลื่อนทางนี้ ในภาพรวมก็อยากจะเรียนว่าเราได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งพนักงานไปที่เกาะเบนจินา และหารือกับฝ่ายอินโดนีเซียเพื่อจะเร่งผู้ดำเนินการกับผู้กระทำความผิด คนไทยที่ไปถุกจับที่โน้น ที่ข่าวออกมาเป็นจำนวนมากหลายร้อยคน เราไม่ได้นิ่งนอนใจก็ทยอยทำมาเรื่อยนะ เพราะคนเหล่านี้ไปกระทำความผิดในประเทษศเขาใช่ไหม และทุกคนก็เป็นเหยื่อต้องถูกหน่วยสิทธิมนุษยชนเขามาดู องค์กรระหว่างประเทศมาดูแล้วประเทศต้องรับผิดชอบ ท่านต้องมาบอกเราว่าที่ไหนแนะนำตรงไหนเพิ่มเติมเราจะได้ช่วยได้ ผมทราบว่าบางทีไปทำงานและถูกจับไปแล้วผู้ประกอบการไม่สนใจเรือมีตั้งหลายลำก็จับไป ไปเสียค่าไถ่ก็ไม่ยอมเสีย ลูกเรือก็ไม่ช่วยโอนให้รัฐบาลดูสิ เหมือนครั้งที่แล้ว 5 ปีถูกจับไปที่โซมาเลีย แล้วพึ่งกลับมา เหมือนกับตายไปแล้วเกิดใหม่นะ เพราะฉะนั้นถ้าเรายังมีการเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์อยู่แบบนี้ ผมกำหนดไปแล้วว่า ไม่สมควรให้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการใดๆ อีกต่อไปในประเทศไทย และต้องได้รับโทษทางกฎหมาย คือต้องเข้มงวดกัน ฉะนั้นเจ้าหน้าที่ก็ต้องถูกติดตามประเมินผลด้วย ไม่ว่าจะประมง กรมเจ้าท่า อะไรต่างๆ เหล่านี้ ทั้งหมดเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องทำให้ครบจดทะเบียน ติดเครื่องมือ และแก้ปัญหาในเรื่องของการทำประมงร่วม Joint Venture กับประเทศโน้นประเทศนี้ ผมก็เดินหน้าเรื่องนี้มาโดยตลอด วันนี้ก็เตรียมตัวทำ Joint Venture กับอินโดนีเซีย มีปลามาก แต่เราชอบเข้าไปตรงที่เขาไม่ให้เข้า แล้วมาบอกว่าก็ขอให้ยกเว้นหน่อยแล้วกัน เพราะว่าเป็นอาชีพเขารายได้น้อย แล้วกฎหมายอยู่ตรงไหน ประเทศเขาก็มีกฎหมาย ถ้าผมอนุโลมท่าน ไม่จับกุมไม่ดำเนินคดี ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย แล้วท้ายที่สุดจะเกิดอะไรขึ้น ท่านรู้ไหม เรื่องสินค้าประมงเขาจะมีมาตรการไม่ให้เราขาย วันนั้นผมบอกว่า 2 แสนกว่าล้านบาท ไม่ใช่ 2 แสนกว่าล้านตัน ท่านไม่จับให้ตรง ผมพูดเสียงดัง ถ้า IUU ที่เราผิดอยู่นี่ทั้งหมด ค้ามนุษย์ด้วย อะไรด้วย ทางยุโรป ทางอเมริกาเขาบอกว่าเราค้ามนุษย์อยู่ แล้วทำนี่ก็ผิดกฎหมาย ละเมิดน่านน้ำ เขาบอกว่าต่อไปนี้ ไม่รับซื้อสินค้าจากไทย เริ่มจากสินค้าประมงก่อน ต่อไปก็เป็นเรื่องที่ผิดๆ ก็ลากพาไปสู่เรื่องผลไม้ ข้าว ยาง ไปหมด คนเหล่านี้ที่ทำความผิดตรงนี้ ต้องสำนึกตนเอง ทำมานานแล้วหลายปีแล้ว ทุกรัฐบาลไม่เคยทำได้ รัฐบาลนี้จะทำกับท่าน อย่าหาว่าผมใจร้าย เอาเปรียบคนอื่นเขาได้อย่างไร ผู้ประกอบการบางคนรวยไม่รู้จะรวยอย่างไร มีเรือเป็นสิบ ๆ ลำ ทำตามกฎหมายบ้าง เราจะจริงจังกับนโยบาย zero tolerance ในทุกคดีที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ และก็ทำเต็มที่เพื่อให้ปัญหาค้ามนุษย์หมดไปจากแผ่นดินไทย ต้องไปพูดคุยไปเจราจาว่าเรากำลังดำเนินการอยู่เป็นขั้นเป็นตอนอย่างนี้ เราไม่สามารถจะแก้ไขปัญหาที่ยาวนานมาเป็น 10 กว่าปี มาในช่วงเวลาเพียง 7 - 8 เดือนนี้ได้ แล้วที่ผ่านมาทำอะไรกันอยู่ ทำไมไม่แก้ หลายปีมาแล้ว เพราะฉะนั้นวันนี้อย่าบอกว่าไม่รู้เรื่องอีก เรื่องค้ามนุษย์ก็ชอบไปบ่นว่ารัฐบาลไม่ทำอะไรเลยต่างๆ ทุกเรื่องมีปัญหาไปหมด ลืมไปทั้งหมดแล้ว ก่อน 22 พฤษภาคม 2557 เป็นอย่างไร วันนี้จะเดินหน้าไปสู่ความขัดแย้งใหม่อีกแล้ว เรากำหนดให้มีการปราบปรามการค้ามนุษย์เป็นวาระแห่งชาติ วาระแห่งชาติคืออะไร ทุกหน่วยงานทุกคน ประชาชนต้องร่วมมือร่วมใจกัน เหมือนกับเรื่องยาเสพติด อะไรทำนองนี้ ใช้กฎหมายบังคับใช้ให้ได้ ต้องเตรียมการต้องมีระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน และร่วมมือกันกับรัฐบาลเพื่อนบ้านในภูมิภาค โดยเฉพาะอินโดนีเซีย เมื่อวานผมก็ได้พูดกับสมเด็จพระราชาธิบดีบูรไนด้วยว่า เราจะต้องทำประมงร่วมกัน ฟิลิปปินส์ ใช่ไหม ที่อยู่น่านน้ำแถวนี้ รอบๆ บ้านเรา กัมพูชา ว่าจะทำกันยังไง Joint Venture กันยังไง กองเรือเราก็มีเยอะแยะ ต้องรู้จักแบ่งปันบ้างนะ วันนี้เราเป็นพันธมิตรกัน แข่งขันไม่ได้ เดี๋ยวก็ไปโดนจับ ทะเลาะเบาะแว้งกัน ยิงกันไปยิงกันมาอีก นี่เราก็จับเขาเหมือนกัน แต่เขาจับเรามากกว่า
       
       เรื่องนี้ผมทราบว่าสื่อมวลชนในต่างประเทศได้ช่วยกันรายงานหน้าที่เต็มที่เลย ขอบคุณ หน้าที่อีกอย่างหนึ่งของสื่อ หน้าที่การเฝ้าระวังสำคัญนะ ผมไม่ใช่ศัตรูกับสื่อ ทุกสื่อทุกคน หน้าที่ของสื่อต้องมีหน้าที่เหมือนกับเฝ้าบ้าน ต้องคอยแจ้งเตือนเจ้าของบ้าน เหมือนกับเครื่องมืออะไรสักอย่าง เหมือนกล้องทีวีก็ได้ หรือนัยน์ตาวิเศษอะไรสักอย่าง เพราะเวลามีเหตุร้าย มีโจรมีขโมยจะขึ้นบ้าน หรือจะเห็นการทุจริตผิดกฎหมาย สื่อทำหน้าที่คอยเตือนประชาชน เมื่อไรก็ตามที่มีนักการเมือง มีข้าราชการ โกง ทุจริต ต้องเตือนตอนนั้น หรือมีนักบริหารออกนโยบายที่จะสร้างความเสียหายให้กับประเทศ แต่ไม่ใช่สื่อมาทำให้เกิดความระแวงกันเอง เพราะท่านมีหน้าที่ในการดูแลบ้านหลังนี้ เจ้าของบ้านเขาให้ท่านดู ติดตั้งท่าน อะไรท่าน เหมือนกับสื่อ คอยดูแทน แล้วปรากฏว่าท่านไม่ดู ท่านกลับมาเล่นงานเจ้าของบ้าน กลับเล่นงานคนในบ้าน แล้วโจรมันก็เข้ามาได้ นั่นคือเรื่องธรรมดา ผมไม่อยากยกตัวอย่างเป็นอย่างอื่นนะ แม้กระทั่งให้คนในบ้านแตกความสามัคคี สร้างความเดือดร้อน เสียหาย บางครั้งมันอาจจะมีการผิดพลาดบ้างในการติดต่อสื่อสาร แต่ให้รู้ความตั้งใจของรัฐบาล ของทุกกระทรวงวันนี้ มันอาจจะมีการสื่อสารที่ไม่ตรง ไม่เข้าใจกันบ้าง หนักนิดเบาหน่อย ก็ให้อภัยกัน วันนี้เราอยู่ทีมเดียวกัน ท่านบอกว่าท่านมีหน้าที่ ท่านบอกว่าท่านมีสิทธิ และหน้าที่ของสื่อ จะต้องนี่ต้องโน่น อะไรของท่าน ผมไม่ได้ขัดแย้งท่าน ท่านนายกสมาคมสื่อฯ นายกสมาคมนักหนังสือพิมพ์ฯ บอกว่าขอร้องให้ผมเข้าใจสื่อหน่อย เป็นการทำงานของสื่อ เพื่อติติงอะไรก็ได้ ผมไม่ได้ว่าอะไร ท่านก็ทำอย่างนั้นดีอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นอีกอย่าง เหมือนว่าเล่นงานผมทุกเรื่องไปเลย ผมว่าไม่เป็นธรรมกับผม แล้วพอผมบอกให้ท่านไปดูแลเอง ท่านตอบผมว่าไง ก็สำหรับสื่อที่อยู่ใน เป็นสมาชิกของสมาคมนั้นจะดำเนินการต่อไปตามปัญหาที่เกิดขึ้น แต่เนื่องจากมีสื่อหลายสื่อไม่อยู่ใน ไม่เป็นสมาชิกของสมาคมฯ อันนี้ไม่สามารถจะรับผิดชอบได้ อย่างนี้หมายความว่ายังไง ผมไม่เข้าใจ ท่านไปทำสิครับ หรือไม่ จะต้องให้ผมออกกฎหมายอีกมั้ยว่าสื่อทุกสื่อต้องเป็นสมาชิกของสมาคมท่าน สมาคมหนังสือพิมพ์ สมาคมสื่อ เอามั้ย ผมจะทำให้ ไม่งั้นก็อ้างอยู่อย่างนี้ บางสื่อก็คุมไม่ได้ อะไรไม่ได้ เขียนส่งเดชไปเรื่อย แล้วจะไม่ให้ผมโมโห มีอารมณ์รุนแรงได้ยังไงในบางครั้ง ขอโทษ ผมขอโทษคนสุภาพอาจจะไม่ชอบนะ แต่ท่านต้องเห็นใจผม เข้าใจมั้ย พอบอกให้ไปดูแล บอก ไม่เห็นผิดตรงไหนเลย ไปอ่านดูซิ ที่เขียนมันสร้างสรรค์ นี่สร้างสรรค์ท่านครับ สนับสนุนท่าน ทุกอย่างครับ โอ้โห ด่าทุกวัน บอกว่านี่เป็นการติติง ก็ผมทำไปแล้ว กำลังทำ ท่านก็บอกว่าผมไม่ทำอะไร ยกตัวอย่างง่ายๆ นะ หรือไม่ก็ เรื่องนี้ไม่รู้จะกล้าทำ ไม่กล้าผมไม่เข้ามา เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน แต่เพียงแต่ว่าจะทำได้เมื่อไร ผมไม่อยากจะไปบังคับขู่เข็ญคนมากนัก ผมฝากพี่น้องประชาชนทั่วไปแล้วกัน จะให้ผมทำยังไง บอกมา จะให้หนักกว่านี้ หรือเบากว่านี้ ใช้อำนาจมากกว่านี้ ว่ามา ผมจะไปพิจารณาอีกที ผมเข้ามาแล้วผมก็อยากให้มันสำเร็จนะ
       
       การปฏิรูปอีกมากมายเลย มันไม่จบภายในปีหรอก ปีหนึ่งไม่ได้ แค่ลดความขัดแย้ง แค่คิดไว้ว่าจะทำอะไรต่อไปในวันข้างหน้า ผมว่าอีก 10 ปี ยังไม่ทันเลย สิงคโปร์เขาทำ 30 ปี เอาง่ายๆ แล้วเขาเลยเวลาเหล่านั้นมาแล้ว วันนี้เขาเข้มแข็งหมดทุกอัน บางคนบอกว่าไทยทำไม่ได้หรอก เพราะเรามีคนเยอะกว่า มีพื้นที่เล็กกว่าเรา เรายิ่งใหญ่ ไปดูในแผนที่ว่าใหญ่ขนาดไหน มีคน 60 - 70 ล้านคน ก็ใช่ แต่ 60 ล้านคนรวมกันได้เป็นหนึ่งไหม รวมเป็นไม้ไผ่ก้อนเดียวได้ไหม ไม่ได้ 60 กว่าล้านคน 60 กว่าความคิด มีกลุ่มชุมชน วันนี้ไม่ใช่แค่ประชาชนแล้ว เป็นกลุ่มชน เป็นของคนนี้ ของคนนั้น ของพวกนี้ พวกนั้น เป็นกลุ่ม แล้วคนเหล่านี้ก็เข้ามาสู่กระบวนการเลือกตั้ง เมื่อเลือกตั้งเสร็จแล้วก็เรียกร้องกับรัฐบาล เรียกร้องความต้องการจากรัฐบาลจนไม่มีความเพียงพอ เมื่อไม่เพียงพอ รัฐบาลก็ต้องมาดูแลเป็นพิเศษ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวมีปัญหาการบริหารราชการ ใช่ไหม คนอื่นก็ไม่ต้องได้ นี่แหละคือปัญหาของประชาธิปไตยไทย ท่านจะทำอย่างไรไปทำ วันนี้ผมจะทำให้ทั่วถึงก่อน วันหน้าจะให้ส่งต่อให้ระบบแข็งแรง ข้าราชการ หรือการเมืองแข็งแรงกว่านี้ ที่ผ่านมาไม่รู้จะโทษใคร
       
       เรื่องเศรษฐกิจสำคัญขอให้เข้าใจ ผมพูดไปหลายครั้งแล้ว มีปัญหามาสอบถามผมก็ได้ มายื่นที่ศูนย์ดำรงธรรมเดี๋ยวเขาส่งให้ผมดู ว่านี่ไม่เข้าใจก็ต้องไปชี้แจงเขา ทั้งๆ ที่ผมพูดทุกอาทิตย์ พูดทุกวัน ไม่เคยฟัง แล้วใครจะฟังผม บอกให้ไปฟังกระทรวงก็ไม่ฟัง มีแต่เรียกร้องอย่างเดียว ทำไมเป็นคนอย่างนี้ คนเหล่านี้ ผู้อื่นเขาดีๆ ตั้งมากมาย หลายกิจการเขาดีไม่เคยบ่นไม่เคยว่า มีแต่ให้กำลังใจ ท่านทำต่อไปให้ดี สร้างความเชื่อมั่นให้ผมด้วย เขาอาจจะไม่รู้เรื่องเหมือนท่าน แต่เขายังพูดอย่างนี้ ท่านไม่รู้เรื่องแล้วก็ยังด่าว่าผม แล้วจะเป็นอย่างไร ท่านจะเอาอย่างไรกับผมเข้ามาทำให้ทั้งสิ้น
       
       สุดท้ายนี้ อีกไม่นานพวกเราคนไทยก็จะได้ร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลวันปีใหม่ของไทย หรือเรียกว่าวันสงกรานต์ และยังเป็นช่วงวันครอบครับอีกด้วย หยุดหลายวัน ผมอยากขอให้ทุกท่านใช้วันหยุดในช่วงเทศกาลนี้ด้วยการเดินทางกลับบ้าน อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันกับครอบครัว พากันไปกราบไหว้รดน้ำดำหัวผู้หลักผู้ใหญ่และผู้มีพระคุณ สอนให้เยาวชนรู้ถึงขนบธรรมเนียมที่ถูกต้อง การเล่นสาดน้ำที่ถือเป็นธรรมเนียมของวันสงกรานต์ แต่ต้องทำอย่างระมัดระวัง อย่าทำให้คนอื่นต้องเจ็บตัวหรือเดือดร้อน เมาสุรา ใช้แป้งอะไรต่างๆ ที่ดูไม่ดี ไม่สุภาพ ไม่ใช่วัฒนธรรมไทย ต่างชาติเขามา โอเค สนุกจริง แต่ภาพออกมามันไม่งดงามเลย เขาไม่ได้อยากเล่นด้วย คนเขาเล่นด้วยก็ว่าไป แต่งตัวไม่สุภาพ แต่งตัวไม่งดงามเหล่านี้อย่าให้เห็นนะ ผมคิดว่าจะต้องดูแลให้เต็มที่ ไม่งั้นประเทศไทยไปอย่างไหนไม่รู้ ความเป็นไทยมันอยู่ได้ มันเป็นสิ่งหนึ่งที่คนโบราณ สถาบันพระมหากษัตริย์เขาทำไว้ให้เรา ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ การท่องเที่ยว อาคาร บ้านช่อง พิพิธภัณฑ์ ของเก่าทั้งนั้น ของใหม่ไม่มีใครเขาอยากมาหรอก กับธรรมชาติที่ช่วยกันรักษาไว้ ป่าไม้ น้ำ
       
       ได้สั่งการไปแล้วให้ทุกจังหวัดจัดพื้นที่ในการเฉลิมฉลองด้วย รวมความไปถึงอาทิตย์หน้าด้วย วันที่ 2 เมษายน เป็นวันของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ช่วยกันด้วย ดูแลกัน เป็นวันแห่งมงคล ก็ขอให้มีการจัดอาสาสมัครช่วยกันดูแลความปลอดภัยของประชาชน และนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแนะนำเส้นทาง จุดจอดพักรถเวลาง่วง อย่าให้เกิดอุบัติเหตุเลย บางทีมันเสียชีวิตไป มันเสียดาย สงสาร เห็นใจ และจะโทษใคร บางทีทั้งครอบครัวก็ไปหมด บางทีก็พ่อสูญเสีย แม่สูญเสีย ลูกสูญเสีย แล้วเราจะดื่มสุรา ขับรถทำไม ปัญหามันอยู่ที่ดื่มสุราจนไม่มีสติ มอเตอร์ไซค์ตายไม่รู้เท่าไหร่ มันจะแก้อะไรได้ แก้โดยกฎหมายได้ไหม จับท่านก็เดือดร้อนอีก ทำอย่างไรให้เจ้าหน้าที่เขาไม่มีปัญหากับเรา ไม่ผิดกฎหมายเขาก็ไม่ยุ่งกับเรา ท่านก็สนุกสนานของท่านไป ท่านชอบเลยเถิดกฎหมายอยู่ไหนไม่รู้ ไม่สนใจ จะทำสักอย่าง คนไทย วันเวลาแห่งความสุขไม่น่าจะมาห้ามกัน นี่ชอบพูดอย่างนี้ ไม่รู้จะว่าไง
       
       ช่วงนี้ปิดเทอม อากาศก็อาจจะร้อน ก็ได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการ นายอำเภอ ผู้นำชุมชนทั้งหมด แหล่งน้ำต่างๆในพื้นที่ ที่เยาวชนจะไปเล่นคลายร้อน ให้ทำป้ายเตือน หามาตรการป้องกัน ตรงไหนมันลึก ตรงไหนมันตื้น ทำป้ายให้เขาเห็น และมีนกหวีด มีระฆังไว้รอบๆ แหล่งน้ำแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ใช้ที่อื่นด้วยก็ได้ ในป่า ในเขาตรงไหนอันตราย ตรงไหนที่มันเป็นหลุมเป็นบ่อ มันจะได้เขาเรียกอะไร เคาะระฆังส่งสัญญาณได้ อย่างคราวที่แล้วตกบ่อ 3 วันใช่ไหม เด็กวัยรุ่นวิ่งไปแล้วไม่เห็น ตกไปอยู่ตั้ง 3 - 4 วัน ถ้ารถไม่ได้มาจอดตรงนั้น ไม่ได้ยินเสียงเรียก ตายไปแล้ว 4 วันแช่น้ำอยู่นั่น และโทรศัพท์อยู่ข้างบน
       
       เพราะฉะนั้นต้องระมัดระวังเวลาจะไปเล่นน้ำ มีผู้ใหญ่ไปด้วย เด็กที่ว่ายน้ำไม่แข็งไม่เป็น ต้องกำชับให้ตามเพื่อนๆ ไป ดูแลเขาจัดคู่บัดดี้ จะไปไหนไปด้วยกัน อะไรทำนองนี้ และข้อสำคัญอย่าไปเผาป่า ไปเที่ยวป่าเขาก็ทิ้งก้นบุหรี่จุดไฟเล่น ทิ้งขยะเกลื่อนเมือง เกลื่อนป่า สัตว์กินเข้าไปปวดท้องตายอีก ต้องนึกถึงส่วนรวมด้วยนะครับ ต้องตั้งอุดมการณ์ของคนในชาติเอาไว้ให้ได้ ว่าเราจะต้องนึกถึงส่วนรวม ประกอบพร้อมไปกับประโยชน์ส่วนตนด้วย และรู้จักเสียสละ เหล่านี้มันเป็นสิ่งสำคัญนะครับ ถ้าคนไทยไม่รวมกันให้ได้ และไม่มีอุดมการณ์ว่า จะทำอย่างไรให้ชาติบ้าง และไม่พัฒนาตนเองอย่างรีบด่วนภายใน ผมคิดว่าสิงคโปร์เขาใช้ 20 ปี ประเทศเล็กไง ท่านบอกประเทศเล็ก เขาใช้ตั้ง 30 ปี
       
       ฉะนั้น เราประเทศใหญ่กว่าเขาใช่ไหม มันต้องใช้เวลานานกว่านั้นไหม และเวลาวันนี้เราจะทันเขาหรือเปล่ายังไม่รู้เลย เราทำไมไม่ใช่โอกาสที่เรามีอยู่เวลานี้ทำ ไม่ใช่ไปทะเลาะเบาะแว้งหมด เรื่องเลือกตั้งอะไรต่างๆ มันกินได้ไหม เลือกตั้งมาแล้วมันเป็นอย่างไร ผมไม่รู้ แต่สิ่งที่มีปัญหาอยู่ทั้งหมด ผมก็พยายามแก้ให้ทั้งหมด ถ้าเราจะพัฒนาประเทศ ถ้าจะฟื้นฟู ถ้าจะสร้างใหม่ วันนี้ผมบอกแล้วไง ผมเข้ามาเพื่อจะ บ้านเมืองเรากำลังจะล้มลง ผมก็ต้องขนเอาอิฐ หิน ปูน ทรายมาช่วยกันก่อขึ้นมา มันอาจจะเป็นปราสาททรายก็ได้ สร้างบ้านให้เป็นปราสาท ปราสาททรายที่อนาคตมันอาจจะพังอีกก็ได้ เราก็ต้องเอาความเข้มแข็งเอาความรักความสามัคคี อุดมการณ์ค่านิยมของคนไทยเติมเข้าไปนี่คือเหตุผลของผม พวกนี้ก็คือปูน หิน ที่ไปเสริมความเข้มแข็งของทรายเหล่านั้น อาจจะมีโครงเหล็กเข้าไปบ้างมีกฎหมายอะไรเข้าไป ถึงจะก่อมาเป็นปราสาทขึ้นมาได้ แล้วจะไม่ยุบลงมาอีก ถ้าคิดตามผมก็จะเข้าใจ โอเคก็ขอให้ทุกคนมีความสุขและปลอดภัย ขอบคุณครับ สวัสดีครับ  ط ʹʹҷءͧ繸 ͡-觪ҵ

เอาแล้ว CNN บอก เลิกกฏอัยการศึก แล้วใช้ ม. 44 เป็นแค่ "เหล้าเก่าในขวดใหม่"

เอาแล้ว CNN บอก เลิกกฏอัยการศึก แล้วใช้ ม. 44 เป็นแค่ "เหล้าเก่าในขวดใหม่"
Thailand ditch martial law for sweeping army powers - CNN.com
เอาแล้ว CNN บอก เลิกกฏอัยการศึก แล้วใช้ ม. 44 เป็นแค่ "เหล้าเก่าในขวดใหม่"

Thursday, April 2, 2015

ความชั่วร้าย ของมาตรา 44 ที่ภูมิพลและทหารของเขางัดมาใช้กับคนไทย

ความชั่วร้าย ของมาตรา 44 ที่ภูมิพลและทหารของเขางัดมาใช้กับคนไทย มาตรา 44 ให้ทหารของเครือข่ายภูมิพล ทำอะไรได้บ้าง?


คำสั่ง คสช.3/2558 ให้นายทหารชั้นสัญญาบัตร เป็น “เจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย" สรุปภาพรวมเบื้องต้นดังนี้


-มีอำนาจดำเนินการป้องกันปราบปราบความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการฯ ตาม ม. ๑๐๗ ถึงม. ๑๑๒ ตาม ป.อาญา
-มีอำนาจดำเนินการป้องกันปราบปราบความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร ตามมาตรา ๑๑๓ ถึงมาตรา ๑๑๘ แห่งประมวลกฎหมายอาญา

-มีอำนาจดำเนินการป้องกันปราบปราบความผิดตามกฎหมายว่าด้วยอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน

-มีอำนาจดำเนินการป้องกันปราบปราบความผิดอันเป็นการฝ่าฝืนประกาศหรือคำสั่ง คสช. หรือคำสั่งหัวหน้า คสช.

-มีอำนาจออกคำสั่งเรียกให้บุคคลมารายงาน ตัวจับกุมตัวบุคคลที่กระทำความผิดซึ่งหน้า และควบคุมตัวผู้ถูกจับนำส่งตำรวจ

-มีอำนาจช่วยเหลือ สนับสนุน หรือเข้าร่วมในการสอบสวนกับตำรวจ ในการเข้าร่วมให้ถือว่าทหารเป็นพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

- มีอำนาจเข้าไปในเคหสถาน หรือสถานที่ใด ๆ เพื่อตรวจค้น รวมตลอดทั้งค้นบุคคลหรือยานพาหนะใด ๆ รวมทั้งยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่ค้นพบ

-กรณีมีความจำเป็นเพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่เป็นภัยต่อความมั่นคง ทหารมีอำนาจออกคำสั่งห้ามการเสนอข่าว จำหน่าย หรือแพร่หลายหนังสือ หรือสิ่งพิมพ์

- ทหารมีอำนาจเรียกตัวบุคคลมาสอบถามข้อมูล โดยสามารถควบคุมตัวได้ 7 วัน และห้ามควบคุมตัวที่สถานีตำรวจทัณฑสถาน หรือเรือนจำ

- ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของทหารต้องระวางโทษจำคุก
ไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
-ผู้ใดต่อสู้หรือขัดขวางทหารในการปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับ
ไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
-การชุมนุมทางการเมือง จำนวนตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
-ผู้ใดมีความผิดจากการชุมนุมทางการเมือง แต่สมัครใจเข้ารับการอบรมจากทหาร ไม่เกิน 7 วัน และทหารเห็นสมควรปล่อยตัว ให้ถือว่าคดีเลิก
- การกระทำตามคำสั่งนี้ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการท
างปกครอง และกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
- ทหารที่กระทำการไปตามอำนาจหน้าที่ได้รับความคุ้มครองตาม ม.๑๗ แห่งพรก.ฉุกเฉิน


โปรดอ่านซ้ำ แล้วสรุปให้ได้ว่า เผด็จการสมบูรณาญาสิทธิราชย์ใหม่ แปลงร่างได้เนียนขนาดไหนก็ไม่รอดพ้นสายตาชาวไทยและชาวโลกได้อีกต่อไป

-มีอำนาจดำเนินการป้องกันปราบปราบความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการฯ ตาม ม. ๑๐๗ ถึงม. ๑๑๒ ตาม ป.อาญา
-มีอำนาจดำเนินการป้องกันปราบปราบความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร ตามมาตรา ๑๑๓ ถึงมาตรา ๑๑๘ แห่งประมวลกฎหมายอาญา
-มีอำนาจดำเนินการป้องกันปราบปราบความผิดตามกฎหมายว่าด้วยอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน
-มีอำนาจดำเนินการป้องกันปราบปราบความผิดอันเป็นการฝ่าฝืนประกาศหรือคำสั่ง คสช. หรือคำสั่งหัวหน้า คสช.
-มีอำนาจออกคำสั่งเรียกให้บุคคลมารายงาน ตัวจับกุมตัวบุคคลที่กระทำความผิดซึ่งหน้า และควบคุมตัวผู้ถูกจับนำส่งตำรวจ
-มีอำนาจช่วยเหลือ สนับสนุน หรือเข้าร่วมในการสอบสวนกับตำรวจ ในการเข้าร่วมให้ถือว่าทหารเป็นพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
- มีอำนาจเข้าไปในเคหสถาน หรือสถานที่ใด ๆ เพื่อตรวจค้น รวมตลอดทั้งค้นบุคคลหรือยานพาหนะใด ๆ รวมทั้งยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่ค้นพบ
-กรณีมีความจำเป็นเพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่เป็นภัยต่อความมั่นคง ทหารมีอำนาจออกคำสั่งห้ามการเสนอข่าว จำหน่าย หรือแพร่หลายหนังสือ หรือสิ่งพิมพ์
- ทหารมีอำนาจเรียกตัวบุคคลมาสอบถามข้อมูล โดยสามารถควบคุมตัวได้ 7 วัน และห้ามควบคุมตัวที่สถานีตำรวจทัณฑสถาน หรือเรือนจำ
- ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของทหารต้องระวางโทษจำคุก
ไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
-ผู้ใดต่อสู้หรือขัดขวางทหารในการปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
-การชุมนุมทางการเมือง จำนวนตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
-ผู้ใดมีความผิดจากการชุมนุมทางการเมือง แต่สมัครใจเข้ารับการอบรมจากทหาร ไม่เกิน 7 วัน และทหารเห็นสมควรปล่อยตัว ให้ถือว่าคดีเลิก
- การกระทำตามคำสั่งนี้ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการ
ทางปกครอง และกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
- ทหารที่กระทำการไปตามอำนาจหน้าที่ได้รับความคุ้มครองตาม ม.๑๗ แห่งพรก.ฉุกเฉิน



แอมเนสตี้ฯ วิพากษ์คำตัดสิน 'ไม่ปกติ' จำคุก 25 ปีคดี 112


แอมเนสตี้ฯ วิพากษ์คำตัดสิน 'ไม่ปกติ' จำคุก 25 ปีคดี 112

Thu, 2015-04-02 17:42

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล วิพากษ์การตัดสินลงโทษและสั่งจำคุกนักธุรกิจไทย 25 ปี ฐานวิจารณ์ราชวงศ์ผ่านเฟซบุ๊ก เป็นคำตัดสินที่ไม่ปรกติ ชี้ไทยจำเป็นต้องแก้ไข กม.หมิ่นที่ล้าสมัย

2 เม.ย. 2558 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 31 มี.ค. เรื่อง "บทลงโทษจำคุก 25 ปีที่ไม่ปรกติสำหรับการวิจารณ์ราชวงศ์ ท่ามกลางแผนการยกเลิกกฎอัยการศึก"
     
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลระบุว่า การตัดสินลงโทษและสั่งจำคุกนักธุรกิจไทยในเช้าวันที่ 31 มีนาคม 2558 เป็นเวลา 25 ปี ฐานการวิพากษ์วิจารณ์ราชวงศ์ผ่านข้อความในเฟซบุ๊ก เป็นคำตัดสินที่ไม่ปรกติ และแสดงให้เห็นความจำเป็นเร่งด่วนที่ประเทศไทยต้องแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่ล้าสมัย
     
ศาลทหารของไทยมีความเห็นว่า นายเธียรสุธรรม (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 58 ปี มีความผิดห้ากระทงฐานโพสต์ข้อความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงพฤศจิกายน 2557
     
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลชี้ว่า ในวันเดียวกับที่มีการตัดสินคดีนี้ นายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชามีคำขอพระบรมราชโองการเพื่อประกาศยกเลิกกฎอัยการศึก รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวมอบอำนาจที่ปราศจากการตรวจสอบให้นายกรัฐมนตรีที่จะประกาศใช้กฎหมายใหม่แทนกฎอัยการศึก โดยอ้างว่าเพื่อรักษาความมั่นคงของชาติ
     
นับแต่มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกในไทยเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2557 ประชาชนหลายร้อยคนได้ถูกควบคุมตัวโดยพลการ และอีกหลายสิบคนต้องเข้ารับการไต่สวนในศาลทหาร เนื่องจากใช้สิทธิการชุมนุมและการแสดงออกอย่างสงบ
     
รูเพิร์ต แอ็บบอตต์ (Rupert Abbott) รองผู้อำนวยการงานวิจัยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเปิดเผยว่า การยกเลิกกฎอัยการศึกจะไม่ช่วยให้สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในไทยดีขึ้น หากมีการนำกฎหมายที่กดขี่ปราบปรามฉบับนี้มาใช้ แทนที่จะทำเช่นนั้น รัฐบาลไทยควรฟื้นฟูหลักนิติธรรมและการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งได้ถูกทำลายไปอย่างสิ้นเชิงเนื่องจากรัฐประหารเมื่อปี 2557
     
“การตัดสินลงโทษนายเธียรสุธรรมครั้งนี้ เป็นหนึ่งในบทลงโทษรุนแรงที่สุดที่ทางเราได้เห็นมา แสดงถึงสัญญาณที่น่ากังวลว่าทางการไทยมุ่งปราบปรามบุคคลที่แสดงความเห็นต่าง”
     
“เป็นเรื่องน่าเศร้าใจที่ในศตวรรษที่ 21 นี้ยังมีการคุมขังบุคคลเป็นเวลาหลายทศวรรษเพียงเพราะการวิจารณ์สถาบันกษัตริย์ การแสดงความเห็นอย่างสงบไม่ใช่อาชญากรรม นายเธียรสุธรรมต้องได้รับการปล่อยตัวทันที และต้องมีการยกเลิกหรือแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เพื่อให้สอดคล้องกับพันธกรณีสิทธิมนุษยชนของไทย”
     
ศาลทหารตัดสินลงโทษจำคุกนายเธียรสุธรรม 50 ปี แต่ลดโทษลงกึ่งหนึ่งเนื่องจากรับสารภาพผิด เขาไม่มีสิทธิอุทธรณ์คดีนี้
     
ทั้งนี้ แถลงการณ์ระบุด้วยว่า นักธุรกิจคนดังกล่าวได้ถูกทหารควบคุมตัวเป็นเวลาห้าวันโดยไม่มีการตั้งข้อหา แต่เป็นการอ้างอำนาจตามกฎอัยการศึก เขาถูกเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัวโดยพลการและสอบปากคำจนกระทั่งเขายอมรับสารภาพต่อความผิดตามข้อกล่าวหา ในระหว่างนั้นเขาไม่ได้รับอนุญาตให้พบกับทนายความหรือครอบครัว
     
ในวันที่ 22 ธันวาคม 2557 นายเธียรสุธรรมถูกตั้งข้อหาอย่างเป็นทางการว่าละเมิดมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา (กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ) โดยถูกนำตัวไปควบคุมที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และถูกคัดค้านการประกันตัว


Wednesday, April 1, 2015

เนื้อหาสาระของ มาตรา 44 คือการให้อำนาจเบ็ดเสร็จแก่ทหาร เป็นรัฐทหารใต้ระบอบสมบูรณาสิทธิราชย์ เต็มรูปแบบแล้ว

เนื้อหาสาระของ มาตรา 44 คือการให้อำนาจเบ็ดเสร็จแก่ทหาร เป็นรัฐทหารใต้ระบอบสมบูรณาสิทธิราชย์ เต็มรูปแบบแล้ว
เครดิต:
Piyachat Chiratthitikul

....
สรุปสาระ ม.44 จากพลเอกตู่ทหารตั้งแต่ยศร้อยตรีขึ้นไปทุกเหล่าทัพให้เป็น
"เจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย"โดยมีนายสิบลงมาเป็นผู้ช่วย เรียกว่า "ผู้ช่วยเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อยปฎิบัติหน้าที่ตามคำสั่งในมาตรานี้เห็นใครหรือคิดว่าใครทำความผิดดังต่อไปนี้ ให้จับมันมาลงโทษ
.
.
-ความผิดตั้งแต่มาตรา 107-112 ตามประมาลกฎหมายอาญา
(อาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ องค์รัชทายาท ผู้สำเร็จราชการ
รวมทั้งผู้สนับสนุนการกระทำดังกล่าว)
- ความผิดตามมาตรา 113-118 (เกี่ยวกับกบฎ ล้มล้างการปกครอง)
- ความผิดเกี่ยวกับการครอบครองอาวุธสงคราม
- ความผิดฐานขัดขืนไม่ยอมฟังพลเอกตู่
ซึ่งก็มีอานาจดำเนินการได้ดังนี้
.
.
- เรียกมาสอบปากคำ หรือให้ส่งมอบเอกสารเกี่ยวกับการกระทำผิด
- เจอซึ่งๆหน้าให้จับได้ทันทีแล้วส่งให้พนักงานสอบสวน(ตำรวจ)
-จะช่วยสอบก็ได้ และให้ถือว่าเป็นพนักงานสอบสวนด้วยเช่นกัน
- บุกเข้าตรวจค้นได้ทันที ทุกที่ ถ้าคิดว่ามีผู้กระทำผิดอยู่แถวนั้น
- ยึดทรัพย์ ยึดของกลางได้ทันที
- อำนาจอื่นๆอีกมากมาย ตามที่ท่านสั่ง
.
.
ถ้าเห็นว่าข่าวไหนไม่สร้างสรรค์ ไม่ชอบ กระทบต่อความมั่นคงของใครน๊าาา ไม่อยากให้เสนอข่าว ก็สั่งแบนได้ ห้ามพิมพ์ ห้ามๆๆๆ ได้หมด
.
.
.
ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้ไม่เกิน 7 วัน แต่ห้ามขังบนโรงพัก เรือนจำ
เอาไปไหนก็ไป และห้ามดำเนินการกับผู้นั้นในลักษณะเป็นผู้ต้องหา
หากจะดำเนินการในลักษณะเป็นผู้ต้องหา ให้ทหารสัญญาบัตร หรือตำรวจ ดำเนินการไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
.
.
.
ใครฝ่าฝืนขัดขืน กัดขา กัดหู เห่าขู่ ไม่ยอมทำตาม
จำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เจ้าหน้าที่จะปล่อยตัวโดยมีเงื่อนไขหรือไม่มีก็ได้ (ห้ามออกนอกประเทศ
/อายัดบัญชี)
หากฝ่าฝืนเงื่อนไขการปล่อยตัว จำและปรับเท่าข้างบน
.
.
.
ห้ามชุมนุมกันเกิน 5 คน เว้นแต่ได้รับอนุญาต ฝ่าฝืน ฝ่าฝืนปรับไม่เกิน 6
เดือน ปรับหมื่นนึง หรือทั้งคู่ ใครไม่อยากติดคุกหรือโดนปรับ ให้สมัครใจเข้าค่ายอบรม 7 วัน แล้วจะได้รับการปล่อยตัวโดยมีหรือไมม่ีเงื่อนไขก็ได้
และให้ถือว่าพ้นผิด
หากไม่ทำตามเงื่อนไขการปล่อยตัว ปรับหมื่นนึง จำคุกหกเดือนหรือทั้งจำทั้งปรับ
.
.
.
เจ้าหน้าที่ซึ่งกระทำการตามหน้าที่และไม่เกินกว่าเหตุ ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย แต่ประชาชนจะฟ้องก็ได้นะ
จบ.