PPD's Official Website

Monday, July 6, 2015

PIANGDIN ACADEMY: ทางออกประเทศไทย -อ.ชูพงศ์-ดร.เพียงดิน 6 กรกฎาคม 2558 ตอน ระบอบราชาธิปไตย และระบบสมมุติเทพ กำลังทำลายประเทศไทย"









ทางออกประเทศไทย -อ.ชูพงศ์-ดร.เพียงดิน  6 กรกฎาคม  2558 "ระบอบราชาธิปไตย และระบบสมมุติเทพ กำลังทำลายประเทศไทย"



- การเลือกตั้ง ทางเลือกของฝ่ายใด? ทำไม?

- ทำอย่างไร ถึงเกิดการเปลี่ยนระบอบ?

-ใครที่เป็นผู้ที่ทำให้การเปลี่ยนระบอบเกิดขึ้นจริง?

-คบกับจีน. วันนี้ มีผลดีผลเสียอย่างไร?

-ซื้อเรือดำน้ำ ซื้อเครื่องบินรบ เพื่อประเทศ. จริงหรือ.หรือเพื่อใคร?

-ข่าวว่ามันจะจัดการยิ่งลักษณ์จริงหรือ แล้วจะมีคนออกมาคัดค้านเยอะไหม และเรื่องจะแรงแค่ไหน

-อื่น ๆ













ทางออกประเทศไทย -อ.ชูพงศ์-ดร.เพียงดิน 6 กรกฎาคม 2558 "ระบอบราชาธิปไตย และระบบสมมุติเทพ กำลังทำลายประเทศไทย"


ทางออกประเทศไทย -อ.ชูพงศ์-ดร.เพียงดิน  6 กรกฎาคม  2558 "ระบอบราชาธิปไตย และระบบสมมุติเทพ กำลังทำลายประเทศไทย"

- การเลือกตั้ง ทางเลือกของฝ่ายใด? ทำไม?
- ทำอย่างไร ถึงเกิดการเปลี่ยนระบอบ?
-ใครที่เป็นผู้ที่ทำให้การเปลี่ยนระบอบเกิดขึ้นจริง?
-คบกับจีน. วันนี้ มีผลดีผลเสียอย่างไร?
-ซื้อเรือดำน้ำ ซื้อเครื่องบินรบ เพื่อประเทศ. จริงหรือ.หรือเพื่อใคร?
-ข่าวว่ามันจะจัดการยิ่งลักษณ์จริงหรือ แล้วจะมีคนออกมาคัดค้านเยอะไหม และเรื่องจะแรงแค่ไหน
-อื่น ๆ




"ดร.เพียงดิน คิดเป็นศัตรู กับ ดร.ทักษิณ​และแย่งชิงการนำจากเสรีไทย หรือ?"



Download







Sunday, July 5, 2015

“จุดอ่อน” ของคนไทยและประเทศไทย 10 ข้อ.. คนไทยทุกคนควรอ่าน



“จุดอ่อน” ของคนไทยและประเทศไทย 10 ข้อ....

1 . คนไทยรู้จักหน้าที่ของตัวเองต่ำมาก
โดยเฉพาะ หน้าที่ต่อสังคม เป็นประเภทมือใครยาวสาวได้สาวเอา เกิดเป็น ธุรกิจการเมือง ธุรกิจราชการ ธุรกิจการศึกษา ทำให้ประเทศชาติล้าหลังไปเรื่อยๆ

2. การศึกษายังไม่ทันสมัย

คนไทยจะเก่งแต่ภาษาของตัวเอง ทำให้ขาดโอกาสในการแข่งขันกับต่างชาติในเวทีต่างๆ ไม่กล้าแสดงออก ขี้อายไม่มั่นใจในตัวเอง เราจึงตามหลังชาติอื่น จะเห็นว่าคนมีฐานะจะส่งลูกไปเรียนเมืองนอกเพื่อโอกาสที่ดีกว่า

3. มองอนาคตไม่เป็น
คนไทยมากกว่า 70% ทำงานแบบไร้อนาคตทำแบบวันต่อวัน แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวันๆ น้อยคนนักที่จะทำงานแบบเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอ มีเป้าหมายในอนาคตที่ชัดเจน

4. ไม่จริงจังในความรับผิดชอบต่อหน้าที่

ทำแบบผักชีโรยหน้าหรือทำด้วยความเกรงใจ ต่างกับคนญี่ปุ่นหรือยุโรปที่จะให้ความสำคัญกับสัญญาหรือข้อตกลงอย่างเคร่ง ครัด เพราะหมายถึงความเชื่อถือในระยะยาว ปัจจุบันคนไทยถูกลดเครดิตความน่าเชื่อถือด้านนี้ลงเรื่อยๆ

5. การกระจายความเจริญยังไม่เต็มที่
ประชากรประมาณ 60-70% ที่อยู่ห่างไกลจะขาดโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเองและชุมชนซึ่งเป็น หน้าที่ของภาครัฐที่ต้องส่งเสริม

6. การบังคับกฎหมายไม่เข้มแข็ง และดำเนินการไม่ต่อเนื่อง

ทำงานแบบลูบหน้าปะจมูก ปราบปรามไม่จริงจัง การดำเนินการตามกฎหมายกับผู้มีอำนาจหรือบริวารจะทำแบบเอาตัวรอดไปก่อน ไม่มีมาตรฐาน ต่างกับประเทศที่เจริญแล้ว ข้อนี้กระบวนการยุติธรรมจะต้องปรับปรุง

7. อิจฉาตาร้อน
สังคมไทยไม่ค่อยเป็นสุภาพบุรุษ เลี่ยงเป็นศรีธนญชัยยกย่องคนมีอำนาจ มีเงิน โดยไม่สนใจภูมิหลัง โดยเฉพาะคนที่ล้มบนฟูกแล้วไปเกาะผู้มีอำนาจ เอาตัวรอด คนพวกนี้ร้ายยิ่งกว่า ผู้ก่อการร้ายดีแต่พูด มือไม่พายเอาเท้ารานํ้า ทำให้คนดีไม่กล้าเข้ามาเพราะกลัวเปลืองตัว

8. เอ็นจีโอค้านลูกเดียว
เอ็น จีโอ บางกลุ่มอิงอยู่กับผลประโยชน์เอ็นจีโอดีๆ ก็มี แต่บ้านเรามีน้อย บ่อยครั้งที่ประเทศเราเสียโอกาสอย่างมหาศาลเพราะการค้านหัวชนฝา เหตุผลจริงๆ ไม่ได้พูดกัน

9. ยังไม่พร้อมในเวทีโลก
การสร้างความน่าเชื่อถือในเวทีการค้าระดับโลกของเรายังขาดทักษะและทีม เวิร์ค ที่ดี ทำให้สู้ประเทศเล็กๆ อย่างสิงคโปร์ไม่ได้

10. เลี้ยงลูกไม่เป็น
ปัจจุบัน เด็กไทยขาดความอดทน ไม่มีภูมิคุ้มกันเป็นขี้โรคทางจิตใจ ไม่เข้มแข็ง เพราะเราเลี้ยงลูกแบบไข่ในหิน ไม่สอนให้ลูกช่วยตัวเอง ต่างกับชาติที่เจริญแล้ว เขาจะกระตือรือร้นช่วยตนเองขวนขวาย แสวงหา ค้นหาตัวเอง และเขาจะสอนให้สำนึกรับผิดชอบต่อสังคมข้อสุดท้าย! อ่านแล้วอาจต้องแปะติดข้างฝาไว้เลย!

ขอบคุณ http://talk.mthai.com/topic/409090

July 6th "Freedom for Thailand" across USA.



Download






เบื้องหลังเบื้องลึก และความจริง เรื่อง การค้าข้าวไทย





เรียน ดร.







           ระบบการค้าข้าวไทยมีการพยายามเปลี่ยนโครงสร้างในสมัยปี51(นายกสมัคร)ถึงขั้น คุณมิ่งขวัญลั่นวาจาว่าถ้าข้าวไม่ถึงเกวียนละ18,000ห้ามขาย รัฐเริ่มมีแนวคิดที่จะขายข้าวตรงโดยดึงสัดส่วนออกจากมือโรงสีซึ่งข้าวส่วนที่ขายตรงเป็นข้าวจากผลผลิตส่วนเกิน สร้างความไม่พอใจให้กับระบบขายข้าวข้ามชาติเป็นอย่างมากถึงขั้นยกชุดไปคุยเจรจากับคุณยรรยง ถึงกระทรวง แต่ตอนนั้นเป็นแค่การต่อรองราคาซึ่งไม่เป็นที่พอใจเนื่องจากรัฐต้องการขายตรง (ต่อมาเรียกติดปากกันว่าจีทูจี) จึงเป็นส่วนหนึ่งที่รัฐบาลคุณสมัครล้มและคุณมิ่งขวัญเลิกเล่นการเมือง  
           ข้าวได้มีการค้างสต๊อตตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเนื่องจากยุคคุณสมชายไม่ได้เข้าบริหารเต็มที่ต้องหนีไปหนีมาจากม๊อป เมื่อเข้าสู่ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ได้หยิบชูนโยบายนี้กลับขึ้นมาเป็นที่ไม่พอใจอย่างมากกับผู้ค้าข้าวระหว่างประเทศ(ไม่ใช่สมาคมชาวนาไทย) และเจ้าของโรงไซโล(ไม่ใช่โรงสี) ถึงขั้นสั่งว่าต้องทำประกันราคาไม่ใช่รับจำนำ เพื่อที่เขาจะกำหนดต้นทุนการผลิตได้ แต่รัฐบาลตัดสินใจแถลงเป็นนโยบายถ้าไม่ปฏิบัติก็ผิดกฏหมายถ้าปฏิบัติมีศัตรูตัวใหญ่รอชนอยู่  สุดท้ายเลือกที่จะชน โดยติดต่อการค้าข้าวแบบจีทูจีต่อไป ทำให้เกิดการชัตดาว์นระบบข้าวไทยทั้งระบบไม่ให้ซื้อไม่ให้ขายไม่ให้ขยับไม่เบิกจ่ายเงิน  ตอนนี้คงถึงเวลาสั่งสอนผู้ที่ไม่เชื่อฟังแล้วหล่ะครับ
(ปล.ข้าวสาร1ตันใช้ข้าวเปลือกประมาณ1.6ตัน ส่วนราคาที่จะกำหนดนั้นคงต้องให้ชาวนาได้รู้ราคาตลาดโลก จริงแบบเรียลทามจึงจะแก้ปัญหาได้ ถ้ามีสต๊อคมาร์เกตวิ่งแบบไทม์สแควได้คงดีไม่น้อย ส่วนรัฐมีหน้าที่คอยพยุงในขณะที่เกิดความผันผวนทางตลาดซึ่งรัฐจะต้องรู้ก่อนอยู่แล้วจากกระทรวงต่างประเทศ ส่วนเรื่องคลิปที่ส่งมานั้นเกิดจากราคาข้าวตลาดโลกตกลงมากทำให้ต้องหาคนรับกรรม จะเอาบริบทและเงื่อนเวลาที่ต่างกันมาใช้กับสิ่งเดียวกันคงเป็นไปไม่ได้ครับ เพราะถ้าเอาราคาข้าวยุคคุณสมัครมาพูดตอนนั้นตันละสามหมื่นกว่าตอนนี้รัฐจากทำขาดทุนคงกลายเป็นกำไรมหาศาลมันไม่ใช่การทำเพื่อชาติแต่เป็นการทำลายล้างจากความแค้นส่วนกลุ่มบุคคลมากกว่าครับ)
     หมายเหตุ  ผมได้ดูที่ดร.วางในบลอคแล้วครับถ้าไม่รบกวนเกินไปช่วยเซนเซอร์ตัวบุคคลเชิงคู่สนทนาได้จะเป็นพระคุญอย่างสูง 
    ***เช่น"น้องชายเหล่าธรรมทัต  ทำงานให้เจ้าสัว "หรือ"ผก TMB"  นี่เป็นการระบุคู่สนทนาทันทีเลยครับ        
    ส่วนถ้าเป็นชื่อคนในเชิงข้อมูลคงไม่มีปัญหาอะไรครับ(มีความกังวลเล็กน้อย)                                                                                                                  



                                                                                                                                             
ด้วยความเคารพอย่างสูง








เบื้องหลังเบื้องลึก และความจริง เรื่อง การค้าข้าวไทย

เรียน ดร.





           ระบบการค้าข้าวไทยมีการพยายามเปลี่ยนโครงสร้างในสมัยปี51(นายกสมัคร)ถึงขั้น คุณมิ่งขวัญลั่นวาจาว่าถ้าข้าวไม่ถึงเกวียนละ18,000ห้ามขาย รัฐเริ่มมีแนวคิดที่จะขายข้าวตรงโดยดึงสัดส่วนออกจากมือโรงสีซึ่งข้าวส่วนที่ขายตรงเป็นข้าวจากผลผลิตส่วนเกิน สร้างความไม่พอใจให้กับระบบขายข้าวข้ามชาติเป็นอย่างมากถึงขั้นยกชุดไปคุยเจรจากับคุณยรรยง ถึงกระทรวง แต่ตอนนั้นเป็นแค่การต่อรองราคาซึ่งไม่เป็นที่พอใจเนื่องจากรัฐต้องการขายตรง (ต่อมาเรียกติดปากกันว่าจีทูจี) จึงเป็นส่วนหนึ่งที่รัฐบาลคุณสมัครล้มและคุณมิ่งขวัญเลิกเล่นการเมือง  
           ข้าวได้มีการค้างสต๊อตตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเนื่องจากยุคคุณสมชายไม่ได้เข้าบริหารเต็มที่ต้องหนีไปหนีมาจากม๊อป เมื่อเข้าสู่ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ได้หยิบชูนโยบายนี้กลับขึ้นมาเป็นที่ไม่พอใจอย่างมากกับผู้ค้าข้าวระหว่างประเทศ(ไม่ใช่สมาคมชาวนาไทย) และเจ้าของโรงไซโล(ไม่ใช่โรงสี) ถึงขั้นสั่งว่าต้องทำประกันราคาไม่ใช่รับจำนำ เพื่อที่เขาจะกำหนดต้นทุนการผลิตได้ แต่รัฐบาลตัดสินใจแถลงเป็นนโยบายถ้าไม่ปฏิบัติก็ผิดกฏหมายถ้าปฏิบัติมีศัตรูตัวใหญ่รอชนอยู่  สุดท้ายเลือกที่จะชน โดยติดต่อการค้าข้าวแบบจีทูจีต่อไป ทำให้เกิดการชัตดาว์นระบบข้าวไทยทั้งระบบไม่ให้ซื้อไม่ให้ขายไม่ให้ขยับไม่เบิกจ่ายเงิน  ตอนนี้คงถึงเวลาสั่งสอนผู้ที่ไม่เชื่อฟังแล้วหล่ะครับ
(ปล.ข้าวสาร1ตันใช้ข้าวเปลือกประมาณ1.6ตัน ส่วนราคาที่จะกำหนดนั้นคงต้องให้ชาวนาได้รู้ราคาตลาดโลก จริงแบบเรียลทามจึงจะแก้ปัญหาได้ ถ้ามีสต๊อคมาร์เกตวิ่งแบบไทม์สแควได้คงดีไม่น้อย ส่วนรัฐมีหน้าที่คอยพยุงในขณะที่เกิดความผันผวนทางตลาดซึ่งรัฐจะต้องรู้ก่อนอยู่แล้วจากกระทรวงต่างประเทศ ส่วนเรื่องคลิปที่ส่งมานั้นเกิดจากราคาข้าวตลาดโลกตกลงมากทำให้ต้องหาคนรับกรรม จะเอาบริบทและเงื่อนเวลาที่ต่างกันมาใช้กับสิ่งเดียวกันคงเป็นไปไม่ได้ครับ เพราะถ้าเอาราคาข้าวยุคคุณสมัครมาพูดตอนนั้นตันละสามหมื่นกว่าตอนนี้รัฐจากทำขาดทุนคงกลายเป็นกำไรมหาศาลมันไม่ใช่การทำเพื่อชาติแต่เป็นการทำลายล้างจากความแค้นส่วนกลุ่มบุคคลมากกว่าครับ)
     หมายเหตุ  ผมได้ดูที่ดร.วางในบลอคแล้วครับถ้าไม่รบกวนเกินไปช่วยเซนเซอร์ตัวบุคคลเชิงคู่สนทนาได้จะเป็นพระคุญอย่างสูง 
    ***เช่น"น้องชายเหล่าธรรมทัต  ทำงานให้เจ้าสัว "หรือ"ผก TMB"  นี่เป็นการระบุคู่สนทนาทันทีเลยครับ        
    ส่วนถ้าเป็นชื่อคนในเชิงข้อมูลคงไม่มีปัญหาอะไรครับ(มีความกังวลเล็กน้อย)                                                                                                                  


                                                                                                                                             
ด้วยความเคารพอย่างสูง