PPD's Official Website

Thursday, August 13, 2015

สรรเสริญ ศรีอุ่นเรือน กับการซ้อมทรมานภายใต้รัฐประหาร"

วันอาทิตย์, สิงหาคม 09, 2558
ขอเชิญร่วมงาน สนทนาหน้าคุก ครั้งที่ 1 ตอน "สรรเสริญ ศรีอุ่นเรือน กับการซ้อมทรมานภายใต้รัฐประหาร" วันอาทิตย์ที่ 9 ส.ค. 58 บ่ายสองโมงเป็นต้นไป ที่หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ถนนงามวงศ์งาน

สนทนาหน้าคุก ครั้งที่ 1 ตอน "สรรเสริญ ศรีอุ่นเรือน กับการซ้อมทรมานภายใต้รัฐประหาร"

วันอาทิตย์ที่ 9 ส.ค. 58 บ่ายสองโมงเป็นต้นไป ที่หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ถนนงามวงศ์งาน
...

เรื่องเกี่ยวข้อง...
จากเวป ncpusa

สรรเสริญ ศรีอุ่นเรือน โต้รายงานตำรวจ “รอยฟกช้ำน่าจะเกิดจากล้มไปกระทบสิ่งของไม่มีคม”

July 20, 2015

by Woodside New York

วันอังคาร ที่ 21 กรกฎาคม 2558

เยี่ยมยุทธ สุทธิฉายา
รัชตะ ทองรวย

วันพรุ่งนี้ (21 ก.ค.2558) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน จะเข้ายื่นหนังสือของสรรเสริญที่เขียนตอบโต้ผลการสอบสวนของตำรวจกรณีการซ้อมทรมานเขาที่มีผลสรุปว่า “รอยฟกช้ำน่าจะเกิดจากการกระทบหรือล้มไปกระทบกับสิ่งของไม่มีคม”

ทั้งนี้ สรรเสริญเป็นหนึ่งในจำเลย14 รายในคดีปาระเบิดลานจอดรถศาลอาญาเมื่อคืนวันที่ 7 มี.ค.2558 ในจำนวนนี้จำเลยเป็นหญิง 4 คน ชาย 10 คน ทั้งหมดถูกคุมขังในเรือนจำ ยกเว้น 2 รายที่ได้รับการประกันตัว ศาลทหารรับฟ้องแล้วเมื่อราวเดือนมิถุนายน แต่ยังไม่มีการนัดวันสืบพยานแต่อย่างใด

สรรเสริญ เป็นชายอายุ 63 ปี อาชีพขับแท็กซี่ และมีแนวคิดค่อนไปทางซ้าย เขาถูกโยงเข้ากับคดีนี้เนื่องจากการไปบรรยายเรื่องประวัติศาสตร์การเมืองให้กับกลุ่มผู้สนใจทางการเมืองกลุ่มหนึ่งที่ อ.เมือง จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 15 – 16 กุมภาพันธ์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจแถลงว่า เป็นการพบปะเพื่อวางแผนก่อเหตุ

ภายหลังการจับกุมสรรเสริญ ( 9 มีนาคม 2558) เขาเป็นคนแรกที่แจ้งกับทนายความเรื่องการถูกซ้อมทรมานระหว่างในระหว่างถูกควบคุมตัวโดยใช้กฎอัยการศึก 7 วัน (อ่านที่นี่) เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องขึ้นมาเมื่อทนายความของศูนย์ทนายฯ ออกแถลงการณ์ระบุว่า ในคดีนี้มีลูกความอย่างน้อย 4 รายที่แจ้งว่าถูกซ้อมทรมาน (อ่านที่นี่) สรรเสริญเรียกร้องให้ตำรวจทำการสอบสวนเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ

หากพิจารณาเอกสารหลักฐานที่ปรากฏ จะพบการตรวจร่างกายจาก 2 หน่วยงาน ดังนี้

15 มีนาคม 2558 ภายหลังทหารนำตัวเขามาส่งให้ตำรวจ มีการจัดทำบันทึกการตรวจร่างกายผู้ต้องหาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ส่งแพทย์จากโรงพยาบาลตำรวจมาตรวจร่างกาย ผลการตรวจร่างกาย มีดังนี้

“มีรอยฟกช้ำบริเวณ แขนขวาท่อนบน, หน้าท้อง

พบรอยแผลไฟไหม้เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.6 ซม.หลายจุดบริเวณต้นขาขวา”

20 มีนาคม 2558 ใบความเห็นแพทย์จากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ระบุว่า ได้ทำการตรวจร่างกาย นช.สรรเสริญ ศรีอุ่นเรือน เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2558 แล้วปรากฏว่า

“พบรอยเขียวช้ำหลายรอบ บริเวณหน้าขาและท้อง

พบจุดคล้ายรอยไฟไหม้หลายจุดที่ต้นขาขวา”

13 พฤษภาคม 2558 พล.ต.ท.ศรีวราห์ สังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ทำหนังสือแจ้งผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามที่สรรเสริญได้ทำหนังสือร้องขอ โดยได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วยการสอบปากคำ สรรเสริญ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง แพทย์ประจำโรงพยาบาลตำรวจ แพทย์และพยาบาลประจำเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ผู้ตรวจร่างกายในวันรับตัวและระหว่างถูกควบคุมตัวที่เรือนจำพิเศษ กรุงเทพฯ โดยไม่ได้สอบปากคำเจ้าหน้าที่ทหารที่ควบคุมตัวสรรเสริญ 7 วันก่อนนำตัวส่งตำรวจ

ข้อสรุปของตำรวจระบุว่า

“ยืนยันว่า ผลการตรวจร่างกายของท่านพบรอยฟกช้ำบริเวณลำตัวด้านหน้า สันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากการกระทบหรือล้มไปกระทบกับสิ่งของไม่มีคม แต่ไม่อาจยืนยันได้ว่าบาดแผลดังกล่าวเกิดจากสาเหตุใด อีกทั้งในขณะที่ตรวจร่างกายแพทย์ได้ทำการสอบถามท่านแล้ว ซึ่งท่านยืนยันว่าไม่ได้ถูกผู้ใดทำร้ายร่างกาย ซึ่งปรากฏตามบันทึการตรวจร่างกาย ภาพถ่ายการตรวจร่างกาย และใบความเห็นของแพทย์ผู้ตรวจร่างกายของท่าน พนักงานสืบสวนสอบสวนจึงได้สรุปผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงและมีความเห็นว่า ในชั้นนี้ยังฟังไม่ได้ว่า ท่านได้ถูกเจ้าหน้าที่ทหารหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือผู้หนึ่งผู้ใดทำร้ายร่างกายตามที่ได้ทำหนังสือร้องเรียนมาแต่อย่างใด”

5 มิถุนายน 2558 สรรเสริญเขียนจดหมายเปิดผนึกจากในเรือนจำเพื่อโต้แย้งผลการตรวจสอบข้างต้น มีใจความสำคัญว่า ขอให้ผู้ พล.ต.ท.ศรีวราห์ บัญชาการตำรวจนครบาล ทำการตรวจสอบอีกครั้งด้วยความเป็นธรรม พร้อมทั้งอธิบายว่าการแจ้งว่าไม่ได้ถูกเจ้าหน้าที่พนักงานทำร้ายร่างกายนั้นหมายถึงเจ้าพนักงานตำรวจ และเจ้าพนักงานราชทัณฑ์เท่านั้น ไม่ได้หมายถึงทหารชุดจับกุมและสอบสวน 

"จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาข้อโต้แย้งของข้าฯ และโปรดเมตตาข้าฯ สักครั้งหนึ่ง จักเป็นพระคุณยิ่งแก่ข้าฯ และครอบครัวอย่างหาที่สุดมิได้ เพราะที่ผ่านมา ข้าฯ ได้รับความบอบช้ำทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจอย่างแสนสาหัส อีกทั้งข้าฯ ก็อายุมากแล้ว ควรมิควรแล้วแต่จะเมตตาพิจารณา" จดหมายระบุ

000000

จดหมายของนายสรรเสริญ ศรีอุ่นเรือน ถึงผู้บัญชาการตำรวจนครบาล

ทำที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร

วันที่ ๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๘

เรื่อง ข้อโต้แย้ง ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีผู้ต้องหาทำหนังสือร้องเรียน

เรียน ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กองบัญชาการตำรวจนครบาล

ตามที่ข้าพเจ้า นายสรรเสริญ ศรีอุ่นเรือน ผู้ร้องเคยทำหนังสือ ลงวันที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๘ เรื่อง ขอให้รวบรวมพยานหลักฐานเกี่ยวกับการซ้อมทรมาน ข้าฯ และต่อมา กองบัญชาการตำรวจนครบาลได้มีหนังสือ แจ้งผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีผู้ต้องหาทำหนังสือร้องเรียน ที่ ตช. ๐๐๑๕.๑๘๓ / ๑๑๐ ลงวันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ ลงนามโดย พล.ต.ท. ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ถึงข้าฯ แล้วนั้น

จากหนังสือที่ ตช. ๐๐๑๕.๑๘๓ / ๑๑๐ ฉบับดังกล่าวได้กล่าวในหน้า ๑ วรรค ๒ บรรทัดที่ ๔ ถึงหน้า ๒ ทั้งหมด ความว่า “ยืนยันว่า ผลการตรวจสอบร่างกายท่าน (ท่านหมายถึงข้าพเจ้า – ผู้ร้อง) พบรอยฟกช้ำบริเวณลำตัวด้านหน้า สันนิษฐานว่า น่าจะเกิดจากการกระทบ หรือล้มไปกระทบกับสิ่งของไม่มีคม แต่ไม่อาจยืนยันได้ว่า บาดแผลดังกล่าวเกิดจากสาเหตุใด อักทั้งในขณะที่ตรวจสอบ แพทย์ได้ทำการสอบถามท่านแล้ว ซึ่งท่านยืนยันว่าไม่ได้ถูกผู้ใดทำร้ายร่างกาย ซึ่งปรากฎตามบันทึกการตรวจร่างกาย ภาพถ่ายการตรวจร่างกาย และใบความเห็นของแพทย์ผู้ตรวจร่างกายของท่าน พนักงานสืบสวนสอบสวนจึงได้สรุปผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงและมีความเห็นว่า ในชั้นนี้ยังฟังไม่ได้ว่า ท่านได้ถูกเจ้าหน้าที่ทหาร หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือผู้หนึ่งผู้ใด ทำร้ายร่างกาย ตามที่ได้ทำหนังสือร้องเรียนมาแล้วแต่ประการใด”

จากข้อความและสรุปผลการตรวจสอบข้างต้นนั้น ข้าฯขอโต้แย้งข้อความข้างต้นว่า เป็นข้อความที่บิดเบือนข้อเท็จจริง ที่เกิดขึ้นซึ่งตามที่ข้าฯ เคยทำหนังสือร้องเรียน ฉบับลงวันที่ ๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๘ ข้อเท็จจริง คือ ข้าฯ ถูกจับกุมตัว เมื่อวันที่ ๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลากลางคืน และทหารได้สอบสวนซักถามข้าฯ ในวันที่ ๑๐ – ๑๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ เจ้าหน้าที่ซึ่งข้าฯ หมายถึงทหารชุดจับกุมและสอบสวนข้าฯ ได้บังคับ ขู่ และทำร้ายร่างกาย เพื่อให้ข้าฯ รับสารภาพ ข้าฯ ได้ให้การปฏิเสธ เจ้าหน้าที่ชุดดังกล่าวได้ชกต่อยที่บริเวณหน้าท้องและทรวงอก บริเวณลิ้นปี่และชายโครง และเหยียบบริเวณลำตัว ต่อยและตบบริเวณศีรษะและทรวงอกหลายสิบครั้ง ทำให้ข้าฯได้รับบาดเจ็บบริเวณช่องอกและชายโครง และถูกบังคับให้ถอดกางเกงและถูกช็อตด้วยไฟฟ้า บริเวณโคนขาขวาด้านนอกประมาณกว่า ๓๐ ครั้ง แต่เนื่องจากวันที่แพทย์ประจำเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครได้ทำการตรวจร่างกายข้าฯ เวลาได้ล่วงเลยมาจนวันที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ห่างจากวันที่ข้าฯ ถูกทำร้ายร่างกายดังกล่าวถึง ๘ วัน ทำให้ร่องรอยการถูกทำร้ายร่างกายข้างต้นได้ทุเลาลงบ้างแล้ว เหลือให้เห็นเป็นบางส่วน ที่ชัดเจนคือบริเวณที่ถูกช็อตด้วยไฟฟ้า บริเวณโคนขาขวาด้านนอก ที่ยังปรากฎร่องรอยอยู่ชัดเจน ซึ่งมิได้เป็นไปตามข้อสันนิษฐานว่า น่าจะเกิดจากการกระทบ หรือล้มไปกระทบกับสิ่งของไม่มีคม และเนื่องจากแพทย์ผู้ตรวจร่างกายข้าฯ ไม่เห็นเหตุการณ์ที่ข้าฯ ถูกทำร้าย กอปรกับระยะเวลาเกิดเหตุ ห่างจากวันตรวจร่างกายถึง ๘ วัน และข้อความที่ว่า “อีกทั้งในขณะที่ตรวจร่างกาย แพทย์ได้ทำการซักถามท่านแล้ว ซึ่งท่านยืนยันว่าไม่ได้ถูกผู้ใดทำร้ายร่างกายซึ่งปรากฎตามบันทึกการตรวจร่างกาย”นั้น ข้าฯหมายถึงไม่มีเจ้าพนักงานตำรวจ หรือเจ้าพนักงานราชทัณฑ์ ทำร้ายร่างกายข้าฯ แต่อย่างใด แต่ไม่ได้รวมถึงทหารชุดจับกุมและสอบสวน ที่ทำร้ายร่างกายข้าฯ ในวันที่ ๑๐ – ๑๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ ก่อนที่จะนำตัวข้าฯ ส่งสถานีตำรวจนครบาล ในวันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามหนังสือที่ข้าฯ บันทึก ฉบับลงวันที่ ๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่อ้างถึงในบันทึกที่ ตช. ๐๐๑๕.๑๘๓ / ๑๑๐ ข้างต้น และตามบันทึกการตรวจร่างกายผู้ต้องหา สถานที่บันทึก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ ที่จัดทำขึ้นเมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๘ ซึ่งผลการตรวจก็ระบุไว้ชัดเจนว่า มีรอยฟกช้ำบริเวณแขนขวาท่อนบน,หน้าท้อง พบรอยแผลไฟไหม้ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๐.๖ ซม. หลายจุดบริเวณต้นขาขวา ซึ่งร่องรอยดังกล่าว ข้าฯ ขอยืนยันอีกครั้งว่า เกิดขึ้นขณะถูกควบคุมตัวและสอบสวนโดยทหาร ในวันที่ ๑๐ – ๑๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๘ ก่อนที่จะถูกส่งตัวข้าฯ มอบให้เจ้าพนักงานตำรวจ ณ กองบัญชาการตำรวจนครบาล และผลใบความเห็นแพทย์ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ในวันที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยนายแพทย์มานพ ศรีสุพรรณถาวร ได้ทำการตรวจร่างกายข้าฯ ปรากฎว่า
พบรอยเขียวช้ำหลายรอยบริเวณอกและท้อง
พบจุดคล้ายรอยไหม้หลายจุดที่ต้นขาขวา

ซึ่งจากผลการตรวจร่างกายของ สำนักงานตำรวนแห่งชาติ โดยพ.ต.อ.ไพบูลย์ มะระพฤกษ์วรรณ แพทย์โรงพยาบาลตำรวจและแพทย์โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ผลออกมาสอดคล้องกันดี ในผลการตรวจร่างกายข้าฯ แต่พนักงานสืบสวนได้สรุปผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง และมีความเห็นว่า ในชั้นนี้ยังฟังไม่ได้ว่า ข้าฯ ได้ถูกเจ้าหน้าที่ทหาร หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือผู้หนึ่งผู้ใด ทำร้ายร่างกายตามที่ข้าฯ ได้ทำหนังสือร้องเรียนมาแต่ประการใด

จากเรื่องแจ้งผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีผู้ต้องหาทำหนังสือร้องเรียน ที่ ตช. ๐๐๑๕.๑๘๓ / ๑๑๐ ลงวันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๘ ออกโดยกองบัญชาการตำรวจนครบาล ลงนามโดย พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ถึงข้าฯ ดังกล่าวข้างต้น ข้าฯจึงขอทำหนังสือฉบับนี้ เพื่อโต้แย้งผลการสืบสวนในครั้งนี้ว่า เป็นการสรุปผลการสืบสวนที่ไม่เป็นธรรมแก่ข้าฯ ผู้ร้อง เป็นการอนุมานข้อเท็จจริงที่เลื่อนลอย ไร้เหตุผลที่ข้าฯมิอาจจะรับได้ ดังนั้น หนังสือฉบับนี้ ข้าฯขอให้ท่านผู้บัญชาการตำรวจนครบาล คือท่าน พล.ต.ม.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ได้ตรวจสอบเอกสารด้วยความเป็นธรรม ตามเอกสารคำร้องตามที่อ้างถึง ลงวันที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๘ ของข้าฯ และบันทึกผลการตรวจร่างกายผู้ต้องหา ตามสถานที่บันทึก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในวันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๘ และใบความเห็นแพทย์ทัณฑสถาน โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ลงวันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ อีกครั้งหนึ่งด้วยตัวท่านเอง เพื่อดำรงความยุติธรรมในการสรุปผลการสอบสวนข้อเท็จจริงแก่ข้าฯ ผู้ร้องอีกครั้งหนึ่ง อย่าด่วนสรุปใดๆ ตามที่เจ้าพนักงานสรุปนำเสนอลงนาม โดยมิได้ตรวจสอบก่อนลงนาม

จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาข้อโต้แย้งของข้าฯ และโปรดเมตตาข้าฯ สักครั้งหนึ่ง จักเป็นพระคุณยิ่งแก่ข้าฯ และครอบครัวอย่างหาที่สุดมิได้ เพราะที่ผ่านมา ข้าฯ ได้รับความบอบช้ำทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจอย่างแสนสาหัส อีกทั้งข้าฯ ก็อายุมากแล้ว ควรมิควรแล้วแต่จะเมตตาพิจารณา

ขอแสดงความนับถือ

นายสรรเสริญ อุ่นเรือน ผู้เรียง/เขียน

ต้องกำจัดตัวบงการ (บทความจากเมืองไทย)

  โครงสร้างแบบเดิม ได้พิสูจน์แล้วว่าใช้ไม่ได้  เราวนเวียนกับการเมืองแบบเดิม ๆ มาหลายรอบ หลายสมัย  จนจับทางได้แล้วว่าเหตุการต่อไปจะเป็นอย่างไร   ซึ่งน่าเบื่อ ...
  แต่เราจะเปลี่ยผ่านได้อย่างไร  ในเมื่อตัวบงการ ยังอยู่  สำคัญอยู่ที่ตัวบงการ  ไม่ใช่แวดล้อม
หากเราต้องการเปลี่ยน เราต้องกำจัดตัวบงการ คือ ปัญหาหลัก ที่ทำให้เหตุการณ์ต่าง ๆ ไม่สงบ  ประเทศชาติบ้านเมืองไม่พัฒนา  ไม่สามารถเจริญก้าวไปข้างหน้า  
  หากจะบอกว่า ประธานองคมนตรี และคณะ คือปัญหาหลัก  เป้าหมาย  และศัตรูตัวจริงเราอยู่ตรงนี้  เราต้องแก้ตรงนี้  กำจัดตรงนี้  เราถึงก้าวข้าม หลุมดำนี้ได้  จะรอให้ตายเอง  หรือให้มีการสืบทอดทายาท อสูร.......... เราต้องช่วยกันคิดต่อนะ........อย่าหลงประเด็น...เพราะเราอาจจะรบผิดตัว(ที่เราต่อสู้ไม่ใช่ศัตรูตัวจริง) ปัญหาเลยไม่จบสักที.
  

กองทัพ"แหล่งทุจริตใหญ่สุดในรัฐ"เสรีพิศุทธ์"เตือนปฎิรูปตัวเองก่อน

กองทัพ"แหล่งทุจริตใหญ่สุดในรัฐ"เสรีพิศุทธ์"เตือนปฎิรูปตัวเองก่อน ก่อนปฎิรูปคนอื่น
http://youtu.be/eHkge_Qt0cQ

จอม เพชรประดับ สัมภาษณ์
 ท่านเสรีฯพูดถูกต้องทั้งหมด
 ทหารเอาเปรียบ ข้าราชการทุกกระทรวงทบวงกรม ฯ 

PIANGDIN ACADEMY สำนักวิชาชาวดิน: Manager: เผยโผทหารประจำปี 2558 พร้อมนำขึ้นให้กษัต...

PIANGDIN ACADEMY สำนักวิชาชาวดิน: Manager: เผยโผทหารประจำปี 2558 พร้อมนำขึ้นให้กษัต...: รายชื่อโผทหารประจำปี 58 เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก่อนส่งให้ “บิ๊กตู่” นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย คาด “ประยุทธ์” จะนำบัญชีรายชื่อปรับย้ายนายทหารนำขึ้นท...

Manager: เผยโผทหารประจำปี 2558 พร้อมนำขึ้นให้กษัตริย์รับรอง

รายชื่อโผทหารประจำปี 58 เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก่อนส่งให้ “บิ๊กตู่” นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย คาด “ประยุทธ์” จะนำบัญชีรายชื่อปรับย้ายนายทหารนำขึ้นทูลเกล้าฯ พร้อมกับรายชื่อ “ครม.ประยุทธ์ 2” ที่มีการปรับใหม่ โดย “พล.อ.ปรีชา” น้องชายของ พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ. ขณะที่ “พล.อ.ธีรชัย” จะถูกโยกมาเป็นปลัดกลาโหม ส่วน 5 เสือ ทบ. คาดจะมีการขยับให้ “พล.อ.วลิต โรจนภักดี” รองเสนาธิการทหาร ขึ้นมาเป็นรอง ผบ.ทบ. ด้านกองบัญชาการกองทัพไทย “พล.อ.สมหมาย เกาฏีระ” เสนาธิการทหาร เป็น ผบ.สส. “พล.ร.อ.ณรงค์พล ณ บางช้าง” ขึ้นมาเป็น ผบ.ทร.คนใหม่ ส่วน “พล.อ.อ.ตรีทศ สนแจ้ง” ผบ.ทอ.ยังคงอยู่ในตำแหน่ง
     
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้นัดให้ผู้บัญชาการเหล่าทัพส่งบัญชีรายชื่อปรับย้ายนายทหารประจำปี 2558 ภายในวันที่ 15 ส.ค.นี้ เพื่อนำบัญชีรายชื่อของเหล่าทัพมาตรวจสอบรายละเอียด ก่อนที่จะส่งให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ต่อไป
     
       ทั้งนี้ คาดว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะนำบัญชีรายชื่อปรับย้ายนายทหาร นำขึ้นทูลเกล้าฯ พร้อมกับรายชื่อครม. “ประยุทธ์ 2” ที่มีการปรับใหม่
     
       สำหรับบัญชีรายชื่อโยกย้ายนายทหาร ทางผู้บัญชาการเหล่าทัพได้ส่งให้ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการปรับย้ายนายทหารระดับชั้นนายพลเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างให้ทางกรมเสมียนตรา ตรวจสอบรายละเอียด ความถูกต้อง ก่อนที่จะนำส่งให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต่อไป
     
       มีรายงานว่า การปรับย้ายนายทหารในครั้งนี้ ทางผู้บัญชาการเหล่าทัพค่อนข้างที่จะพิถีพิถันในการพิจารณา เนื่องจากจะต้องหาคนที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งให้เข้ากับสถานการณ์บ้านเมือง เพื่อป้องกันอุบัติเหตุทางการเมือง และที่สำคัญเพื่อป้องกันไม่ให้กระทบต่อการเดินหน้าปฏิรูปประเทศของรัฐบาลและ คสช.ที่ขณะนี้กำลังเดินหน้าไปสู่โรดแมประยะที่ 3 โดยเฉพาะตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกคนที่ 39 ที่จะมาแทน พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผบ.ทบ.และ รมช.กลาโหม ที่จะต้องเกษียณอายุราชการในปลายเดือนก.ย.นี้ ซึ่งขณะนี้ตำแหน่ง ผบ.ทบ.มีแคนดิเดตอยู่ 2 คน คือ พล.อ.ธีรชัย นาควานิช (ตท.14) และ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา (ตท.15) อยู่ระหว่างการตัดสินใจของ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อุดมเดช ในรอบสุดท้าย คาดว่าน่าจะเป็นวันที่ 26 ส.ค.นี้ ก่อนที่จะมีการประชุมสภากลาโหม
     
       แม้ว่าขณะนี้ตำแหน่ง ผบ.ทบ.คนที่ 39 จะยังไม่ชัดเจน 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ความเป็นไปได้ว่า พล.อ.อุดมเดช จะเสนอชื่อ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา น้องชายของ พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ. โดยอ้างอิงจากสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในการเดินหน้าปฏิรูปประเทศ จึงจำเป็นจะต้องเลือกคนที่ไว้ใจมากที่สุดมาดูแลสถานการณ์
     
       ขณะที่ พล.อ.ธีรชัยจะถูกโยกมาเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม เพื่อทำงานการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ปรับโครงสร้างของกระทรวงกลาโหม 2558-2567 ให้กับ พล.อ.ประวิตร ที่เป็น รมว.กลาโหม
     
       สำหรับรายชื่อปรับย้ายนายทหารที่จะเข้ามาอยู่ในไลน์ 5 เสือ ทบ.นั้น คาดว่า พล.อ.อุดมเดช จะมีการขยับให้ พล.อ.วลิต โรจนภักดี (ตท.15) รองเสนาธิการทหาร ขยับขึ้นมาเป็นรอง ผบ.ทบ. และได้แรงหนุนจาก พล.อ.ประวิตร ในฐานะน้องรัก เพื่อให้กลับมาช่วยงาน พล.อ.ปรีชา ในการทำหน้าที่ ผบ.ทบ. ส่วน พล.ท.กัมปนาท รุดดิษฐ์ (ตท.16) แม่ทัพภาคที่ 1 ขยับมาเป็น ผู้ช่วยผบ.ทบ. คู่กับ พล.ท.ปราการ ชลยุทธ (ตท.15) แม่ทัพภาคที่ 4 เป็นผู้ช่วย ผบ.ทบ. และ พล.อ.พิสิทธิ์ สิทธิสาร (ตท.17) ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ เป็นเสนาธิการทหารบก ส่วน พล.ท.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ (ตท.18) แม่ทัพน้อยที่ 1 เป็น ขึ้นมาเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 เพื่อทำหน้าที่ในการดูแลกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.)
     
       สำหรับในส่วนของกองบัญชาการกองทัพไทย พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร ผบ.สส. ได้เสนอชื่อให้ พล.อ.สมหมาย เกาฏีระ (ตท.15) เสนาธิการทหาร เป็น ผบ.สส.คนต่อไป โดยมี พล.อ.พอพล มณีรินทร์ (ตท.16) ข้ามห้วยมาเป็นรอง ผบ.สส. ควบคู่กับ พล.ร.อ.ประสาน สุขประเสริฐ (ตท.14) เป็น รอง ผบ.สส. พล.อ.อ.ศิวเกียรติ์ ชเยมะ (ตท.16) ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ เป็น รองผบ.สส. พล.อ.ทวีป เนตรนิยม (ตท.16) ผู้บัญชาการทหารพัฒนา เป็นรอง ผบ.สส. และพล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ (ตท.15) รองเสนาธิการทหาร ขึ้นเป็น เสนาธิการทหาร
     
       ในส่วนของสำนักงานปลัดกลาโหม หาก พล.อ.ธีรชัย นาควานิช (ตท.14) หากผิดหวังในตำแหน่งผบ.ทบ. จะมาเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม โดยมีพล.อ.วีรัณ ฉันทศาสตร์โกศล (ตท.14) ข้ามห้วยมาเป็น รองปลัดกระทรวงกลาโหม และ พล.ร.อ.อนุทัย รัตตะรังสี (ตท.15) ที่ปรึกษาพิเศษกองทัพเรือ มาเป็นรองปลัดกลาโหม พล.อ.อ.วรฉัตร ธารีฉัตร  ( ตท.15) ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพอากาศ ไปเป็นรองปลัดกลาโหม และ พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล (ตท.16) ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนกลาโหม ลูกหม้อภายหน่วยขึ้นตรงสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เป็น รองปลัดกลาโหม
     
       ส่วนกองทัพเรือ พล.ร.อ.ไกรสร จันทร์สุวานิชย์ ผบ.ทร. ได้ส่งไม้ต่อให้ พล.ร.อ.ณรงค์พล ณ บางช้าง (ตท.14) ผู้ช่วยผบ.ทร. ขึ้นมาเป็นผบ.ทร.คนใหม่ เพื่อสานภารกิจการจัดซื้อเรือดำน้ำจีน 3 ลำ 3.6 หมื่นล้าน และขยับให้ พล.ร.อ.ณะ อารีนิจ เสนาธิการทหารเรือ (ตท.15) เป็นรอง ผบ.ทร. เพื่อจ่อคิวเป็นผบ.ทร. คนต่อไป เพราะจะเกษียณอายุราชการเดือนก.ย.60 ส่วน พล.ร.อ.พัลลภ ตมิศานนท์ (ตท.15) ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพเรือ ที่มีผลงานโดเด่นที่ในการแก้ไขปัญหาการกระทำประมงผิดกฎหมาย ภายในศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทําการประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) เป็น ผู้ช่วย ผบ.ทร. และมี พล.ร.อ.ไกรวุธ วัฒนธรรม (ตท.16) ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ขยับเป็นเสนาธิการทหารเรือ โดยมี พล.ร.ท.สุชีพ ชนไมตรี (ตท.17) เป็นผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ
     
       ขณะที่กองทัพอากาศ พล.อ.อ.ตรีทศ สนแจ้ง ผบ.ทอ.ยังคงอยู่ในตำแหน่ง โดยจะเกษียณอายุราชการในปี 59 แต่ก็ได้มีการจัดวางไลน์ในตำแหน่ง 5 เสืออากาศใหม่ โดยมีการขยับให้ พล.อ.อ.สุทธิพันธ์ กฤษณคุปต์ (ตท.16) ผู้ช่วย ผบ.ทอง ขึ้นมาเป็น รอง ผบ.ทอ.แทน พล.อ.อ อานนท์ จารยะพันธุ์ ที่จะต้องเกษียณอายุราชการสิ้นเดือนก.ย.นี้ เพื่อรอต่อคิวเป็น ผบ.ทอ.คนต่อไป โดยมีเพื่อนร่วมรุ่น พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง (ตท.16) เสนาธิการทหารอากาศ ขยับขึ้นมาเป็น ผู้ช่วย ผบ.ทอ. และ พล.อ.อ.เผด็จ วงษ์ปิ่นแก้ว (ตท.15) ผู้บัญชาการหน่วยควบคุมการปฏิบัติ ทางอากาศ (คปอ.) เป็นผู้ช่วยผบ.ทอ. ส่วน พล.อ.ท.ทวิเดนศ อังศุสิงห์ (ตท.16) หัวหน้าคณะนายทหารฝ่ายเสนาธิการประจําผู้บังคับบัญชา ขยับเป็นเสนาธิการทหารอากาศ
 
Credit: http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9580000091529

Piangdin for Peace Academy: PIANGDIN ACADEMY สำนักวิชาชาวดิน: วัฒนา เมืองสุข ...

ตอบพลเอกประยุทธ์ผู้เป็นนายกรัฐมนตรี



ผมอ่านคำให้สัมภาษณ์ของท่านนายกจากหนังสือพิมพ์ พาดพิงที่ผมอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองกรณีห้ามผมเดินทางออกนอกประเทศ ท่านบอกให้ดูพฤติกรรมผมในการชุมนุมของคนเสื้อแดงเมื่อปี ๒๕๕๓ ผมคือคนที่อยู่กลางราชประสงค์เป็นคนมาต่อรอง ศอฉ. ซึ่งท่านก็ดูแลให้แต่การชุมนุมไม่เลิกจนท้ายสุดเกิดความรุนแรง



ความจริงเรื่องนี้ผมไม่เคยนำมาเปิดเผยเก็บเป็นความลับมาตลอด แต่เมื่อท่านเปิดมาเองผมก็จะชี้แจงเพียงเท่าที่จำเป็น ผมไม่ใช่คนที่อยู่กลางราชประสงค์และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการชุมนุมแต่เป็นคนที่ช่วยในการเจรจาทำให้ลดการสูญของทั้งสองฝ่าย ทั้งเหตุการณ์เมื่อคืนวันที่ ๑๐ เมษายน ที่ผมเป็นคนประสานให้มีการหยุดยิงและแยกสองฝ่ายออกจากกัน ส่วนในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ผมเป็นคนเดินฝ่ากระสุนปืนเข้าไปเจรจากับแกนนำเพื่อยุติการชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์จนสำเร็จ ส่วนที่ว่าการชุมนุมไม่หยุดนั้นยังมีรายละเอียดอื่นๆ อีกมากแต่ผมไม่ขอพาดพิงเพราะยังมีคนที่เกี่ยวข้องอีกหลายคน ผมเป็นเพียงคนกลางครับไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฝ่ายใด บางครั้งฝ่ายรัฐบาลรับปากแล้วไม่ปฏิบัติตามคนเสื้อแดงก็ว่าผมไม่ได้และผมก็ไม่เคยเอามาเปิดเผย



ส่วนที่ว่าผมชอบโจมตีท่านนั้น ผมขอเรียนว่าทุกเรื่องที่ผมพูดคือเรื่องของประเทศ เริ่มต้นเมื่อท่านกับพวกใช้กำลังอาวุธเข้ายึดอำนาจผมดูแถลงการณ์ฉบับที่ ๑ ถึงเจตนารมณ์และความจำเป็นผมก็ถอยและหยุดดูท่านกับพวกทำงานมา ๑ ปีเต็มจนเห็นว่าเริ่มไม่เข้าท่าผมจึงออกมา สิ่งที่ผมรับไม่ได้คือพฤติกรรมที่จะสืบทอดอำนาจผ่านรัฐธรรมนูญที่กำลังยกร่าง การแสดงท่าทีที่จะอยู่ในอำนาจต่อไปโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของประเทศ การลุแก่อำนาจของท่านและบริวารไม่รวมถึงการบริหารที่ล้มเหลวทุกด้าน แล้วท่านจะให้ผมเฉยปล่อยให้ท่านทำบ้านเมืองเสียหายต่อไปเหรอครับ อย่าอ้างว่าการร่างรัฐธรรมนูญท่านไม่เกี่ยวข้อง ลองส่งเสียงดังๆ ว่าจะรีบคืนอำนาจให้ประชาชนเค้าไปกำหนดวิถีทางทางการเมืองกันเอง หนุมานตัวใหนมันจะกล้าเหาะเกินกรุงลงกาครับนอกจากปากว่าตาขยิบเท่านั้น มีใครเค้าอยากทะเลาะกับหัวหน้าเผด็จการที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จบ้างล่ะครับ



ที่ผมฟ้องท่านขอให้ศาลเพิกถอนประกาศฉบับที่ ๒๑/๒๕๕๗ ที่ห้ามคนจำนวน ๑๕๕ คน เดินทางออกนอกประเทศนั้นก็เป็นการใช้สิทธิทางศาลแบบอารยะ เพราะผมเห็นว่าคำสั่งห้ามคนเดินทางนี้ขัดกับรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่ท่านลงนามรับสนองพระบรมราชโองการเอง ในมาตรา ๔ เขียนซะหรูว่าจะคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาคที่ชนชาวไทยเคยได้รับคุ้มครองและตามพันธกรณีระหว่างประเทศแต่การกระทำเป็นอีกอย่าง การห้ามคนเดินทางคือการจำกัดสิทธิส่วนบุคคลอันถือเป็นสิทธิมนุษยชนตามกฎหมายระหว่างประเทศ ที่สำคัญคือลูกน้องท่านทำเรื่องนี้โดยลุแก่อำนาจ เอามาต่อรองไม่ให้พวกผมวิจารณ์ท่านและรัฐบาล การอนุญาตหรือไม่ไม่มีหลักเกณฑ์ใดๆ บ่อยครั้งขอเดินทางไปยุโรปเครื่องบินออกตอนเที่ยงคืน ลูกน้องท่านแจ้งคำสั่งอนุญาตมาตอน ๑๖.๐๐ น. ทั้งที่ยื่นเรื่องขออนุญาตไปก่อนนับสิบวัน



อยากบอกท่านจริงๆ ว่าคำสั่งห้ามคนเดินทางไม่ก่อประโยชน์อะไรเลย ท่านกลัวเค้าไปสุมหัวกันแบบที่ ผบ.ทบ. เคยให้สัมภาษณ์ผมก็จะบอกว่าถ้าเค้าจะไปสุมหัวกันเค้าคงไม่ไปขออนุญาตท่านให้เป็นหลักฐานหรอกครับ การสื่อสารทุกวันนี้ทันสมัยที่เค้าจะสุมหัวกันคุยผ่านเครื่องมือสื่อสารได้โดยไม่ต้องเดินทาง คำสั่งห้ามเดินทางไม่ได้ทำให้เกิดความมั่นคงแต่กลับจะทำให้ท่านเสียหาย เพราะนอกจากจะเป็นการจำกัดสิทธิส่วนบุคคลแล้วลูกน้องท่านยังเอาอำนาจนี้ไปใช้ตามอำเภอใจอีก อะไรที่ไม่จำเป็นหรือก่อประโยชน์ก็เลิกๆ ไปบ้างเถิดครับไม่ใช่เรื่องที่มาเอาแพ้เอาชนะกัน รัฐบาลท่านจะได้ดูดีขึ้นทันทีว่าไม่ได้จำกัดสิทธิและเสรีภาพไปซะทุกเรื่อง เอาเวลาไปคิดแก้ไขปัญหาให้บ้านเมืองดีกว่าครับ



วัฒนา เมืองสุข










วัฒนา เมืองสุข ตอบพลเอกประยุทธ์ผู้เป็นนายกรัฐมนตรี

ตอบพลเอกประยุทธ์ผู้เป็นนายกรัฐมนตรี



ผมอ่านคำให้สัมภาษณ์ของท่านนายกจากหนังสือพิมพ์ พาดพิงที่ผมอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองกรณีห้ามผมเดินทางออกนอกประเทศ ท่านบอกให้ดูพฤติกรรมผมในการชุมนุมของคนเสื้อแดงเมื่อปี ๒๕๕๓ ผมคือคนที่อยู่กลางราชประสงค์เป็นคนมาต่อรอง ศอฉ. ซึ่งท่านก็ดูแลให้แต่การชุมนุมไม่เลิกจนท้ายสุดเกิดความรุนแรง



ความจริงเรื่องนี้ผมไม่เคยนำมาเปิดเผยเก็บเป็นความลับมาตลอด แต่เมื่อท่านเปิดมาเองผมก็จะชี้แจงเพียงเท่าที่จำเป็น ผมไม่ใช่คนที่อยู่กลางราชประสงค์และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการชุมนุมแต่เป็นคนที่ช่วยในการเจรจาทำให้ลดการสูญของทั้งสองฝ่าย ทั้งเหตุการณ์เมื่อคืนวันที่ ๑๐ เมษายน ที่ผมเป็นคนประสานให้มีการหยุดยิงและแยกสองฝ่ายออกจากกัน ส่วนในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ผมเป็นคนเดินฝ่ากระสุนปืนเข้าไปเจรจากับแกนนำเพื่อยุติการชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์จนสำเร็จ ส่วนที่ว่าการชุมนุมไม่หยุดนั้นยังมีรายละเอียดอื่นๆ อีกมากแต่ผมไม่ขอพาดพิงเพราะยังมีคนที่เกี่ยวข้องอีกหลายคน ผมเป็นเพียงคนกลางครับไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฝ่ายใด บางครั้งฝ่ายรัฐบาลรับปากแล้วไม่ปฏิบัติตามคนเสื้อแดงก็ว่าผมไม่ได้และผมก็ไม่เคยเอามาเปิดเผย



ส่วนที่ว่าผมชอบโจมตีท่านนั้น ผมขอเรียนว่าทุกเรื่องที่ผมพูดคือเรื่องของประเทศ เริ่มต้นเมื่อท่านกับพวกใช้กำลังอาวุธเข้ายึดอำนาจผมดูแถลงการณ์ฉบับที่ ๑ ถึงเจตนารมณ์และความจำเป็นผมก็ถอยและหยุดดูท่านกับพวกทำงานมา ๑ ปีเต็มจนเห็นว่าเริ่มไม่เข้าท่าผมจึงออกมา สิ่งที่ผมรับไม่ได้คือพฤติกรรมที่จะสืบทอดอำนาจผ่านรัฐธรรมนูญที่กำลังยกร่าง การแสดงท่าทีที่จะอยู่ในอำนาจต่อไปโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของประเทศ การลุแก่อำนาจของท่านและบริวารไม่รวมถึงการบริหารที่ล้มเหลวทุกด้าน แล้วท่านจะให้ผมเฉยปล่อยให้ท่านทำบ้านเมืองเสียหายต่อไปเหรอครับ อย่าอ้างว่าการร่างรัฐธรรมนูญท่านไม่เกี่ยวข้อง ลองส่งเสียงดังๆ ว่าจะรีบคืนอำนาจให้ประชาชนเค้าไปกำหนดวิถีทางทางการเมืองกันเอง หนุมานตัวใหนมันจะกล้าเหาะเกินกรุงลงกาครับนอกจากปากว่าตาขยิบเท่านั้น มีใครเค้าอยากทะเลาะกับหัวหน้าเผด็จการที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จบ้างล่ะครับ



ที่ผมฟ้องท่านขอให้ศาลเพิกถอนประกาศฉบับที่ ๒๑/๒๕๕๗ ที่ห้ามคนจำนวน ๑๕๕ คน เดินทางออกนอกประเทศนั้นก็เป็นการใช้สิทธิทางศาลแบบอารยะ เพราะผมเห็นว่าคำสั่งห้ามคนเดินทางนี้ขัดกับรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่ท่านลงนามรับสนองพระบรมราชโองการเอง ในมาตรา ๔ เขียนซะหรูว่าจะคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาคที่ชนชาวไทยเคยได้รับคุ้มครองและตามพันธกรณีระหว่างประเทศแต่การกระทำเป็นอีกอย่าง การห้ามคนเดินทางคือการจำกัดสิทธิส่วนบุคคลอันถือเป็นสิทธิมนุษยชนตามกฎหมายระหว่างประเทศ ที่สำคัญคือลูกน้องท่านทำเรื่องนี้โดยลุแก่อำนาจ เอามาต่อรองไม่ให้พวกผมวิจารณ์ท่านและรัฐบาล การอนุญาตหรือไม่ไม่มีหลักเกณฑ์ใดๆ บ่อยครั้งขอเดินทางไปยุโรปเครื่องบินออกตอนเที่ยงคืน ลูกน้องท่านแจ้งคำสั่งอนุญาตมาตอน ๑๖.๐๐ น. ทั้งที่ยื่นเรื่องขออนุญาตไปก่อนนับสิบวัน



อยากบอกท่านจริงๆ ว่าคำสั่งห้ามคนเดินทางไม่ก่อประโยชน์อะไรเลย ท่านกลัวเค้าไปสุมหัวกันแบบที่ ผบ.ทบ. เคยให้สัมภาษณ์ผมก็จะบอกว่าถ้าเค้าจะไปสุมหัวกันเค้าคงไม่ไปขออนุญาตท่านให้เป็นหลักฐานหรอกครับ การสื่อสารทุกวันนี้ทันสมัยที่เค้าจะสุมหัวกันคุยผ่านเครื่องมือสื่อสารได้โดยไม่ต้องเดินทาง คำสั่งห้ามเดินทางไม่ได้ทำให้เกิดความมั่นคงแต่กลับจะทำให้ท่านเสียหาย เพราะนอกจากจะเป็นการจำกัดสิทธิส่วนบุคคลแล้วลูกน้องท่านยังเอาอำนาจนี้ไปใช้ตามอำเภอใจอีก อะไรที่ไม่จำเป็นหรือก่อประโยชน์ก็เลิกๆ ไปบ้างเถิดครับไม่ใช่เรื่องที่มาเอาแพ้เอาชนะกัน รัฐบาลท่านจะได้ดูดีขึ้นทันทีว่าไม่ได้จำกัดสิทธิและเสรีภาพไปซะทุกเรื่อง เอาเวลาไปคิดแก้ไขปัญหาให้บ้านเมืองดีกว่าครับ



วัฒนา เมืองสุข