การ ที่จัดให้มีการ Debate เกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ในสนช. และ สปช. โดยตัวคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ มีสถานภาพ ที่ขัดต่อธรรมนูญโลก (International Bill of Rights) หายนะกำลังคืบคลานเข้าหาประเทศไทย (ตอนที่ ๒)
๕. เมื่อประเทศไทย จะโดยบุคคล หรือกลุ่มบุคคล คณะใดก็ตาม ได้กระทำการฝ่าฝืน Convention Against Corruption, 2003 ที่ประเทศไทย ได้ไปให้สัตยาบันไว้กับ นานาชาติ และองค์การสหประชาชาติ ในวันที่ ๑ มีนาคม ปีค.ศ. ๒๐๑๑ หรือ ปีค.ศ.๒๕๕๔ ด้วยการผลักดันให้กลุ่มนายทหารกลุ่มหนึ่ง ขึ้นมาจับกุมเอาอำนาจรัฐไปใช้โดยมิชอบ การเข้ายึดอำนาจเช่นว่านั้น เป็นการคอร์รัปชั่นอยู่ในตัวเอง (the corruption per se) ทั้งนี้ก็เพราะ การคอร์รัปชั่นตามสนธิสัญญาฉบับดังกล่าวข้างต้น มีความหมายเป็นสองนัย:
๕.๑ นัยที่หนึ่ง เป็นความหมายตามที่ปรากฏอยู่ในสนธิสัญญา ซึ่งหมายถึงการ ลัก วิ่ง ชิง ปล้น ยักยอก ฉ้อโกง และรับของโจรในความหมายของประมวลกฏหมาอาญาไทย ที่ทำกับทรัพย์สินของรัฐ และเอกชน, การฟอกเงิน และ การขัดขวางกระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าผู้กระทำ และผู้ถูกกระทำ จะเป็นรัฐ และ/หรือ เอกชนก็ตาม (ให้ดูคำนิยามตาม Convention Against Corruption, 2003)
๕.๒ นัยที่สองทุกชาติคู่ภาคีสมาชิกของสนธิสัญญาฉบับนี้ มีความเห็นสอดคล้องต้องกัน เป็นเอกฉันท์ โดยการไปจัดการประชุมร่วมกันในเรื่องการบังคับใช้สนธิสัญญาฉบับนี้ที่กรุง โซล ประเทศเกาหลีใต้ ในเวลา ๗ เดือน ก่อนการประกาศบังคับใช้สนธิสัญญาฉบับนี้(จัดประชุมในเดือน พฤษภาคม ปีค.ศ.๒๐๐๓ ที่ท่านผู้อ่านอาจศึกษาเอาได้ผ่านเครื่องอ่านของกูเกิ้ล) โดยการให้คำนิยามแก่คำว่า “Corruption” ให้หมายถึง “ Abused of Powers for Private Gains” วลีนี้จึงเป็นการให้ความหมายอย่างกว้างของคำว่า “ Corruption” ตามที่ปรากฏในสนธิสัญญา ซึ่งมีความหมายว่า “ การใช้อำนาจโดยมิชอบ เพื่อประโยชน์ตน” และในความหมายอย่างกว้างนี้ ไม่จำเป็นต้องมีเงินทอง หรือ ผลประโยชน์ที่เป็นเงิน หรือ ที่เป็นทองเข้ามาเกี่ยวข้อง เพียงแต่ต้องการกระทำ ที่ปรากฏเป็น “การใช้อำนาจโดยมิชอบเท่านั้น” การยึดอำนาจ และการประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญ ปีพ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบเพื่อประโยชน์ตน หรือไม่? ผู้อ่านทั้งหลาย คงมีสมองตรองคิด ที่จะวิเคราะห์ได้ด้วยมันสมองของ ท่านผู้อ่านเอง ผมคงไม่จำเป็นต้องชี้แนะไปให้มากกว่านี้
ส่วนการกระทำต่างๆ ตามที่ปรากฏให้เห็นไม่ว่า ด้วยลายลักษณ์อักษร หรือ เป็นภาพต่างๆ ไม่ว่าเป็นวิดิทัศน์ หรือโดยประการอื่นๆ ที่ปรากฏต่อสายตาท่าน หลังจากเวลา ที่มีการยึดเอาอำนาจรัฐไปใช้โดยมิชอบแล้ว นอกจาก จะส่งผลให้การยึดอำนาจรัฐเช่นว่านี้ ตกเป็นโมฆะ (ตามความหมายของกฏหมายระหว่างประเทศ ตาม Diagram ท้ายบทความนี้) ที่ส่งผลกระทบโดยตรงกับสนธิสัญญานี้ และถ้อยคำตามที่ปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) ปีพ.ศ.๒๕๕๗ ที่ว่า “เราจะยอมรับในพันธกรณีที่มีอยู่กับนานาชาติ” จะส่งผลต่อไปภายใต้บังคับแห่งกฏหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “บรรดาผลบังคับทางกฏหมาย อันมีที่มาจาก [สนธิสัญญา] ที่ประเทศนี้มีอยู่กับนานาชาติ ฉะนั้นการ Sanction (การบังคับตามกฏหมายระหว่างประเทศ) ไม่ว่าจะมาจาก EU ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และแม้แต่ประเทศนิวซีแลนด์ รวมทั้งจีนแผ่นดินใหญ่ หรือ แม้แต่รัสเซีย” ที่จงใจจะสร้างสัมพันธ์ในทางการค้ากับประเทศไทยเท่านั้น (พูดง่ายๆ กู จะโกยเอาประโยชน์ของ กูลูกเดียว ) มิได้ต้องการสานสัมพันธ์ในระหว่างประเทศ เพื่อให้สถานภาพของประเทศไทย กลับไปสู่สถานะเดิมแต่ประการใดทั้งสิ้น
สำหรับกลุ่มประเทศในอาซี่ยน (ASEAN) คงไม่ต้องไปกล่าวถึง ให้มากเรื่องมากความ เป็นประชาคม ที่มุ่งเดินหน้าทางการค้าโดยเสรีประการเดียว แบบตัวใครตัวมัน ตราบเท่าที่ไม่มีสงครามกลางเมืองในไทย ไปตกกระทบเพราะพรมแดนติดกัน (As long as there is no effect of Civil War spilled over, it is o.k. for us.) เขาก็คงไม่มายุ่งกับเราแบบจริงจัง
การที่ประเทศไทย จงใจใช้อำนาจจากอธิปไตยในลักษณะโดยมิชอบเช่นนี้ (the exercising of Sovereign Powers in an ill – legitimacy manner) ย่อมส่งผลร้ายให้กับประเทศไทยเองในที่สุด แบบสิ้นหนทางออก และผู้จับกุมอำนาจรัฐไปใช้โดยมิชอบนี้ หมดสิ้นหนทาง ที่จะก้าวลงจากอำนาจ แบบสวยๆไปได้
เราต้องไม่ลืมไปว่า “วันนี้คือ คริสศตวรรษที่ ๒๑ แล้ว มิใช่คริสศตวรรษที่ ๑๙ และ ที่ ๒๐ อีกต่อไป โลกก้าวล้ำหน้าไปมากกว่า ที่เราจะคิดตามทัน ถ้าเราไม่คิดที่จะตามโลกให้ทัน” ประเทศของเราก็จะเสียโอกาส ไปเรื่อยๆ เมื่อเราถูกโลกที่เจริญแล้ว (Civilized Nations) เช่น EU และประเทศสหรัฐอเมริกา รวมทั้งบางชาติที่เจริญแล้วในเอเชีย และออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ บีบนวดไปเรื่อยๆไม่ว่าทางการค้า หรือสายสัมพันธ์ทางการฑูต
เราก็จะมีสถานภาพไม่ต่างไปจากประเทศสหภาพอาฟริกาใต้ ที่เคยโดนสหประชาชาติ และกลุ่มประเทศที่เจริญแล้ว Sanction เป็นเวลาถึง ๒๐ กว่าปี จนกระทั้งรัฐบาลคนผิวขาว ที่นำโดยประธานาธิบดี เคริกซ์ โบทาร์ ต้องยอมคุกเข่าทรุดตัวลง และยอมให้นายเนลสัน แมนเดล่า ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของ ประเทศ South Africa และยกเลิก Apartheid ออกไปเสียจาก South Africa
(พรุ่งนี้จะมาว่าต่อไปในเรื่อง Convention Against Transnational Organized Crimes, Sept. 2003 ว่ามีบทบาทเกี่ยวข้องกับประเทศไทยอย่างไร? และ Never ending War for Thailandคืออะไร?)