PPD's Official Website

Wednesday, August 26, 2015

ด่วนที่สุด ..ภัยข่าวร้ายทางการเงิน ! คนไทยต้องอ่าน+++

ด่วนที่สุด ..ภัยข่าวร้ายทางการเงิน ! เกาะกระแสข่าวมาเกิดเรื่องไม่ชอบมาพากล จากกลุ่มทหารและโยงกันกับกลุ่มทุนอำมาตย์ได้นำธนบัตรแบบเก่าไปพิมพ์ปลอมลอกเลียนแบบมาเหมือนของจริงมาก นำออกมาใช้กันในกลุ่มพวกครอบครัวทหารและทุนอำมาตย์ใหญ่ ใช้จ่ายเงินสนุกกันใหญ่ ถ้าถามว่าตอนนี้ทางธนาคารแห่งประเทศไทยรู้ใหม? น่าจะรู้นะแต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะไม่แน่ใจ อาจเป็นแบงค์จริงที่จัดทำขึ้นนอกระบบ  แต่ก็ขอให้ประชาชนที่มีธนบัตรแบบนี้ไปแลกคืนได้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ถ้ามีไว้ครอบครองเกิน 2 ล้านบาทนี่ทางธนาคารจะแจ้งไปที่ ปปง. ให้เจ้าของเงินมาชี้แจงที่มาของเงินด้วย แต่นายพลบางคนมีแบงค์พันแบบนี้หลายร้อย ไม่เห็นมันต้องแจ้งอะไรเลย เป็นเงินนอกระบบเข้ามาจากสายพวกทหารมาเฟีย ส่วนคนธรรมดาๆถ้าชี้แจงไม่ได้จะเข้าข่ายผิดกฏหมายฟอกเงินทันที กลุ่มทหารชั่วที่มันถือกฎหมายเอง ก็ทำเศรษฐกิจพวกมันดี หากินคล่อง พวกกลุ่มทเหี้ยซื้อทรัพย์สิน ถือดินด้วยเงินนอกระบบกันเพลิน ต่อไปเงินไทยจะคล้ายๆพม่า..ที่ถูกยกเลิกแบงค์..50000จ้าคไปเพราะนายพลพม่าเล่นกันแบบนี้เอง...เมื่อ 2~3เดือนที่ผ่านมา จึงมีขบวนการขนเอาเงินนอกออกมาใช้สร้างความร่ำรวยให้กับกลุ่มทหาร และกลุ่มทุนอำมาตย์ พวกมันถึงไม่สนว่าโลกจะมองประเทศไทยอย่างไร มันมีทางพากันมากอบโกยได้ไม่อั้น แชร์ข่าวนี้มาให้ทราบครับ

(เครดิต จากมิตรสหายทางไลน์)

Tuesday, August 25, 2015

คณะปล้นอำนาจจากประชาชน ไม่ใช่รัฏฐาธิปัตย์

คนไทย ที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศนี้ ยังต้องผ่านบทเรียนกฏหมาย จากต่างชาติ ผู้ลงทุนรายใหญ่ในประเทศนี้ อีกมากมาย หากยังไม่เลิกแนวคิด แบบไดโนเสาร์ เต่าล้านปี

๑. วันนี้โลกในปัจจุบัน เปลี่ยนไปมาก

๒.แต่คนส่วนใหญ่ตรงเส้นรุ้ง ตัดกับ เส้นแวงตรงนี้ ก็ยังไม่มีวี่แวว จะเปลี่ยนในด้านความคิด


๓. นั่นก็คือเรา จะต้องรอให้โลก ใช้ปฏักแทงหลังเรา โดยคนต่างชาติ

๔. การที่ประเทศไทย ไปลงนามและให้สัตยาบัน ต่อ (สนธิสัญญา ปราบปรามการคอร์รัปชั่น) Convention against Corruption, 2003 ในวันที่ ๑ มีนาคม ปีค.ศ.๒๐๑๑ หรือ ปีพ.ศ.๒๕๕๔

๕. โดยผลของสนธิสัญญา ฉบับนี้ ทำให้การรัฐประหาร และยึดอำนาจ ไม่เกิดความชอบธรรมตามกฏหมาย อีกต่อไป ไม่ว่าในระบบกฏหมายใดๆ


๖. แต่ ก็ยังได้ยินเสียง ที่ออกมาจากปาก นักกฏหมายบางคน ที่เถียงว่า " คณะผู้ยึดอำนาจ เป็น อธิปัตย์" ผมก็ไม่รู้ว่า คำว่า "อธิปัตย์" ที่เขาต้องการ "ได้มา" หรือ "ให้เป็น" นั้น เขาเอากฏหมาย ตัวไหน มารองรับ


๗. ทั้งๆที่ไม่มีอยู่ ในตำรากฏหมายร่วมสมัย (Contemporary Text Book in learning Laws)

๘. และแถม ก็ยังไม่มีอยู่ ในภาคปฏิบัติของ กฏหมายใดๆ ในโลกด้วย แม้แต่ ระบบกฏหมายกะเหรี่ยง ก็ไม่มี

๙. ผมก็ไม่รู้ว่า คนพูด ที่ไปเรียนกฏหมายจบ มาจากต่างประเทศ เป็น "ผู้ทรงภูมิรู้" หรือ "ทรงภูมิไม่รู้" กันแน่


๑๐. และคนไทย ก็เชื่อกันแบบฝังหัว จนบ้านเมืองนี้ ป่นบี้ยี้ยับ ในวันนี้.

คุณอนันต์ อัศวโภคิน เจ้าของแลนด์แอนด์เฮาส์พูดดี 11 นาที ได้เนื้อหาและแรงบันดาลใจยิ่ง

คุณอนันต์ อัศวโภคิน เจ้าของแลนด์แอนด์เฮาส์พูดดี 11 นาที ได้เนื้อหาและแรงบันดาลใจยิ่ง
(เครดิตจากไลน์)

ในขณะที่คนอื่น ๆ บอกว่าต้องเร่งยกระดับการศึกษาของชาติ แต่คุณอนันต์ ตั้งคำถามว่า คนที่ประสบความสำเร็จ
จะต้องเรียนเก่งจริงหรือไม่ ?
ประเทศไทยเน้นเรื่องการศึกษามาก จนลืมเรื่องความสำคัญของการฝึก "นิสัย" คนไทยควรจะมีนิสัยอย่างไร จึงจะเจริญก้าวหน้าในชีวิต

คนที่มีนิสัยดีเหมือนเรามีเครื่องจักรที่ดีในตัวไม่ว่าไปทำอะไรก็จะดี

คุณอนันต์ เจ้าของแลนด์แอนด์เฮาส์ เล่าว่า เกิดมาในครอบครัวยากจน ในบ้านมีคนมากถึง 31 คน ถือเป็นสถานที่สำคัญฝึกนิสัยให้กับเขา จนทำให้มีวันนี้
นิสัยที่ดี ฝึกไม่ยาก เริ่มจากที่บ้านใน 5 ห้อง : 
1. ห้องนอน :
ฝึกทำใจให้ว่าง ทำสมาธิ ล้างใจสะอาด นอนได้เต็มที่ และฝึกตื่นให้เป็นเวลา เก็บที่นอน เปิดหน้าต่างให้เคยชิน
"ถ้าเราเป็นคนไม่ตื่นตามเวลา ใช้ปุ่ม Snooze เพื่อที่จะตื่นมากด Snooze อีกที เราจะกลายเป็นคนที่ทำงานเสร็จนาทีสุดท้ายเสมอ" 

2. ห้องน้ำ :
ฝึกการใช้น้ำอย่างประหยัด เกรงใจคนอื่น รักษาเวลา การฝึกล้างห้องน้ำให้เป็น จะช่วยฝึกให้เราไม่ดูถูกคน เป็นคนไม่เลือกงาน ไม่มีทิฐิ
"สมัยเด็ก บ้านผมไม่ได้มีฐานะ 
แต่มีคนถึง 31 คน น้ำก็ต้องใช้ประหยัด เข้าห้องน้ำนานไม่ได้ เพราะคนอื่นก็ต้องใช้เหมือนกัน" "ผมล้างห้องน้ำมาจนโต ทำให้ทุกงานผม ห้องน้ำต้องสะอาด เสียอย่างเวลาขึ้นเครื่อง บางทีผมต้องเสีย 15 นาทีเช็ดห้องน้ำจนสะอาด" "คนว่าผมสร้างห้างมาให้คนเข้าห้องน้ำ
ทั้ง Terminal 21 หรือ Fashion ก็ยอมรับครับตอนนี้มีคนมาเข้าห้องน้ำห้างผม วันละเป็นแสน"

3. ห้องแต่งตัว :
ฝึกให้รู้จักตัดใจ เสื้อผ้าไม่ใส่ต้องทิ้ง เสียสละให้คนอื่น ใช้สิ่งของต่าง ๆ อย่างพอดีตัว "ไม่ใช่จะใช้ชีวิตแย่ ๆ แต่เท้ามีแค่สองข้าง จะมีรองเท้ามากมายทำไม อะไรไม่ได้ใส่เกิน2เดือน เอาไปบริจาคเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่"

4. ห้องกินข้าว :
ฝึกการทานอาหาร นั่งพร้อมหน้ากัน รู้จักแบ่งปัน ตักข้าวแล้วต้องกินให้หมด ดังนั้นต้องตักให้พอดีตัว และตักให้พ่อแม่หรือคนอื่นก่อน
"ไข่พะโล้ 2 ฟอง นั่งกัน 4 คน เราต้องแบ่งกันคนละครึ่งฟอง และตัดให้แม่ก่อน จนติดนิสัยให้คนอื่นก่อน เช่นเวลาเข้าออกลิฟต์"

5. ห้องทำงาน :
ฝึกจัดลำดับความสำคัญ อย่าให้มีอะไรรกบนโต๊ะทำงาน กระดาษที่กองเต็มโต๊ะ บอกนิสัยไม่ตัดสินใจ หรือไม่มั่นคงทางใจ กลัวไม่มีข้อมูล "เวลาผมเจอใครกระดาษกองเต็มโต๊ะ ผมคิดเลยว่าคนนี้ไม่กล้าตัดสินใจ หรือ Insecure กลัวขาดข้อมูล ทั้งที่มันมีในมือถือหมดแล้ว" "ห้องทำงานผมไม่มีกระดาษบนโต๊ะ ไม่มีโทรศัพท์เพราะใช้มือถือ ไม่มีคอมพ์เพราะใช้แท็บเล็ต ตอนนี้มีห้องไว้โชว์ว่าว่างเปล่า"

5 ห้องนี้จะฝึกให้เรา รักษาความสะอาด มีระเบียบวินัย ตรงต่อเวลา สุภาพ และฝึกสมาธิให้ใจสะอาด
"คนเรียนเก่งไม่ใช่คนเก่งเสมอไป แต่คนเก่งมักมีนิสัยสร้างความเจริญก้าวหน้าเรื่องนี้อย่าสอนแต่ในห้องเรียน เริ่มจากที่บ้าน"

"ทุกวันนี้โลกวุ่นวายไม่ใช่เพราะคนไม่มีการศึกษา แต่เพราะคนนิสัยไม่ดี และมีการศึกษาเยอะต่างหาก"

อำเภอที่จะแยกจัดตั้ง เป็นจังหวัดใหม่ต่อไป

อำเภอที่จะแยกจัดตั้ง
เป็นจังหวัดใหม่ต่อไป

รายงานข่าวจากอเมริกา ชี้กงสุลใหญ่แอลเอ ใช้อำนาจมิชอบ ก้าวล่วงสิทธิของพลเมืองไทยในอเมริกา

ขอเป็นกำลังใจให้กับ คณะราษฎรเพื่อสาธารณรัฐสยาม 


​ นี่คือ ภาพรองกงสุล สรศักดิ์ สมรไกรสรจักร จากสถานกงสุลใหญ่แอลเอ ที่สนับสนุนให้คนของสมาคมไทยซานฟรานฯ กระทำการขู่อาฆาตด่าทอใครก็ได้ ที่เขาคิดว่าเป็นผู้ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลพิเศษชุดปัจจุบัน ตามคำสั่งของคนข้างบน เป็นความจริง ว่า มีผู้ใช้อำนาจปกครองในทางมิชอบ ปราศจากเหตุผลที่ชอบธรรม มีกลุ่มบุคคล องค์กรต่างๆ นำพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงราชินี มาใช้บีบบังคับ และกดดันประชาชนให้ตกเป็นทาส และเป็นเหยื่อ โดยหน่วยราชการสนับสนุน ให้ประชาชนต้องพบความเดือดร้อน กระทรวงการต่างประเทศ ใช้อำนาจผิดทาง ทำร้ายสังคมในต่างแดนให้เกิดความวินาศอัปปาง โดยอำพรางตนอยู่หลังทรชน กับเครือข่ายที่ย้ำยีจิตใจคนไทย คนในสังคมมีจำนวนหลายแสนคนในแคลิฟอร์เนีย แต่นำคนเพียงไม่ถึงร้อยคน ออกมาสร้างภาพหลอกหลอนมายาว่าจงรักภักดี แต่แท้ที่จริงนั้น เป็นการก้าวล่วงสิทธิมนุษยชน และกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายสหรัฐ ขอให้องค์กรของคณะราษฎร จงประสบความสำเร็จในการต่อสู้เพื่อความเที่ยงธรรม สังคมไทยและประเทศชาติ จะได้รอดพ้นจากอุ้งมือโจรและประชาชนมีเสรีภาพแท้จริง บนผืนแผ่นดินอเมริกา รัฐบาลไทยไม่มีอำนาจใดๆที่จะว่าจ้าง จ้างวานคนพาลราวี อิสระภาพของผู้อื่น เป็นการกระทำที่โฉดชั่ว และขอให้มดแดงทุั้งหมดจงระวังตนไว้ เมื่อมันเริ่มแผนการกำจัดคนที่ยืนอยู่กับความถูกต้องและประโยชน์ของประชาชน หมายความว่า กลไกของราชการในตปท.กำลังจะทำลายความหวังประชาธิปไตย

อ. นิธิ กับบทวิเคราะห์ทางสู่ก้นเหวของไทย

อ. นิธิ 

(ที่มา:มติชนรายวัน 24 ส.ค.2558)


คำให้สัมภาษณ์หลังเกิดระเบิดครั้งรุนแรงที่ราชประสงค์เพียงไม่กี่ชั่วโมงของ พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี ไม่ได้สะท้อนแต่ความไร้เดียงสาของผู้ให้สัมภาษณ์เท่านั้น แต่สะท้อนขีดจำกัดของรัฐบาลทหารแบบไทยๆ ไปพร้อมกัน และข้อหลังนี้ต่างหากที่เป็นเรื่องน่าวิตกแก่คนไทยทั่วไป
ทหารรู้จักโลกแต่เพียงฝ่ายเราและฝ่ายเขา ฝ่ายเขาคือศัตรูที่ต้องบดขยี้ทำลายให้สิ้นกำลังที่จะต่อสู้ ด้วยวิธีใดก็ได้ เพราะในสงคราม ไม่มีกติกาใดที่ควรเคารพยิ่งไปกว่าชัยชนะ การให้ข่าวผิด (misinform) และให้ข่าวบิดเบือนเพื่อรื้อทำลายข่าวสารข้อมูลของอีกฝ่ายหนึ่ง (disinform) จึงเป็นยุทธวิธีพื้นฐานของการทำสงครามเพื่อบดขยี้ศัตรู

ด้วยโลกทรรศน์ที่แคบเท่านี้ ทหารทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าทำสงครามเท่านั้น หากทหารกำเริบคิดจะบริหารบ้านเมือง ทหารไม่อาจปรับโลกทรรศน์ของตนให้กว้างขึ้นได้ เพราะการเมืองต้องการโลกทรรศน์ที่กว้างขวางกว่าโลกทรรศน์ทางทหารอย่างเหลือคณานับ (แม้ต้องกล่าวมุสาอยู่บ่อยๆ เหมือนกัน) รัฐบาลทหารจึงเผชิญวิกฤตไม่เป็น ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตเล็กหรือวิกฤตใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตทางการเมือง เศรษฐกิจ หรือสังคมและวัฒนธรรมก็ตาม

เป้าหมายทางการเมืองของการบริหารบ้านเมืองไม่ใช่การบดขยี้ศัตรูเหมือนทหาร แต่คือการเพิ่ม "ฝ่ายเรา" ให้มากขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน รักษา "ฝ่ายเรา" ให้คงอยู่กับเราตลอดไป เพราะที่มองเห็นเป็นปรปักษ์ในขณะนี้ ก็อาจกลายเป็นมิตรในภายหน้าได้ จะเป็นฝ่ายเขาหรือฝ่ายเรา ขึ้นอยู่กับการกระทำของตนเอง ในขณะที่ในสงคราม ใครจะอยู่ฝ่ายเราหรือฝ่ายเขา ทหารไม่ใช่ผู้กำหนด แต่คนอื่นทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นผู้กำหนด รัฐบาลทหารจึงมองศัตรูซึ่งอาจกลายเป็นมิตรในอนาคตไม่เป็น ดังที่กล่าวแล้วว่าโลกของทหารมีแต่ฝ่ายเราและฝ่ายเขาซึ่งต้องบดขยี้เท่านั้น

กรณีการบดขยี้ศัตรูด้วยการปั้นแต่งข้อมูลข่าวสารที่รู้จักกันดีคือ ผังล้มเจ้าในปี 2553 ซึ่งรองโฆษกฯคนปัจจุบันเป็นผู้แถลงต่อสื่อ ประหนึ่งเป็นเรื่องจริงที่ทหารได้ค้นพบ (แต่มาในภายหลังก็ยอมรับในศาลว่าเป็นเพียงสมมุติฐานหนึ่งเท่านั้น) ทหารไม่ต้องคำนึงว่าคนที่ถูกระบุชื่อในผังล้มเจ้าจะดำรงชีวิตอย่างปกติสุขอย่างไรต่อไป เมื่อภารกิจทางทหารได้สำเร็จลุล่วงไปแล้ว ในฐานะหัวหน้าครอบครัวและพลเมือง ชนักที่ติดหลังพวกเขาเหล่านี้จะเป็นอุปสรรคต่อความรับผิดชอบของเขาต่อครอบครัวและประเทศชาติไปอีกนาน เท่ากับขจัด "ฝ่ายเรา" ให้สูญสิ้นกำลังไปโดยเปล่าประโยชน์ แต่ทหารก็รู้จักแต่การบดขยี้ศัตรูเท่านั้น จึงไม่ต้องคำนึงเรื่องเช่นนี้

 ที่น่าอัศจรรย์ก็คือ การสังหารหมู่ทางการเมืองใน 2553 เกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลพลเรือน ซึ่งไม่ควรมีโลกทรรศน์ที่แคบเหมือนทหาร แต่กลับใช้ยุทธศาสตร์บดขยี้อย่างเดียวกับทหาร ทั้งๆ ที่น่าจะเป็นฝ่ายกำหนดยุทธศาสตร์ของตนเอง แต่คิดอีกทีก็ไม่น่าประหลาดใจอันใด เอาทหารกับนักเลงไปร่วมกันคิดยุทธศาสตร์ จะมีอะไรแตกต่างไปจากการบดขยี้ "ศัตรู" ได้เล่า โลกทรรศน์ของนักเลงกับทหารนั้นไม่สู้จะต่างกันมากนัก

แต่ตรงกันข้ามกับการบดขยี้ศัตรู เมื่อใดก็ตามที่ตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ทหารมักคิดว่าตนกำลังจะถูกศัตรูบดขยี้เช่นกัน ดังนั้นจึงมักตื่นตูมจนเสียสติอย่างคำให้สัมภาษณ์ของรองโฆษกฯ หรือแม้แต่ของนายกรัฐมนตรีเอง ซึ่งเป็นการตัดสินเด็ดขาดโดยข้อมูลยังไม่พร้อมว่า การก่อการร้ายที่ราชประสงค์เป็นเหตุภายใน (ในความเป็นจริง หลักฐานเท่าที่ตำรวจรวบรวมได้จนถึงวันที่เขียนนี้ ยังชี้ไปได้ทั้งสองทางคือ จากภายนอกก็ได้ ภายในก็ได้)

สิ่งที่รัฐบาลทหารควรทำที่สุดในยามที่เกิดความตื่นตระหนกไปทั่ว ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติที่ต้องเกี่ยวข้องกับประเทศไทย ในฐานะนักท่องเที่ยวและพ่อค้าซึ่งต้องสั่งผลิตสินค้า ก็คือรีบสยบความตื่นตระหนกนั้นลงให้ได้ เช่น วางแผนการป้องกันเหตุที่รัดกุมที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยกระทบต่อการใช้ชีวิตของผู้คนในเขตเมืองให้น้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ จนเกิดความมั่นใจในระดับหนึ่งว่า เหตุร้ายแรงเช่นนั้นยากที่จะเกิดขึ้นซ้ำอีก หรือถึงอาจเกิดซ้ำอีก ก็จะไม่เกิดในแหล่งชุมชนหนาแน่นอย่างที่ผ่านมา ความร่วมมือกับต่างประเทศมีความสำคัญ เช่น อินโดนีเซียและมาเลเซียเพิ่งประกาศไปไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้นว่า พบเบาะแสว่าจะมีผู้ก่อการร้ายปฏิบัติการในประเทศของเขา ข้อมูลเบาะแสจากสองประเทศนั้นย่อมมีประโยชน์ต่อการสืบสวนไปถึงขบวนการใหญ่ หากเชื่อว่าการก่อการร้ายครั้งนี้มีต้นตอจากภายนอก

ในขณะเดียวกัน ก็ต้องวิเคราะห์ด้วยข้อมูลมากที่สุดเท่าที่มีอยู่ว่า กลุ่มที่อยู่ภายในใดบ้างที่มีศักยภาพจะทำเช่นนั้นได้ โดยเฉพาะเมื่อตัดกลุ่มที่ไม่น่าจะใช่ออกไปแล้ว เช่น "ลายเซ็น" ของการวางระเบิดไม่ตรงกับผู้ก่อการในภาคใต้ตอนล่าง เพื่อทำให้กำลังที่จะเจาะลงไปในการหาข้อมูลและประจักษ์พยานของฝ่ายรัฐสามารถพุ่งลงไปที่กลุ่มเป้าหมายหลักได้สะดวกขึ้น

ในสถานการณ์เช่นนี้ ศัตรูยังเป็นเรื่องรอง มิตรต่างหากที่เป็นเรื่องหลัก ทำอย่างไรให้มิตรสามารถอยู่กับฝ่ายเราต่อไปได้ โดยไม่ต้องเสี่ยงหรือเสี่ยงน้อยที่สุด แต่ยุทธศาสตร์บดขยี้ทำให้รัฐบาลทหารขาดสติมากกว่าคนทั่วไป ปฏิบัติต่อศัตรูผิดและปฏิบัติต่อมิตรผิดในทางเดียวกัน

 รัฐบาลทหารใช้ยุทธศาสตร์บดขยี้มาตั้งแต่เริ่มยึดอำนาจได้ และคงจะใช้ต่อไปจนถึงวันที่หมดอำนาจ

ในระยะแรกหลังการยึดอำนาจ มีเหตุผลที่จะใช้ยุทธศาสตร์บดขยี้กับปรปักษ์ที่เลือกแนวทางทหารในการต่อสู้ เช่น ยึดคลังอาวุธและกองกำลังของปรปักษ์อย่างฉับพลัน (หากมีการสะสมอาวุธและสร้างกองกำลังขึ้นจริง) แต่ทหารต้องแยกแยะเป็นด้วยว่า ในกลุ่มที่เป็นปรปักษ์นั้นมีอยู่อีกหลายกลุ่มที่สามารถเปลี่ยนกลับมาเป็นพันธมิตรได้ แม้แต่ส่วนหนึ่งของนักการเมืองในสังกัดพรรคเพื่อไทย ก็อาจเจรจาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันจนสามารถออกมาตั้งโต๊ะขอบคุณ สนช.ได้ เป็นต้น

ตรงกันข้ามกับดึงศัตรูมาเป็นมิตรคือ จะรักษามิตรให้อยู่ฝ่ายเราตลอดไปได้อย่างไร การไม่ปล่อยให้มิตรได้แสดงความคิดเห็นหรือความต้องการบางอย่างที่อาจขัดกับรัฐบาลทหาร แต่พร้อมจะบดขยี้แม้แต่มิตรด้วยกันเอง เป็นผลให้ต้องหนีไปบวชบ้าง เคลือบท่าทีทางการเมืองของตนให้คลุมเครือในสื่อของตนบ้าง กลับยิ่งเป็นอันตรายทางการเมืองมากกว่า เพราะต่างฝ่ายต่างรู้ว่าเขาไม่ใช่มิตร หรืออย่างน้อยก็ไม่ใช่มิตรที่พร้อมจะร่วมหัวจมท้ายด้วยตลอดไป ยุทธศาสตร์บดขยี้ไม่สามารถใช้กับคนเหล่านี้ได้ แต่ไม่บดขยี้ ทหารก็ไม่รู้จะจัดการกับคนประเภทนี้อย่างไร และที่น่าตระหนกแก่รัฐบาลทหาร หากสามารถคิดอะไรยาวๆ เป็น ก็คือคนประเภทนี้เพิ่มจำนวนขึ้น ทั้งใน สปช.และ สนช. หรือจนถึงที่สุดอาจจะใน ครม.ที่กำลังถูกปรับด้วยก็ได้

การสร้างระยะห่างในความสัมพันธ์กับมหาอำนาจตะวันตกเพื่อตอบโต้แรงกดดันต่อการเมืองไทย ที่จริงก็มาจากยุทธศาสตร์บดขยี้เหมือนกัน เพราะไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใดที่จะกระเถิบเข้าใกล้จีน (และเกาหลีเหนือ) ให้มากกว่าเดิม ไม่ว่าไทยจะมีทีท่าต่อตะวันตกหรือจีนอย่างไร การถ่วงดุลอำนาจระหว่างสองฝ่ายก็มีอยู่แล้ว และเป็นประโยชน์ต่อไทยแน่ ประเทศไทยเล็กเกินกว่าจะทำให้ดุลอำนาจเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งได้ (แม้แต่เปิดประเทศให้รถไฟจีนวิ่งเข้าท่าเรือได้ทั้งสองฝั่งสมุทร) หรือร้ายไปกว่านั้น หากมีพลังทำให้ดุลอำนาจของสองฝ่ายเอียงไปที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ประเทศไทยก็จะมีอิสรภาพทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศน้อยลงด้วยซ้ำ

ถ้าเรียนประวัติศาสตร์มาอย่างดีพอในโรงเรียนทหาร ก็ควรทราบว่าการเอียงเข้าหาอังกฤษเกินจุดพอดีในบางสมัยบางช่วง ก่อให้เกิดผลร้ายแก่ไทยมากกว่าผลดี (เช่นเดียวกับพระเจ้าธีบอแห่งพม่าที่เอียงเข้าหาฝรั่งเศสเกินจุดพอดี กลับเร่งเร้าให้อังกฤษผนวกส่วนที่เหลือของพม่าเข้ามาในจักรวรรดิโดยทันที) เพราะถึงที่สุดแล้ว ไม่มีมหาอำนาจใดพร้อมจะเข้าสงครามกับมหาอำนาจคู่แข่งเพื่อประเทศไทยหรอก ประเทศเล็กๆ ที่ไม่เป็นส่วนหนึ่งของผลประโยชน์ระดับความเป็นความตาย (vital interest) ของมหาอำนาจใดเลย ไทยไม่ใช่เบลเยียมซึ่งจ่อคอหอยอังกฤษ ไม่ใช่คิวบาซึ่งจ่อคอหอยสหรัฐ และไม่ใช่เกาหลีซึ่งจ่อพุงญี่ปุ่น

 ที่ยกกรณีสงครามซึ่งเป็นกรณีสุดโต่งขึ้นมา ก็เพราะยุทธศาสตร์บดขยี้ของทหารนำไปสู่ความสุดโต่งเหมือนกัน

รัฐธรรมนูญที่ร่างกันขึ้นภายใต้รัฐบาลทหารก็เช่นเดียวกัน ถูกนำไปสู่การบดขยี้ศัตรูทางการเมืองเสียจนโอกาสที่จะถูกนำไปใช้จริงเหลืออยู่น้อยมาก ถึงผ่านไปได้ก็ไม่อาจดำรงอยู่ได้นาน แม้แต่โดยไม่ต้องคำนึงถึงมวลชนชาวไทย ซึ่งเกิดสำนึกพลเมืองขึ้นอย่างกว้างขวางเลยไปในหมู่คนที่จัดว่าเป็นชนชั้นนำของสังคม ก็มีความหลากหลายซับซ้อนขึ้นอย่างมาก มีผลประโยชน์ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม รวมถึงผลประโยชน์ทางอุดมการณ์ที่แตกต่างและขัดแย้งกันเอง จึงเป็นไปไม่ได้ที่คนเหล่านี้จะยอมอยู่ภายใต้การกำกับของกลุ่มชนชั้นนำเพียงหยิบมือเดียว ซึ่งได้รับการหนุนหลังจากกองทัพ

อันที่จริงกองทัพจะมีบทบาทนำทางการเมืองต่อไปได้ในระยะยาว ก็คือมีอิสระในตัวเองพอที่จะกำกับดูแลกติกาให้ชนชั้นนำทุกฝ่ายต่อรองผลประโยชน์กันโดยสงบและเป็นธรรม มากกว่าออกมาหนุนแต่เพียงบางกลุ่มบางฝ่าย โดยวิธีนี้ต่างหากที่จะทำให้ชนชั้นนำทุกกลุ่มทุกฝ่ายมองกองทัพเป็นเงื่อนไขที่ขาดไม่ได้ใน "การเมือง" ไทย

แต่โลกทรรศน์ที่แคบและยุทธศาสตร์บดขยี้ ไม่อนุญาตให้ทหาร (ไทย) คิดอะไรอย่างนี้เป็น ยิ่งมองการเมืองเป็นสนามรบ นายทหารต่างก็อยากเป็นแม่ทัพนำไพร่พลเข้าสู่การรบ ไว้ชื่อไว้ลายแก่วงศ์ตระกูล ซึ่งก็คือเป็นนายกรัฐมนตรี ย่อมทำให้มีพันธมิตรในหมู่ชนชั้นนำน้อยลง จนในที่สุดก็จะถูกโดดเดี่ยวเหมือนระบอบถนอม-ประภาสระหว่าง 2514-2516

เราไม่อาจเปลี่ยนการเมืองเป็นสนามรบได้ เพราะถึงได้ชัยชนะ ทุกอย่างก็ถูกล้างผลาญทำลายจนย่อยยับไปหมด แล้วจะสร้างสรรค์บ้านเมืองขึ้นจากอะ

รัฐธรรมนูญ..‘ระเบิดเวลา’!‘สุดารัตน์’วอนเร่งปลดสลัก : สัมภาษณ์พิเศษ โดยประพันธ์ จินดาเลิศอุดมดี

รัฐธรรมนูญ..'ระเบิดเวลา'!'สุดารัตน์'วอนเร่งปลดสลัก : สัมภาษณ์พิเศษ โดยประพันธ์ จินดาเลิศอุดมดี


สถานการณ์ทางการเมืองที่เข้มข้นทุกขณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใกล้เข้าสู่วันลงมติร่างรัฐธรรมนูญของสภาปฏิรูปแห่ง ชาติ ประเด็นต่างๆ กลายมาเป็นเรื่องร้อน ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาภายในร่างฯ หรือข้อเสนอรัฐบาลปรองดองแห่งชาติ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ให้สัมภาษณ์พิเศษเครือเนชั่นถึงประเด็นร้อนต่างๆ ทางการเมือง

เริ่มจากการออกตัวสัมภาษณ์ในครั้งนี้ คุณหญิงสุดารัตน์ขอพูดในนามของประชาชนเต็มขั้น ซึ่งรู้สึกว่าร่างรัฐธรรมนูญที่แถลงออกมานั้น หากนำออกมาใช้จริงน่าจะเป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่สามารถนำพาประเทศชาติออกจากหลุม ดำได้อย่างที่โฆษณาชวนเชื่อไว้ แถมยังจะผลักประเทศให้ตกลึกเข้าไปอีก สำหรับนักการเมืองนั้นไม่น่าห่วง เพราะเขาดิ้นรนเอาตัวรอดได้ แต่ห่วงประชาชนมากกว่าว่าจะทำอย่างไรให้สามารถนำพาประเทศชาติ ประชาชนขึ้นจากหลุมดำนี้ได้

ทั้งนี้ การเขียนในรัฐธรรมนูญถึงรัฐบาลแห่งชาติ โดยเมื่อผ่านประชามติแล้วให้ใช้เสียง 4 ใน 5 ของรัฐสภา โดยพยายามชี้ว่าเพื่อให้เกิดความปรองดองนั้น โดยหลักการฟังดูดี ฟังดูน่าสนับสนุนให้ผ่านประชามติ แต่ขอตั้งคำถามว่า รัฐบาลแห่งชาติแบบที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญนี้จะแก้ความขัดแย้งนำไปสู่การ ปรองดองได้หรือ..? เพราะแค่ประกาศออกมา ทั้งพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยต่างออกมาประสานเสียงเกือบพร้อมกันว่า ไม่มีทางร่วมรัฐบาลเดียวกัน คำว่าปรองดองจึงเป็นแค่เปลือกที่แทบจะเกิดไม่ได้จริง

"จะเกิดความปรองดองได้นั้น ไม่ใช่อยู่ๆ คณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญจะบังคับจับ 2 ฝ่ายใส่กรงเดียวกัน ให้อยู่ด้วยกันแล้วเรียกปรองดอง แต่ควรเปิดโอกาสให้ทั้ง 2 ฝ่ายได้มีกระบวนการร่วมคิดร่วมปรึกษาหารือ ร่วมวางแปลน วางแผนสร้างบ้านร่วมกัน ถอยคนละก้าว หาจุดร่วม แสวงจุดต่าง จึงจะสามารถเดินสู่ความปรองดองที่แท้จริงได้"

พร้อมกันนี้ยังยิงคำถามอย่างหนักหน่วงต่อไปว่า รัฐบาลแห่งชาติจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนได้จริงหรือไม่ หรือแค่เขียนฝันไว้หรูๆ แต่เปิดโอกาสให้ฮั้วประโยชน์ทางการเมือง...?

อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวงผู้นี้ มองว่า ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีไซน์ให้ฝ่ายการเมืองอ่อนแอ ไม่มีเสถียรภาพ โดยออกแบบให้ฝ่ายการเมืองหลังเลือกตั้งจะไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลกันเองได้ เพื่อเปิดทางเอื้ออำนวยให้ได้ นายกฯ คนนอก โดยใช้ระบบฮั้วผลประโยชน์กันระหว่างคนนอกที่อยากได้อำนาจทางการเมืองแต่ไม่ ยอมลงเลือกตั้ง กับนักการเมือง เพื่อให้สมยอมจัดตั้งรัฐบาลที่พยายามสร้างภาพว่าเป็นรัฐบาลแห่งชาติที่ ประชาชนไม่ได้ประโยชน์ใดๆ

ซ้ำร้ายภาพเลวร้ายยิ่งกว่าในอดีตก่อนการปฏิรูปปี 49 จะกลับมาใหม่ มีการฮั้วประโยชน์ แบ่งกระทรวงใครกระทรวงมัน เพราะจะต้องหาเสียงสนับสนุนให้ได้ 4 ใน 5 จึงจะจัดตั้งรัฐบาลได้ และ ถ้าเกิดรัฐบาลแห่งชาติ ระบบการตรวจสอบถ่วงดุลจะไม่เหลือ เพราะฝ่ายค้านจะเหลือเสียงเพียง 1 ใน 5 จะไปมีพลังใดในการไปตรวจสอบควบคุมรัฐบาล ระบบตรวจสอบถ่วงดุลล้มเหลว...?

"พรรคเล็กพรรคน้อยมีโอกาสต่อรองขอโควตารัฐมนตรี ขอโควตากระทรวง เมื่อได้แล้วก็ต้องถือเป็นสมบัติส่วนพรรคตน นายกฯ และรัฐบาลจะเข้าไปแตะต้องไม่ได้ เพราะถือว่าถ้าไม่ได้เสียงของพรรคตนมาสนับสนุนก็จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ เป็นนายกฯ ไม่ได้ ปัญหาที่จะตามมาคือ ปัญหาคอร์รัปชั่นที่จะมากขึ้น และปัญหาการผลักดันนโยบายที่จะทำเพื่อประชาชนจะไม่เป็นเอกภาพ ไม่สามารถผลักดันการแก้ไขปัญหาประเทศชาติได้ การดีไซน์แบบนี้ประชาชนเสียประโยชน์ แต่นักการเมืองแฮปปี้ นายกฯ คนนอกแฮปปี้"

ทั้งนี้เมื่อถามถึง "คณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ" ที่บรรจุอยู่ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่า ต้องชมคนเขียนรัฐธรรมนูญว่า ช่างกล้าเขียนมาก...!!!

ถือเป็นการเขียนรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่ให้คณะบุคคลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง มีอำนาจใหญ่กว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน หรือพูดง่ายๆ ว่า เป็นการเขียนรัฐธรรมนูญรับรองการยึดอำนาจจากประชาชนโดยถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งต่อจากนี้ไปไม่มีการปฏิวัติแน่นอน เพราะได้บรรจุให้การยึดอำนาจจากประชาชนเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายไปแล้ว

รัฐธรรมนูญฉบับนี้รัฐบาลจากการเลือกตั้งจะทำงานแทบไม่ได้เลย ยกตัวอย่างว่า ถ้ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งมีนโยบายช่วยเหลือเอสเอ็มอี โดยการให้เงินกู้ปลอดดอกเบี้ยเป็นระยะเวลาหนึ่ง แต่กรรมการยุทธศาสตร์ฯ มองว่าเป็นโครงการประชานิยม และเป็นงานที่อยู่ในแผนปฏิรูปของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯ ที่กำลังดำเนินงานอยู่ ก็จะไม่ให้รัฐบาลดำเนินการ แล้วแบบนี้จะจบอย่างไร ประชาชนที่รอคอยความช่วยเหลือก็จะไม่ได้รับการช่วยเหลือ รัฐบาลจะเป็นยิ่งกว่ารัฐบาลเป็ดง่อย และที่สำคัญคือ ประชาชนตาดำๆ จะเดือดร้อนที่สุด

"เมื่อเขียนรัฐธรรมนูญโดยให้มีคนบุคคลที่ไม่ได้มาจากประชาชนมามีอำนาจ มากกว่าคนที่ประชาชนเลือก แล้วจะเรียกว่าประชาธิปไตยได้อย่างไร ประชาธิปไตยคือระบบที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครอง มีส่วนร่วมในการตัดสินใจโดยมีอำนาจตัดสินใจด้วย ดังนั้น ถ้าบอกว่ามีส่วนร่วมคือให้มีประชามติ แต่จริงๆ แล้วไม่มีอำนาจตัดสินใจ แล้วส่วนร่วมนั้นจะเป็นจริงได้อย่างไร"

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวอีกว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้จะทำให้ประชาชนเสียประโยชน์ ประเทศชาติเสียหายมากที่สุด ความหวังของประชาชนที่อยากเห็นประเทศชาติสงบสุข ขจัดความขัดแย้ง เดินหน้าสู่การปรองดอง จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง เพราะพิจารณาดูง่ายๆ ทันทีที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกเปิดเผยเนื้อหา เราก็ได้ยินเสียงวิจารณ์คัดค้านจากทั้งฝั่งประชาธิปัตย์และเพื่อไทยอย่าง มากมายแล้ว คำว่าปรองดองจึงเป็นเพียงข้ออ้าง หรือเป็นกระดองที่ไม่มีเนื้อใน

"อยากจะวิงวอนท่านผู้นำ ท่านนายกฯ ว่า โปรดใช้อำนาจที่มีอยู่เต็มเกิน 100% ของท่านมาแก้ไข มาถอดสลักระเบิดลูกใหญ่ที่เกิดจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ก่อนที่จะทำความเสียหายให้แก่ประเทศชาติอย่างใหญ่หลวงในอนาคต ถ้าท่านต้องการทำเพื่อคืนความสงบสุขให้บ้านเมืองจริงอย่างที่ท่านให้สัญญา เว้นแต่ท่านตั้งใจที่จะให้มีการเขียนรัฐธรรมนูญรับรองการยึดอำนาจถาวรจาก ประชาชนอย่างถูกกฎหมาย"

เมื่อถูกถามถึงกระแสการผลักดันให้ขึ้นเป็นผู้นำพรรคเพื่อไทย คุณหญิงสุดารัตน์บอกว่า ยังคงไม่ดูไปไกลขนาดนั้น ถ้ารัฐธรรมนูญฉบับนี้นำไปใช้จริงคงหนักใจถ้าจะกลับมาทำงานการเมือง เพราะเสี่ยงที่จะเสียคนอย่างยิ่ง ในการหาเสียงเลือกตั้งนักการเมืองต้องไปขายนโยบายว่าจะเข้าไปทำประโยชน์อะไร ให้ประชาชน เราต้องไปสัญญาว่า ถ้าได้รับเลือกตั้งก็จะไปทำตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้

อย่างไรก็ตาม ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่มีทางที่นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งจะ สามารถผลักดันนโยบายใดได้หากปราศจากความเห็นชอบของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯ ที่ถูกดีไซน์ให้ใหญ่กว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ก็เท่ากับว่าเริ่มต้นเราก็ไม่สามารถรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนที่เลือก เรามาได้ ผิดศีลตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว

"นักการเมือง พรรคการเมือง ควรต้องกลับมาดูตัวเอง ควรจะทำให้ระบบการเมืองเข้มแข็ง การเมืองต้องสู้กันในสภา ไม่ใช่ไปสู้กันกลางถนน เป็นโอกาสที่ดีที่พรรคเพื่อไทยจะได้ใช้โอกาสนี้ปรับตัวและพัฒนาตนเอง เนื่องจากพรรคเพื่อไทยเจอมรสุมมาหลายยก ตั้งแต่ปี 49 ที่ถูกปฏิวัติ ต่อมาถูกยุบพรรค ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 2 รุ่น ขณะนี้ก็ถูกห้ามให้ดำเนินงานทางการเมือง"

คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวทิ้งท้ายอย่างเชื่อมั่นว่า แต่พรรคเพื่อไทยก็ถือเป็นพรรคใหญ่ที่มีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถอยู่ มาก เป็นพรรคที่ได้รับความนิยมจากประชาชนมาก เป็นที่พึ่งที่หวังของประชาชน จึงควรพลิกวิกฤติในครั้งนี้มาเป็นโอกาสในการพัฒนาพรรคให้เป็นสถาบันการเมือง

พรรคเพื่อไทยมีพื้นฐานที่ดีจากพรรคไทยรักไทย ที่ถือเป็นพรรคแรกๆ ที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาปัญหาประเทศอย่างจริงจัง และนำมาสร้างเป็นนโยบายในการแก้ไขปัญหาประเทศ จนสำเร็จได้รับความนิยมจากประชาชนอย่างมาก..!!