PPD's Official Website

Wednesday, August 26, 2015

Albert Einstein- How I See the World

ภูมิพล...ความรู้สึกคุณแม่ของศศิวิมล หลังศาลทหารพิพากษาจำคุก 28 ปี

ความรู้สึกคุณแม่ของศศิวิมล หลังศาลทหารพิพากษาจำคุก 28 ปี


Download

ภูมิพล...ความรู้สึกคุณแม่ของศศิวิมล หลังศาลทหารพิพากษาจำคุก 28 ปี

ความรู้สึกคุณแม่ของศศิวิมล หลังศาลทหารพิพากษาจำคุก 28 ปี


Download

เรตติ้งกระฉูดโดยไม่ต้องบังคับประชาชนทนฟัง 'ปิยบุตร'ชี้ รธน.ซ่อนรูปรัฐประหาร

เรตติ้งกระฉูดโดยไม่ต้องบังคับประชาชนทนฟัง

'ปิยบุตร'ชี้ รธน.ซ่อนรูปรัฐประหาร
นักวิชาการด้านรัฐธรรมนูญ ยืนยัน ร่างรัฐธรรมนูญไม่เป็นประชาธิปไตย หลังพบการเพิ่มอำนาจองค์กรตรวจสอบไร้สมดุล และการถ่วงดุล

เรตติ้งกระฉูดโดยไม่ต้องบังคับประชาชนทนฟัง 'ปิยบุตร'ชี้ รธน.ซ่อนรูปรัฐประหาร

เรตติ้งกระฉูดโดยไม่ต้องบังคับประชาชนทนฟัง

'ปิยบุตร'ชี้ รธน.ซ่อนรูปรัฐประหาร
นักวิชาการด้านรัฐธรรมนูญ ยืนยัน ร่างรัฐธรรมนูญไม่เป็นประชาธิปไตย หลังพบการเพิ่มอำนาจองค์กรตรวจสอบไร้สมดุล และการถ่วงดุล

คำพูดประยุทธ์ “คืนความสุขให้คนในชาติ” วันศุกร์ ที่ 21 สิงหาคม 2558

คำพูดประยุทธ์ "คืนความสุขให้คนในชาติ" วันศุกร์ ที่ 21 สิงหาคม 2558
       
       สวัสดีครับพ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ผมได้เป็นประธานในพิธีบวงสรวงมหามังคลาภิเษกพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระ บูรพกษัตริย์แห่งสยาม ณ มณฑลพิธีอุทยานราชภักดิ์ ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งทางอุทยานฯ ก็ได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นการเทิดทูนและประกาศเกียรติคุณพระมหากษัตริย์แห่ง สยาม ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ที่ได้ทรงสร้างคุณูปการที่ยิ่งใหญ่ต่อประเทศชาติ
       
       อุทยานฯ แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในพื้นที่ของกองทัพบกจำนวน 222 ไร่เศษ มีพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระมหากษัตริย์ 7 พระองค์ สร้างในพระอิริยาบถทรงยืน ความสูงประมาณ 13.9 เมตร หรือ 7.9 เท่าของคนจริง หล่อด้วยเนื้อสำริดนอก ประดิษฐานบนแท่นบนลานอเนกประสงค์ประมาณ 90,000 ตารางเมตร ซึ่งนับว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ เพื่อเป็นการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย หลังจากนี้แล้วจะเปิดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมฟรีได้ทุกวัน สวยงาม น่าภาคภูมิใจ ผมขอเชิญชวนให้พ่อแม่พี่น้องหาโอกาสไปเยือน ไปพักผ่อน พาลูกหลานไปศึกษา เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของชาติเรานะครับ
       
       พ่อแม่พี่น้องชาวไทยครับ ถึงเวลาแล้วที่คนไทยทุกคนจะต้องร่วมมือกัน สามัคคีกัน เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น เราได้ผ่านห้วงเวลาแห่งความเลวร้ายมาด้วยกัน เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม เป็นการกระทำของผู้ที่มีจิตใจโหดเหี้ยม ไร้คุณธรรม ที่ต้องการสร้างความหวาดกลัว ทำลายความสงบสุขของพี่น้องประชาชน และภาพลักษณ์ของประเทศของเรา บ้านของเรา ผมขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งอีกครั้งต่อครอบครัวของผู้สูญเสีย รัฐบาลยืนยันจะเร่งดำเนินการสืบสวน หาตัวผู้กระทำความผิด และขบวนการที่เกี่ยวข้องมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็ว ในปัจจุบันนั้นมีความคืบหน้าไปมากนะครับ ขอให้ประชาชนคนไทยทุกคน ทุกภาคส่วน มีความเชื่อมั่น และตั้งอยู่ในความมีสติ
       
       ช่วงนี้หลาย ๆ ท่านคงได้เห็นข้อความต่าง ๆ ที่แสดงความเห็นห่วง เป็นกำลังใจ หรือแสดงพลังของคนไทย รวมถึงข้อความแคมเปญของรัฐบาล our home our country together stronger หรือเราจะเติบโตและแข็งแกร่งไปด้วยกัน เพราะที่นี่คือประเทศของเรา บ้านของเรา ในสื่อต่าง ๆ นะครับ ทุกข้อความมีวัตถุประสงค์ที่ดี ใครอยากใช้ อันไหนก็ใช้ ไม่อยากให้ยกมาเป็นประเด็นให้ทะเลาะขัดแย้งกันอีกนะครับ เพราะจากนี้ไปเราต้องสามัคคีกัน จับมือกันเพื่อก้าวเดินไปข้างหน้า ความสามัคคีของคนไทยจะทำให้ประเทศของเราแข็งแกร่ง บ้านของเราแข็งแรง สามารถเติบโตและผ่านพ้นวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ได้ ใช้ได้ตลอดไปนะครับ ไม่ใช่แค่ช่วงนี้ ต่อไปเราคงต้องร่วมใจกันมากกว่าเดิม ช่วยเหลือกันทุกเรื่อง สามัคคีกันไว้ เราต้องสร้างประเทศด้วยมือของเราเอง ผมเชื่อว่าประเทศไทยมีคนดี คนมีน้ำใจ มีคุณธรรมมากกว่าคนไม่ดี เราต้องช่วยกันเอาความดีชนะความไม่ดีให้ได้ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมอยากขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนทุกท่านให้ใช้วิจารณญาณในการส่งต่อ ข่าวสารข้อมูล รูปภาพผ่านโซเชียลมีเดียนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพความเสียหายสถานที่เกิดเหตุ รวมทั้งภาพผู้ได้รับบาดเจ็บ สูญเสีย เพราะนอกจากจะเป็นการละเมิดสิทธิ์ขั้นพื้นฐานแล้ว ยังเป็นการไม่ให้เกียรติ หรือซ้ำเติบกับคนเหล่านั้น รวมทั้งเป็นการขยายความรุนแรงขึ้นไปอีก
       
       อีกประการหนึ่ง คือ ไม่ว่าจะเกิดเหตุรุนแรงใด ๆ เจ้าหน้าที่จำเป็นจะเข้ามาบริหารจัดการพื้นที่ให้ได้ กันประชาชน สื่อ ออกจากพื้นที่เกิดเหตุ ไปยังพื้นที่ปลอดภัย เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างเต็มที่ ทั้งในเรื่องของความปลอดภัย การเก็บวัตถุหลักฐานเพื่อนำไปสู่การสืบสวนสอบสวนอย่างมีประสิทธิภาพ และรวดเร็วยิ่งขึ้น
       
       ทั้งนี้ สิ่งที่พวกเราชาวไทยทุกคนสามารถทำได้ในตอนนี้ก็คือการช่วยประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ สิ่งที่ดีงามของประเทศเรา เพื่อเป็นกำลังใจให้คนไทยด้วยกันเอง และสร้างความเชื่อมั่น ความเข้าใจกับต่างประเทศ หยุดเลิกเผยแพร่ข่าวที่ทำให้เกิดความสับสน ตื่นตระหนก และการสร้างความแตกแยกในจิตใจของคนไทยด้วยกัน หลายท่านคงทราบแล้วว่า เรื่องที่สำนักข่าวเยอรมันแห่งหนึ่งได้เสนอข่าวเหตุระเบิดครั้งนี้ในเชิง สร้างสรรค์ ได้พูดถึงการแสดงถึงความมีน้ำใจของคนไทย ว่า ทันทีหลังจากเกิดการระเบิด ก็มีคนไทยแถวนั้นวิ่งไปช่วยคนเจ็บทันที ขณะเดียวกันก็มีคนไปบริจาคเลือดที่สภากาชาดไทยเป็นจำนวนมาก เมื่อมีการประกาศหาล่ามภาษาจีน สำหรับสื่อสารแก่ผู้บาดเจ็บ ก็มีจิตอาสามาช่วยเป็นจำนวนมาก ส่วนวินมอเตอร์ไซค์แถวสี่แยกราชประสงค์เองก็เสนอรับ - ส่ง ผู้โดยสารฟรี นับเป็นเสียงสะท้อนจากชาวต่างชาติที่น่าภูมิใจถึงน้ำใจของคนไทยที่รัก สามัคคี และมีน้ำใจ พร้อมที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ยังมีอีกหลายอย่างที่อาจจะพูดไม่หมด มีมากมายที่พี่น้องทุกคน ประชาชนทุกคน สามารถทำได้
       
       ทั้งนี้ เพื่อเป็นการแสดงพลังแห่งความสามัคคีของคนไทย ที่ต้องการเห็นความสงบสุข ความเจริญรุ่งเรือง กลับคืนมาสู่บ้านเกิดของเรา ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติตัวต่อนักท่องเที่ยว ทำให้เขากลับไปบอกคนที่ประเทศเขาว่า ประเทศไทยนั้นน่าไปเที่ยว คนไทยน้ำใจดี มีน้ำใจที่เอื้ออาทร เหมือนกับที่นายโทนี แอ็บบอตต์ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย กล่าวในที่ประชุมรัฐสภา เชิญชวนให้ชาวออสเตรเลียเดินทางมาเที่ยวที่ประเทศไทยต่อไป อย่ายอมจำนนต่อผู้ใช้ความรุนแรง เนื่องจากผู้ที่วางระเบิดตามเมืองต่าง ๆ ที่มีผู้คนจำนวนมาก ทำเพื่อสร้างความหวาดกลัว ทำให้ไม่สามารถดำเนินชีวิตตามปกติได้
       
       ดังนั้น ประชาชนไม่ควรตกใจกลัวจนเกินไป หรือยอมถูกข่มขู่ด้วยการกระทำเช่นนั้น เราสามารถจะดำเนินชีวิตตามปกติ โดยเพิ่มความระมัดระวัง มีความช่างสังเกตมากขึ้น ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการแจ้งสิ่งที่ผิดปกติ ต้องสงสัย เพราะฉะนั้นก็จะเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะพยายามไม่เป็นที่เรียกว่า สังคมก้มหน้า คือ ช่วยกันเป็นหูเป็นตาดีกว่า เฝ้าระวังภัยสังคม ไม่ใช่ไม่สนใจ ก้มมองมือถือตลอดเวลา เห็นอะไรผิดปกติ สิ่งของที่ไม่มีเจ้าของวางทิ้งไว้ หรือคนที่ดูมีพิรุธ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ผู้คนพลุกพล่าน ขอให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ทันทีนะครับ เดี๋ยวเข้าไปตรวจสอบเอง
       
       ด้านการช่วยเหลือเยียวยาและการจ่ายเงินช่วยเหลือ สำหรับผู้ได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิตชาวไทย กรุงเทพมหานครจะเป็นหน่วยงานที่รับแจ้งคำร้อง โดยจะประสานกับกระทรวงยุติธรรม เพื่อช่วยเหลือเหยื่อชาวไทยตามสิทธิกฎหมายกำหนด สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วน 1111 สำหรับชาวต่างชาติ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จะให้การดูแลด้วยเงินจากกองทุนประกันภัยนักท่องเที่ยว ที่รัฐบาล หรือ คสช. จัดตั้งขึ้นมา 200 ล้านบาทนะครับ
       
       ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้ติดต่อไปยังสถานทูตต่างๆ หรืออาจจะสามารถติดต่อได้โดยตรง สอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วน 1155 นะครับ ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ โดยพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ค่ารักษาพยาบาลแก่ผู้บาดเจ็บ ในส่วนที่ไม่สามารถเบิกตามสิทธิ์ได้ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้องคมนตรีเชิญดอกไม้พระราชทาน ไปมอบให้แก่ผู้บาดเจ็บในเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย สำหรับผู้เสียชีวิตชาวไทยได้ทรงพระราชทานค่าใช้จ่ายในการประกอบพิธีศพรายละ 9 หมื่นบาทนะครับ
       
       สำหรับชาวต่างประเทศที่บาดเจ็บ และเสียชีวิตนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เอกอัครราชทูต นำพระราชสาส์นแสดงความเสียใจ และดอกไม้ส่วนพระองค์ไปมอบให้นะครับ
       
       ผมและรัฐบาลขอขอบคุณ และเป็นกำลังใจให้แก่เจ้าหน้าที่ทุกคนในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ทหาร อาสาสมัคร แพทย์ พยาบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มแพทย์อาสาตามโรงพยาบาลต่าง ๆ ที่เสียสละมาช่วยดูแลรักษาผู้บาดเจ็บตลอดทั้งคืนที่เกิดเหตุ และที่สำคัญ ขอขอบคุณประชาชนทุกคนนะครับ ที่แสดงออกถึงความรัก ความสามัคคี ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ในยามที่พี่้น้องร่วมชาติ และต่างประเทศต้องการความช่วยเหลือ และต้องขอขอบคุณในการแสดง ความเสียใจจากผู้นำประเทศหลายประเทศที่มีต่อรัฐบาล ต่อประชาชนคนไทย และประเทศไทยด้วยนะครับ ด้วยความรู้สึกที่รักสามัคคีนี้ รัฐบาล และ คสช. มั่นใจว่า เราจะสามารถผ่านช่วงเวลาฝันร้ายนี้ไปด้วยกัน เราจะเดินหน้าต่อไปไม่ยอมสะดุด หรือหยุดรออีกต่อไป เพราะประเทศไทยเรานั้นเสียเวลา เสียโอกาสมากแล้ว ต้องขอขอบคุณสื่อมวลชนทุกแขนงในการทำหน้าที่คนไทยรักชาติไม่ยอมให้ใครทำลาย ทำร้ายแผ่นดินเกิดของเรา ร่วมกันต่อสู้กับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ด้วยการแสดงความเข้มแข็งด้วยพลังสามัคคีช่วยประชาสัมพันธ์แคมเปญ สตรองเกอร์ ทูเกตเตอร์ การส่งต่อสัญลักษณ์ดังกล่าวนั้น ถือเป็นการแสดงออกถึงความเป็นน้ำหนึ่งในเดียวกัน และเป็นการหยิบยื่นน้ำใจ เป็นการเติมกำลังใจให้ซึ่งกันและกันนะครับ
       
       สำหรับนโยบายที่รัฐบาลนี้ และ คสช. ได้ให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ คือ ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ ในเรื่องการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งมีผลดำเนินงานมาจนปัจจุบัน เป็นที่น่าพึงพอใจระยะแรก จากผลการสำรวจดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชันไทย ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เมื่อเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม ปีที่แล้ว สะท้อนให้เห็นว่าการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นในประเทศมีทิศทางปรับตัวดีขึ้น และดีที่สุดในรอบ 6 ปี สามารถช่วยให้รัฐบาลป้องกันสูญเสียเงินไปกับการคอร์รัปชันได้เกือบ 2 แสนล้านบาท เม็ดเงินงบประมาณโครงการต่าง ๆ ถึงมือประชาชนโดยตรง ไม่ผ่านขบวนการคอร์รัปชัน สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย มีประสิทธิภาพสูงสุด และคุ้มค่ามากที่สุด แต่ทั้งนี้ ก็มีการพูดให้ร้ายข้าราชการ รัฐมนตรี รัฐบาลในสิ่งที่ไม่อาจใช่ข้อเท็จจริง เพราะรัฐบาลนี้ไม่เปิดโอกาสให้มีการสำรองเกิดขึ้น ไม่มีการช่วยเหลือเป็นพิเศษใดๆ ทุกโครงการหากยังมีเล็ดรอดได้อยู่นั้น ขอให้แจ้งเบาะแสเพื่อตรวจสอบทันที
       
       ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ปล่อยปละละเลยกับปัญหานี้มานาน ประชาชนเคยชินกับการทุจริตคอร์รัปชัน ไม่มีความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมาย ไม่มีการปรับปรุงกฎระเบียบให้รัดกุม ไม่มีกลไกในการกำกับดูแลกิจการ การตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ ปล่อยให้มีการให้สินบน สินน้ำใจของกำนัน รางวัลต่างๆ แก่เจ้าหน้าที่รัฐ หรือการจ่ายเงินให้ได้ผลประโยชน์ภายหลัง สิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นมานานแล้ว เป็นปัญหาที่ทำลายชาติ ทำร้ายประชาชน ทำให้ประเทศไม่สามารถพัฒนาได้เท่าที่ควร ผลการสำรวจนี้ก็ถือเป็นกำลังใจสำคัญในการทำงาน และเป็นข้อมูลให้แก่รัฐบาลในการดำเนินนโยบายที่ชัดเจน ในการที่จะต่อต้านการคอร์รัปชันในทุกระดับ ให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
       
       รัฐบาลยืนยันว่า จะเดินหน้าต่อต้านการคอร์รัปชันต่อไป เพื่อกำจัดสนิมเนื้อในที่กัดกินประเทศ ในช่วงนับสิบปีที่ผ่านมาให้ได้ โดยหวังว่าพี่น้องประชาชนคนไทยจะให้กำลังใจ และร่วมแรงร่วมใจกันกำจัดการคอร์รัปชันให้หมดสิ้นไปจากสังคมไทยของเรา นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการวางรากฐานเศรษฐกิจที่ยั่งยืน โดยจะไม่แก้ปัญหาในลักษณะที่ไม่สร้างควาเมข้มแข็งให้กับประชาชนและภาคธุรกิจ ทิ้งมรดกหนี้ไว้ให้กับภาระลูกหลานต่อไป
       
       สำหรับความคืบหน้าในการลงทุนให้อนาคต ที่สำคัญ ได้แก่ โครงการเกี่ยวกับเรื่องของการจัดทำโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมทางรถไฟ อาทิ โครงการรถไฟความเร็วปานกลางไทย - จีน 160 - 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระยะทาง 873 กิโลเมตร แบ่งการก่อสร้างเป็น 4 ช่วง คือ กรุงเทพฯ - แก่งคอย 133 กิโลเมตร แก่งคอย - มาบตาพุด 246.5 กิโลเมตร แก่งคอย - นครราชสีมา 138.5 กิโลเมตร และนครราชสีมา -หนองคาย 355 กิโลเมตร จะให้เวลาในการก่อสร้างประมาณ 3 ปีครึ่ง และจะเริ่มก่อสร้างช่วงที่ 1 กรุงเทพฯ - แก่งคอย และช่วงที่ 3 แก่งคอย - นครราชสีมา ก่อน ภายในเดือนธันวาคม 2558 นี้
       
       ด้านการลงทุน เป็นการร่วมลงทุนของรัฐบาลทั้ง 2 ฝ่าย ด้วยการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในลักษณะ Special Purpose Vehicle หรือ SPV ฝ่ายไทยถือหุ้นร้อยละ 60 ฝ่ายจีนถือหุ้นร้อยละ 40 ทั้งนี้ มีการประมาณการว่า จะมีการตอบแทนในอัตราทางเศรษฐกิจในภาพรวมไม่น้อยกว่าร้อยละ 14.99
       
       สำหรับด้านงานก่อสร้าง จะใช้สัญญาก่อสร้างแบบ Engineering Procurement Construction หรือ EPC ฝ่ายจีนรับผิดชอบด้านการสำรวจ ออกแบบก่อสร้าง ฝ่ายไทยจะเป็นผู้ดำเนินการตรวจสอบแบบ ราคาก่อสร้าง และความเหมาะสมของราคา ก่อนจะมีการลงนามในสัญญางานก่อสร้างทั้งหมด
       
       ต่อไปก็คือด้านการลงทุนและงานโยธา ฝ่ายไทยจะเป็นผู้จัดหาแหล่งเงินทุนเอง ดำเนินการคัดเลือกผู้รับจ้างไทยก่อสร้างเองในงานชั้นฐาน ที่เป็นทางราบ อาคาร ส่วนงานเจาะอุโมงค์ งานก่อสร้างชั้นฐานทางไหล่เขา ฝ่ายจีนจะเป็นผู้ดำเนินการ งานระบบอาณัติสัญญาณ งานจัดหาและติดตั้งตัวรถ ตลอดจนอุปกรณ์เดินรถ และซ่อมบำรุง
       
       สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงมีจำนวน 3 เส้นทาง คือ กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ 672 กิโลเมตร ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างไทย - ญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการศึกษา มีแผนการดำเนินการวางไว้แล้ว ทั้งนี้ อยู่ระหว่างการร่วมสำรวจและออกแบบ
       
       สำหรับอีก 2 เส้นทาง คือ กรุงเทพฯ - ระยอง 193.5 กิโลเมตร และกรุงเทพฯ - หัวหิน 211 กิโลเมตร มีความคืบหน้า ดังนี้ ด้านการลงทุน จะเปิดโอกาสให้เอกชนเข้าร่วมลงทุน โดยการรถไฟฯ อยู่ระหว่างเตรียมนำเสนอรายงานผลการศึกษา เสนอต่อกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาของ ครม. เพื่ออนุมัติโครงการ ก่อนเปิดให้ภาคเอกชนที่สนใจยื่นข้อเสนอต่อไป ด้านการใช้ประโยชน์ที่จะได้รับ คาดว่าระยะแรกจะทำให้มีผู้โดยสารเปลี่ยนมาเดินทางในระบบรถไฟเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ สามารถเพิ่มสัดส่วนการขนส่งสินค้าทางรางได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 และอาจจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งนอกจากจะเป็นการส่งเสริมการค้า และการลงทุนระหว่างประเทศแล้ว ที่เรามีโครงการจัดทำโครงข่ายเส้นทางไทย - ลาว - จีน ยังเป็นการสร้างความมั่นคง และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจระหว่างกันอย่างยั่งยืนด้วย เป็นการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน สามารถลดต้นทุนการขนส่งสินค้าของผู้ประกอบการ และช่วยในการกระจายความเจริญจากกรุงเทพฯ ไปสู่ภูมิภาคอีกด้วย โดยทั้งหมดนี้ผู้นำของแต่ละประเทศ ผมได้ปรึกษาหารือกันแล้ว จัดทำแผนเรียบร้อยแล้ว ที่จะเชื่อมโยงกันอย่างไรในทั้งถนน และทางรางนะครับ ทุกประเทศได้มีการหารือร่วมกันจัดทำแผน สรุปมาได้ชัดเจน มีแผนการดำเนินการที่เห็นชอบทุกอย่างนะครับ อยู่ที่ว่ามันจะดำเนินการได้อย่างไร หาทุนก่อสร้างได้ที่ไหน และจะร่วมมือกันอย่างไร วิธีการต่างๆ มันมีรายละเอียดทั้งหมดนะครับ ไม่ใช่ว่านึกจะสร้างก็สร้าง สร้างง่าย ๆ และก็เป็นภาระมาก ๆ ความคุ้มทุน ความคุ้มค่ามันไม่เท่าที่ควร เหล่านี้มันต้องพิจารณานะครับ
       
       เพราะฉะนั้นหลายคนก็ใจร้อน บอกว่าประกาศมาปีเกือบจะ 2 ปีกว่าแล้ว ไม่เห็นสร้างสักที ก็ปัญหาที่นี่เจรจามา 6 ครั้งแล้ว และต่อไปต้องมาดูในเรื่องของการทำอีไอเอ ประชาพิจารณ์ ประชาชนที่บุกรุกเส้นทาง เดิมอยู่แล้วทำอย่างไร ก็สร้างในแนวทางเดิมเกือบทั้งหมด มีบางเส้นที่สร้างใหม่เท่านั้น ปรากฏว่าในเส้นทางรถไฟเดิมก็มีประชาชนที่ยังบุกรุกอยู่ และเขาก็เดือดร้อน เขาไม่ยอมให้เราสร้าง นี่แหละครับต้องช่วยกัน ไม่อย่างนั้นมันเกิดอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น เดี๋ยวรัฐบาลจะดูแลให้หาที่อยู่ที่อาศัยให้ และหาประโยชน์ที่จะได้รับในการที่จะค้าขายอะไรต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ที่เขาเคยอยู่มาก่อน ทั้ง ๆ ที่ผิดกฎหมาย ผมย้ำตรงนี้เอาไว้หน่อย
       
       สำหรับในเรื่องของการนโยบายที่จะสร้างความเข้มแข็งให้ธุรกิจเอสเอ็ มอี พูดมาเยอะแล้ว รัฐบาลนี้ทำทุกอย่างเลยนะครับ ทั้งกฎหมาย ทั้งการจัดกลุ่มเอสเอ็มอี ทั้งการจัดหากองทุน ทั้งการให้ความรู้ Matching ต่าง ๆ ทั้งหมด และเริ่มให้มีตลาดกลางของประชาชนในท้องถิ่นตามโมเดลของตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทำเนียบรัฐบาลนะครับ ปัจจุบันได้รับการเรียกร้อง ผมให้ขยายผลไปสู่การจัดตลาดสี่มุมเมืองที่ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ที่ตรงกรมโยธาฯ นั่นแหละ จุดที่สอง ก็ อ.ต.ก. สุวรรณภูมิ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร จุดที่สาม คือ คลองหลวง สำนักงานสหกรณ์ จ.ปทุมธานี และถนนอุทยานฯ เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร ก็เป็นการเปิดโอกาสให้เกษตรกร และกลุ่มเกษตรกร ได้มีพื้นที่จัดแสดงและจำหน่ายสินค้า นำสินค้าดีมีคุณภาพให้เป็นที่รู้จัก และจำหน่ายถึงมือผู้บริโภคโดยตรงในราคายุติธรรม รวมทั้งส่งเสริมการขายของกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลาง ขนาดย่อม เป็นเวทีแลกเปลี่ยนพบปะระหว่างผู้ผลิต ผู้จำหน่าย ผู้บริโภค แหล่งเงินทุน โดยมุ่งหวังให้กิจกรรมดังกล่าวเป็นความสุขในการจับจ่ายสินค้าปลอดภัยผู้ บริโภค โดยนำร่องด้วยตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ปากเกร็ด ระหว่างวันที่ 18 สิงหาคม ถึง 16 กันยายน 2558 ช่วงเวลา 10 โมงเช้า ภายในงาน นอกจากจะมีการจำหน่ายสินค้าปศุสัตว์ สินค้าทั่วไป ยังมีการจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าโครงการหลวง โครงการพระราชดำริ โครงการศิลปาชีพด้วย และสำหรับตลาดคลองผดุงกรุงเกษม อ.ต.ก. สุวรรณภูมิ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร มีกำหนดจัดขึ้นเดือนหน้า ระหว่างวันที่ 4 - 20 กันยายน 2558
       
       อย่างไรก็ตาม อาจมีการกล่าวถึงในสื่อว่ารัฐบาลไม่จริงใจในการช่วยเหลือเอสเอ็มอี ซึ่งไม่เป็นธรรมกับเรามากนัก เพราะเราทำกันเยอะแยะ เพียงแต่เวลามันรวดเร็วมากไม่ได้ หลายท่าน ผมอยากถามเอสเอ็มอี ที่บ่นว่ารัฐบาลไม่ดูแลนั้น เขาชี้แจงหรือเปล่าว่าท่านอยู่ในหลักเกณฑ์หรือไม่อย่างไร อย่าไปบ่นข้างนอก และไม่มาหาเรา บางครั้ง ผมตรวจสอบหลายครั้ง ยืนยันว่า หลายเอสเอ็มอีไม่เข้าเกณฑ์ ไม่มีความมั่นคง ไม่มีศักยภาพเพียงพอ เพราะฉะนั้นการให้ความช่วยเหลือไปจะสูญเปล่า หนี้สูญเยอะแยะ
       
       เพราะฉะนั้น ต้องร่วมมือกันนะครับว่าทำยังไง ต้องฟัง ถ้าเขาให้ปรับเปลี่ยนยังไง ถ้ากู้ได้ ต้องปรับเปลี่ยน ไม่งั้นทุกคนอยากทำอะไรก็ทำทั้งหมด ถ้าทำอย่างนั้นก็ขายได้แค่นั้น แล้วเงินทุนเราก็ให้ไม่ได้ มันต้องมีกติกา ไม่ใช่ว่าทุกคนต้องให้ได้ทั้งหมด ใครไม่ได้ก็โวยวาย เป็นซะแบบนี้ ทุกเรื่องเลย ประเทศไทย ใครได้ก็ไม่บ่น ใครไม่ได้ก็บ่น ร้องเรียน ร้องทุกข์ ทำให้มันวุ่นวายไปหมดทุกเรื่องเลย วันนี้เอสเอ็มอีเราได้จัดกลุ่มไว้ 3 - 4 กลุ่มด้วยกัน กลุ่มไหนให้ก่อน กลุ่มไหนให้หลัง ถ้าหากว่าเรารู้ตัวเอง โดยการประเมินของส่วนราชการ ก็ให้เขาประเมินมา แล้วท่านก็ปรับปรุงตัวของท่านเอง แล้ววันหน้าเขาก็ให้ท่านได้ เกิดความมั่นใจ เชื่อมั่นขึ้นมา ถ้าหากว่าเราให้ทุกพวกทุกกลุ่ม ทั้งมีศักยภาพ ไม่มีศักยภาพ แล้วรัฐจะเอาเงินจากที่ไหน มันตั้งมากมาย 2 ล้านแห่ง 2,600,000 แห่ง ตัวเลขกลม ๆ นะ
       
       สำหรับนโยบายสร้างความเข้มแข็งภาคครัวเรือน และวินัยการออมนั้น รัฐบาลได้จัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติ กอช. ที่ได้เปิดตัว เปิดรับสมัครไปแล้วเมื่อวานนี้ วันที่ 20 สิงหาคม มีผู้ให้ความสนใจจำนวนมาก โดยมีสมาชิกคนหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า รอการจัดตั้งของตัวเองขึ้นมา 10 ปีแล้ว ดีใจที่รัฐบาลนี้ทำได้สำเร็จ มันก็เป็นสิ่งที่พวกเราภาคภูมิใจ และดีใจ เราก็พยายามจะทำให้ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ ต้องใช้เวลานานพอสมควร เพราะต้องรอกฎหมายลูกด้วย พ.ร.บ. มีมานานแล้ว
       
       ฉะนั้น กองทุนนี้เป็นกองทุนการออมเพื่อผลระยะยาวสำหรับภาคประชาชน และช่วยเหลือประชาชนที่มีอาชีพอิสระ ไม่อยู่ในระบบบำเหน็จบำนาญ ได้สร้างหลักประกันหลังเกษียณของตัวเอง โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 25 ล้านคนทั่วประเทศ ทั้งนี้ จุดเด่นของ กอช. ก็คือ เป็นการออมโดยความสมัครใจ มีความยืดหยุ่นในการออม สมาชิกได้รับคืนเงินทุกบาททุกสตางค์ หากเสียชีวิตก่อนเงินในบัญชีจะหมด เงินสะสมและเงินสมทบทั้งหมดจะโอนให้ทายาท และรัฐบาลรับประกันผลตอบแทน ไม่ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำประเภท 12 เดือน และได้รับบำนาญตลอดชีวิต แม้ว่าเงินสนับสนุนจะหมด เงื่อนไขการสมัครติดต่อได้ที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารกรุงไทย และธนาคารออมสิน ทุกสาขา ใช้บัตรประชาชนเพียงใบเดียว รัฐบาลก็มีภาระอยู่แล้วในการที่จะจ่ายสมทบให้ตามสัดส่วนของอายุผู้สมัคร ซึ่งก็เป็นเงินที่มากพอสมควร ไม่เป็นไร รัฐบาลก็ต้องพยายามทำเศรษฐกิจให้ดีขึ้น เพื่อจะได้มีเงินมาดูแลพ่อแม่พี่น้อง สมทบไปด้วย ถ้าทุกคนร่วมกัน มีจิตสำนึกการมีส่วนร่วมแบบนี้ ทุกอย่างมันไปได้ดีหมด ในเรื่องกิจการอื่นด้วยก็ตาม และเรื่องของกองทุนนี้ เราก็สามารถนำไปประกอบการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และกลับมาเป็นเงินหมุนเวียนสมทบไปเรื่อยๆ จะได้ลดภาระงบประมาณของรัฐบ้าง
       
       การที่ประเทศไทยของเราจะพัฒนาต่อไปได้นั้น ส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับขีดความสามารถในระบบวิจัยและพัฒนาของประเทศ ผมก็อยากเห็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ กับภาคเอกชน มีเพิ่มมากขึ้น โดยพิจารณาจุดแข็งและจุดอ่อนของแต่ละภาคส่วน นำมาบูรณาการร่วมกันเพื่อการวิจัยและพัฒนา หานวัตกรรมใหม่ๆ ต่อยอดสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ทันสมัย เพิ่มประสิทธิภาพ ให้นำไปสู่การผลิตและใช้ได้ทั้งในและต่างประเทศ
       
       ผมเองนั้นเชื่อว่าประเทศไทยมีขีดความสามารถ มีบุคลากร มีทรัพยากรที่เพียงพอที่จะกระตุ้นให้การวิจัยและพัฒนาของประเทศได้เกิดขึ้น ในทุกด้าน โดยรัฐบาลนี้ยินดีที่จะสนับสนุนอย่างเต็มที่ หลายรูปแบบด้วยกัน มีการปรับกฎระเบียบ ให้หน่วยงานสามารถจัดหาของที่ผลิตในประเทศนี้ได้เอง กำหนดมาตรฐานให้ชัดเจน มีประมาณเกือบ 100 อย่างแล้วในขณะนี้ ที่สามารถผลิตจำหน่ายได้ ก็ขอให้นำมาใช้ ช่วยกันก็แล้วกัน
       
       สัปดาห์นี้ผมมีเรื่องเรียนชี้แจงกับพี่น้องประชาชนเพียงเท่านี้ ขอให้ทุกคนมีสติ ทำหน้าที่ของตน ร่วมแรงร่วมใจ สามัคคีกัน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศไทยของเรา ขอบคุณครับ สวัสดีครับ 


ขอบคุณทีมงาน manager

คำพูดประยุทธ์ “คืนความสุขให้คนในชาติ” วันศุกร์ ที่ 21 สิงหาคม 2558

คำพูดประยุทธ์ "คืนความสุขให้คนในชาติ" วันศุกร์ ที่ 21 สิงหาคม 2558
       
       สวัสดีครับพ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ผมได้เป็นประธานในพิธีบวงสรวงมหามังคลาภิเษกพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระ บูรพกษัตริย์แห่งสยาม ณ มณฑลพิธีอุทยานราชภักดิ์ ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งทางอุทยานฯ ก็ได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นการเทิดทูนและประกาศเกียรติคุณพระมหากษัตริย์แห่ง สยาม ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ที่ได้ทรงสร้างคุณูปการที่ยิ่งใหญ่ต่อประเทศชาติ
       
       อุทยานฯ แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในพื้นที่ของกองทัพบกจำนวน 222 ไร่เศษ มีพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระมหากษัตริย์ 7 พระองค์ สร้างในพระอิริยาบถทรงยืน ความสูงประมาณ 13.9 เมตร หรือ 7.9 เท่าของคนจริง หล่อด้วยเนื้อสำริดนอก ประดิษฐานบนแท่นบนลานอเนกประสงค์ประมาณ 90,000 ตารางเมตร ซึ่งนับว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ เพื่อเป็นการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย หลังจากนี้แล้วจะเปิดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมฟรีได้ทุกวัน สวยงาม น่าภาคภูมิใจ ผมขอเชิญชวนให้พ่อแม่พี่น้องหาโอกาสไปเยือน ไปพักผ่อน พาลูกหลานไปศึกษา เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของชาติเรานะครับ
       
       พ่อแม่พี่น้องชาวไทยครับ ถึงเวลาแล้วที่คนไทยทุกคนจะต้องร่วมมือกัน สามัคคีกัน เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น เราได้ผ่านห้วงเวลาแห่งความเลวร้ายมาด้วยกัน เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม เป็นการกระทำของผู้ที่มีจิตใจโหดเหี้ยม ไร้คุณธรรม ที่ต้องการสร้างความหวาดกลัว ทำลายความสงบสุขของพี่น้องประชาชน และภาพลักษณ์ของประเทศของเรา บ้านของเรา ผมขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งอีกครั้งต่อครอบครัวของผู้สูญเสีย รัฐบาลยืนยันจะเร่งดำเนินการสืบสวน หาตัวผู้กระทำความผิด และขบวนการที่เกี่ยวข้องมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็ว ในปัจจุบันนั้นมีความคืบหน้าไปมากนะครับ ขอให้ประชาชนคนไทยทุกคน ทุกภาคส่วน มีความเชื่อมั่น และตั้งอยู่ในความมีสติ
       
       ช่วงนี้หลาย ๆ ท่านคงได้เห็นข้อความต่าง ๆ ที่แสดงความเห็นห่วง เป็นกำลังใจ หรือแสดงพลังของคนไทย รวมถึงข้อความแคมเปญของรัฐบาล our home our country together stronger หรือเราจะเติบโตและแข็งแกร่งไปด้วยกัน เพราะที่นี่คือประเทศของเรา บ้านของเรา ในสื่อต่าง ๆ นะครับ ทุกข้อความมีวัตถุประสงค์ที่ดี ใครอยากใช้ อันไหนก็ใช้ ไม่อยากให้ยกมาเป็นประเด็นให้ทะเลาะขัดแย้งกันอีกนะครับ เพราะจากนี้ไปเราต้องสามัคคีกัน จับมือกันเพื่อก้าวเดินไปข้างหน้า ความสามัคคีของคนไทยจะทำให้ประเทศของเราแข็งแกร่ง บ้านของเราแข็งแรง สามารถเติบโตและผ่านพ้นวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ได้ ใช้ได้ตลอดไปนะครับ ไม่ใช่แค่ช่วงนี้ ต่อไปเราคงต้องร่วมใจกันมากกว่าเดิม ช่วยเหลือกันทุกเรื่อง สามัคคีกันไว้ เราต้องสร้างประเทศด้วยมือของเราเอง ผมเชื่อว่าประเทศไทยมีคนดี คนมีน้ำใจ มีคุณธรรมมากกว่าคนไม่ดี เราต้องช่วยกันเอาความดีชนะความไม่ดีให้ได้ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมอยากขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนทุกท่านให้ใช้วิจารณญาณในการส่งต่อ ข่าวสารข้อมูล รูปภาพผ่านโซเชียลมีเดียนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพความเสียหายสถานที่เกิดเหตุ รวมทั้งภาพผู้ได้รับบาดเจ็บ สูญเสีย เพราะนอกจากจะเป็นการละเมิดสิทธิ์ขั้นพื้นฐานแล้ว ยังเป็นการไม่ให้เกียรติ หรือซ้ำเติบกับคนเหล่านั้น รวมทั้งเป็นการขยายความรุนแรงขึ้นไปอีก
       
       อีกประการหนึ่ง คือ ไม่ว่าจะเกิดเหตุรุนแรงใด ๆ เจ้าหน้าที่จำเป็นจะเข้ามาบริหารจัดการพื้นที่ให้ได้ กันประชาชน สื่อ ออกจากพื้นที่เกิดเหตุ ไปยังพื้นที่ปลอดภัย เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างเต็มที่ ทั้งในเรื่องของความปลอดภัย การเก็บวัตถุหลักฐานเพื่อนำไปสู่การสืบสวนสอบสวนอย่างมีประสิทธิภาพ และรวดเร็วยิ่งขึ้น
       
       ทั้งนี้ สิ่งที่พวกเราชาวไทยทุกคนสามารถทำได้ในตอนนี้ก็คือการช่วยประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ สิ่งที่ดีงามของประเทศเรา เพื่อเป็นกำลังใจให้คนไทยด้วยกันเอง และสร้างความเชื่อมั่น ความเข้าใจกับต่างประเทศ หยุดเลิกเผยแพร่ข่าวที่ทำให้เกิดความสับสน ตื่นตระหนก และการสร้างความแตกแยกในจิตใจของคนไทยด้วยกัน หลายท่านคงทราบแล้วว่า เรื่องที่สำนักข่าวเยอรมันแห่งหนึ่งได้เสนอข่าวเหตุระเบิดครั้งนี้ในเชิง สร้างสรรค์ ได้พูดถึงการแสดงถึงความมีน้ำใจของคนไทย ว่า ทันทีหลังจากเกิดการระเบิด ก็มีคนไทยแถวนั้นวิ่งไปช่วยคนเจ็บทันที ขณะเดียวกันก็มีคนไปบริจาคเลือดที่สภากาชาดไทยเป็นจำนวนมาก เมื่อมีการประกาศหาล่ามภาษาจีน สำหรับสื่อสารแก่ผู้บาดเจ็บ ก็มีจิตอาสามาช่วยเป็นจำนวนมาก ส่วนวินมอเตอร์ไซค์แถวสี่แยกราชประสงค์เองก็เสนอรับ - ส่ง ผู้โดยสารฟรี นับเป็นเสียงสะท้อนจากชาวต่างชาติที่น่าภูมิใจถึงน้ำใจของคนไทยที่รัก สามัคคี และมีน้ำใจ พร้อมที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ยังมีอีกหลายอย่างที่อาจจะพูดไม่หมด มีมากมายที่พี่น้องทุกคน ประชาชนทุกคน สามารถทำได้
       
       ทั้งนี้ เพื่อเป็นการแสดงพลังแห่งความสามัคคีของคนไทย ที่ต้องการเห็นความสงบสุข ความเจริญรุ่งเรือง กลับคืนมาสู่บ้านเกิดของเรา ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติตัวต่อนักท่องเที่ยว ทำให้เขากลับไปบอกคนที่ประเทศเขาว่า ประเทศไทยนั้นน่าไปเที่ยว คนไทยน้ำใจดี มีน้ำใจที่เอื้ออาทร เหมือนกับที่นายโทนี แอ็บบอตต์ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย กล่าวในที่ประชุมรัฐสภา เชิญชวนให้ชาวออสเตรเลียเดินทางมาเที่ยวที่ประเทศไทยต่อไป อย่ายอมจำนนต่อผู้ใช้ความรุนแรง เนื่องจากผู้ที่วางระเบิดตามเมืองต่าง ๆ ที่มีผู้คนจำนวนมาก ทำเพื่อสร้างความหวาดกลัว ทำให้ไม่สามารถดำเนินชีวิตตามปกติได้
       
       ดังนั้น ประชาชนไม่ควรตกใจกลัวจนเกินไป หรือยอมถูกข่มขู่ด้วยการกระทำเช่นนั้น เราสามารถจะดำเนินชีวิตตามปกติ โดยเพิ่มความระมัดระวัง มีความช่างสังเกตมากขึ้น ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการแจ้งสิ่งที่ผิดปกติ ต้องสงสัย เพราะฉะนั้นก็จะเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะพยายามไม่เป็นที่เรียกว่า สังคมก้มหน้า คือ ช่วยกันเป็นหูเป็นตาดีกว่า เฝ้าระวังภัยสังคม ไม่ใช่ไม่สนใจ ก้มมองมือถือตลอดเวลา เห็นอะไรผิดปกติ สิ่งของที่ไม่มีเจ้าของวางทิ้งไว้ หรือคนที่ดูมีพิรุธ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ผู้คนพลุกพล่าน ขอให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ทันทีนะครับ เดี๋ยวเข้าไปตรวจสอบเอง
       
       ด้านการช่วยเหลือเยียวยาและการจ่ายเงินช่วยเหลือ สำหรับผู้ได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิตชาวไทย กรุงเทพมหานครจะเป็นหน่วยงานที่รับแจ้งคำร้อง โดยจะประสานกับกระทรวงยุติธรรม เพื่อช่วยเหลือเหยื่อชาวไทยตามสิทธิกฎหมายกำหนด สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วน 1111 สำหรับชาวต่างชาติ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จะให้การดูแลด้วยเงินจากกองทุนประกันภัยนักท่องเที่ยว ที่รัฐบาล หรือ คสช. จัดตั้งขึ้นมา 200 ล้านบาทนะครับ
       
       ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้ติดต่อไปยังสถานทูตต่างๆ หรืออาจจะสามารถติดต่อได้โดยตรง สอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วน 1155 นะครับ ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ โดยพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ค่ารักษาพยาบาลแก่ผู้บาดเจ็บ ในส่วนที่ไม่สามารถเบิกตามสิทธิ์ได้ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้องคมนตรีเชิญดอกไม้พระราชทาน ไปมอบให้แก่ผู้บาดเจ็บในเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย สำหรับผู้เสียชีวิตชาวไทยได้ทรงพระราชทานค่าใช้จ่ายในการประกอบพิธีศพรายละ 9 หมื่นบาทนะครับ
       
       สำหรับชาวต่างประเทศที่บาดเจ็บ และเสียชีวิตนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เอกอัครราชทูต นำพระราชสาส์นแสดงความเสียใจ และดอกไม้ส่วนพระองค์ไปมอบให้นะครับ
       
       ผมและรัฐบาลขอขอบคุณ และเป็นกำลังใจให้แก่เจ้าหน้าที่ทุกคนในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ทหาร อาสาสมัคร แพทย์ พยาบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มแพทย์อาสาตามโรงพยาบาลต่าง ๆ ที่เสียสละมาช่วยดูแลรักษาผู้บาดเจ็บตลอดทั้งคืนที่เกิดเหตุ และที่สำคัญ ขอขอบคุณประชาชนทุกคนนะครับ ที่แสดงออกถึงความรัก ความสามัคคี ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ในยามที่พี่้น้องร่วมชาติ และต่างประเทศต้องการความช่วยเหลือ และต้องขอขอบคุณในการแสดง ความเสียใจจากผู้นำประเทศหลายประเทศที่มีต่อรัฐบาล ต่อประชาชนคนไทย และประเทศไทยด้วยนะครับ ด้วยความรู้สึกที่รักสามัคคีนี้ รัฐบาล และ คสช. มั่นใจว่า เราจะสามารถผ่านช่วงเวลาฝันร้ายนี้ไปด้วยกัน เราจะเดินหน้าต่อไปไม่ยอมสะดุด หรือหยุดรออีกต่อไป เพราะประเทศไทยเรานั้นเสียเวลา เสียโอกาสมากแล้ว ต้องขอขอบคุณสื่อมวลชนทุกแขนงในการทำหน้าที่คนไทยรักชาติไม่ยอมให้ใครทำลาย ทำร้ายแผ่นดินเกิดของเรา ร่วมกันต่อสู้กับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ด้วยการแสดงความเข้มแข็งด้วยพลังสามัคคีช่วยประชาสัมพันธ์แคมเปญ สตรองเกอร์ ทูเกตเตอร์ การส่งต่อสัญลักษณ์ดังกล่าวนั้น ถือเป็นการแสดงออกถึงความเป็นน้ำหนึ่งในเดียวกัน และเป็นการหยิบยื่นน้ำใจ เป็นการเติมกำลังใจให้ซึ่งกันและกันนะครับ
       
       สำหรับนโยบายที่รัฐบาลนี้ และ คสช. ได้ให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ คือ ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ ในเรื่องการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งมีผลดำเนินงานมาจนปัจจุบัน เป็นที่น่าพึงพอใจระยะแรก จากผลการสำรวจดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชันไทย ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เมื่อเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม ปีที่แล้ว สะท้อนให้เห็นว่าการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นในประเทศมีทิศทางปรับตัวดีขึ้น และดีที่สุดในรอบ 6 ปี สามารถช่วยให้รัฐบาลป้องกันสูญเสียเงินไปกับการคอร์รัปชันได้เกือบ 2 แสนล้านบาท เม็ดเงินงบประมาณโครงการต่าง ๆ ถึงมือประชาชนโดยตรง ไม่ผ่านขบวนการคอร์รัปชัน สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย มีประสิทธิภาพสูงสุด และคุ้มค่ามากที่สุด แต่ทั้งนี้ ก็มีการพูดให้ร้ายข้าราชการ รัฐมนตรี รัฐบาลในสิ่งที่ไม่อาจใช่ข้อเท็จจริง เพราะรัฐบาลนี้ไม่เปิดโอกาสให้มีการสำรองเกิดขึ้น ไม่มีการช่วยเหลือเป็นพิเศษใดๆ ทุกโครงการหากยังมีเล็ดรอดได้อยู่นั้น ขอให้แจ้งเบาะแสเพื่อตรวจสอบทันที
       
       ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ปล่อยปละละเลยกับปัญหานี้มานาน ประชาชนเคยชินกับการทุจริตคอร์รัปชัน ไม่มีความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมาย ไม่มีการปรับปรุงกฎระเบียบให้รัดกุม ไม่มีกลไกในการกำกับดูแลกิจการ การตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ ปล่อยให้มีการให้สินบน สินน้ำใจของกำนัน รางวัลต่างๆ แก่เจ้าหน้าที่รัฐ หรือการจ่ายเงินให้ได้ผลประโยชน์ภายหลัง สิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นมานานแล้ว เป็นปัญหาที่ทำลายชาติ ทำร้ายประชาชน ทำให้ประเทศไม่สามารถพัฒนาได้เท่าที่ควร ผลการสำรวจนี้ก็ถือเป็นกำลังใจสำคัญในการทำงาน และเป็นข้อมูลให้แก่รัฐบาลในการดำเนินนโยบายที่ชัดเจน ในการที่จะต่อต้านการคอร์รัปชันในทุกระดับ ให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
       
       รัฐบาลยืนยันว่า จะเดินหน้าต่อต้านการคอร์รัปชันต่อไป เพื่อกำจัดสนิมเนื้อในที่กัดกินประเทศ ในช่วงนับสิบปีที่ผ่านมาให้ได้ โดยหวังว่าพี่น้องประชาชนคนไทยจะให้กำลังใจ และร่วมแรงร่วมใจกันกำจัดการคอร์รัปชันให้หมดสิ้นไปจากสังคมไทยของเรา นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการวางรากฐานเศรษฐกิจที่ยั่งยืน โดยจะไม่แก้ปัญหาในลักษณะที่ไม่สร้างควาเมข้มแข็งให้กับประชาชนและภาคธุรกิจ ทิ้งมรดกหนี้ไว้ให้กับภาระลูกหลานต่อไป
       
       สำหรับความคืบหน้าในการลงทุนให้อนาคต ที่สำคัญ ได้แก่ โครงการเกี่ยวกับเรื่องของการจัดทำโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมทางรถไฟ อาทิ โครงการรถไฟความเร็วปานกลางไทย - จีน 160 - 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระยะทาง 873 กิโลเมตร แบ่งการก่อสร้างเป็น 4 ช่วง คือ กรุงเทพฯ - แก่งคอย 133 กิโลเมตร แก่งคอย - มาบตาพุด 246.5 กิโลเมตร แก่งคอย - นครราชสีมา 138.5 กิโลเมตร และนครราชสีมา -หนองคาย 355 กิโลเมตร จะให้เวลาในการก่อสร้างประมาณ 3 ปีครึ่ง และจะเริ่มก่อสร้างช่วงที่ 1 กรุงเทพฯ - แก่งคอย และช่วงที่ 3 แก่งคอย - นครราชสีมา ก่อน ภายในเดือนธันวาคม 2558 นี้
       
       ด้านการลงทุน เป็นการร่วมลงทุนของรัฐบาลทั้ง 2 ฝ่าย ด้วยการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในลักษณะ Special Purpose Vehicle หรือ SPV ฝ่ายไทยถือหุ้นร้อยละ 60 ฝ่ายจีนถือหุ้นร้อยละ 40 ทั้งนี้ มีการประมาณการว่า จะมีการตอบแทนในอัตราทางเศรษฐกิจในภาพรวมไม่น้อยกว่าร้อยละ 14.99
       
       สำหรับด้านงานก่อสร้าง จะใช้สัญญาก่อสร้างแบบ Engineering Procurement Construction หรือ EPC ฝ่ายจีนรับผิดชอบด้านการสำรวจ ออกแบบก่อสร้าง ฝ่ายไทยจะเป็นผู้ดำเนินการตรวจสอบแบบ ราคาก่อสร้าง และความเหมาะสมของราคา ก่อนจะมีการลงนามในสัญญางานก่อสร้างทั้งหมด
       
       ต่อไปก็คือด้านการลงทุนและงานโยธา ฝ่ายไทยจะเป็นผู้จัดหาแหล่งเงินทุนเอง ดำเนินการคัดเลือกผู้รับจ้างไทยก่อสร้างเองในงานชั้นฐาน ที่เป็นทางราบ อาคาร ส่วนงานเจาะอุโมงค์ งานก่อสร้างชั้นฐานทางไหล่เขา ฝ่ายจีนจะเป็นผู้ดำเนินการ งานระบบอาณัติสัญญาณ งานจัดหาและติดตั้งตัวรถ ตลอดจนอุปกรณ์เดินรถ และซ่อมบำรุง
       
       สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงมีจำนวน 3 เส้นทาง คือ กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ 672 กิโลเมตร ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างไทย - ญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการศึกษา มีแผนการดำเนินการวางไว้แล้ว ทั้งนี้ อยู่ระหว่างการร่วมสำรวจและออกแบบ
       
       สำหรับอีก 2 เส้นทาง คือ กรุงเทพฯ - ระยอง 193.5 กิโลเมตร และกรุงเทพฯ - หัวหิน 211 กิโลเมตร มีความคืบหน้า ดังนี้ ด้านการลงทุน จะเปิดโอกาสให้เอกชนเข้าร่วมลงทุน โดยการรถไฟฯ อยู่ระหว่างเตรียมนำเสนอรายงานผลการศึกษา เสนอต่อกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาของ ครม. เพื่ออนุมัติโครงการ ก่อนเปิดให้ภาคเอกชนที่สนใจยื่นข้อเสนอต่อไป ด้านการใช้ประโยชน์ที่จะได้รับ คาดว่าระยะแรกจะทำให้มีผู้โดยสารเปลี่ยนมาเดินทางในระบบรถไฟเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ สามารถเพิ่มสัดส่วนการขนส่งสินค้าทางรางได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 และอาจจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งนอกจากจะเป็นการส่งเสริมการค้า และการลงทุนระหว่างประเทศแล้ว ที่เรามีโครงการจัดทำโครงข่ายเส้นทางไทย - ลาว - จีน ยังเป็นการสร้างความมั่นคง และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจระหว่างกันอย่างยั่งยืนด้วย เป็นการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน สามารถลดต้นทุนการขนส่งสินค้าของผู้ประกอบการ และช่วยในการกระจายความเจริญจากกรุงเทพฯ ไปสู่ภูมิภาคอีกด้วย โดยทั้งหมดนี้ผู้นำของแต่ละประเทศ ผมได้ปรึกษาหารือกันแล้ว จัดทำแผนเรียบร้อยแล้ว ที่จะเชื่อมโยงกันอย่างไรในทั้งถนน และทางรางนะครับ ทุกประเทศได้มีการหารือร่วมกันจัดทำแผน สรุปมาได้ชัดเจน มีแผนการดำเนินการที่เห็นชอบทุกอย่างนะครับ อยู่ที่ว่ามันจะดำเนินการได้อย่างไร หาทุนก่อสร้างได้ที่ไหน และจะร่วมมือกันอย่างไร วิธีการต่างๆ มันมีรายละเอียดทั้งหมดนะครับ ไม่ใช่ว่านึกจะสร้างก็สร้าง สร้างง่าย ๆ และก็เป็นภาระมาก ๆ ความคุ้มทุน ความคุ้มค่ามันไม่เท่าที่ควร เหล่านี้มันต้องพิจารณานะครับ
       
       เพราะฉะนั้นหลายคนก็ใจร้อน บอกว่าประกาศมาปีเกือบจะ 2 ปีกว่าแล้ว ไม่เห็นสร้างสักที ก็ปัญหาที่นี่เจรจามา 6 ครั้งแล้ว และต่อไปต้องมาดูในเรื่องของการทำอีไอเอ ประชาพิจารณ์ ประชาชนที่บุกรุกเส้นทาง เดิมอยู่แล้วทำอย่างไร ก็สร้างในแนวทางเดิมเกือบทั้งหมด มีบางเส้นที่สร้างใหม่เท่านั้น ปรากฏว่าในเส้นทางรถไฟเดิมก็มีประชาชนที่ยังบุกรุกอยู่ และเขาก็เดือดร้อน เขาไม่ยอมให้เราสร้าง นี่แหละครับต้องช่วยกัน ไม่อย่างนั้นมันเกิดอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น เดี๋ยวรัฐบาลจะดูแลให้หาที่อยู่ที่อาศัยให้ และหาประโยชน์ที่จะได้รับในการที่จะค้าขายอะไรต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ที่เขาเคยอยู่มาก่อน ทั้ง ๆ ที่ผิดกฎหมาย ผมย้ำตรงนี้เอาไว้หน่อย
       
       สำหรับในเรื่องของการนโยบายที่จะสร้างความเข้มแข็งให้ธุรกิจเอสเอ็ มอี พูดมาเยอะแล้ว รัฐบาลนี้ทำทุกอย่างเลยนะครับ ทั้งกฎหมาย ทั้งการจัดกลุ่มเอสเอ็มอี ทั้งการจัดหากองทุน ทั้งการให้ความรู้ Matching ต่าง ๆ ทั้งหมด และเริ่มให้มีตลาดกลางของประชาชนในท้องถิ่นตามโมเดลของตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทำเนียบรัฐบาลนะครับ ปัจจุบันได้รับการเรียกร้อง ผมให้ขยายผลไปสู่การจัดตลาดสี่มุมเมืองที่ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ที่ตรงกรมโยธาฯ นั่นแหละ จุดที่สอง ก็ อ.ต.ก. สุวรรณภูมิ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร จุดที่สาม คือ คลองหลวง สำนักงานสหกรณ์ จ.ปทุมธานี และถนนอุทยานฯ เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร ก็เป็นการเปิดโอกาสให้เกษตรกร และกลุ่มเกษตรกร ได้มีพื้นที่จัดแสดงและจำหน่ายสินค้า นำสินค้าดีมีคุณภาพให้เป็นที่รู้จัก และจำหน่ายถึงมือผู้บริโภคโดยตรงในราคายุติธรรม รวมทั้งส่งเสริมการขายของกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลาง ขนาดย่อม เป็นเวทีแลกเปลี่ยนพบปะระหว่างผู้ผลิต ผู้จำหน่าย ผู้บริโภค แหล่งเงินทุน โดยมุ่งหวังให้กิจกรรมดังกล่าวเป็นความสุขในการจับจ่ายสินค้าปลอดภัยผู้ บริโภค โดยนำร่องด้วยตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ปากเกร็ด ระหว่างวันที่ 18 สิงหาคม ถึง 16 กันยายน 2558 ช่วงเวลา 10 โมงเช้า ภายในงาน นอกจากจะมีการจำหน่ายสินค้าปศุสัตว์ สินค้าทั่วไป ยังมีการจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าโครงการหลวง โครงการพระราชดำริ โครงการศิลปาชีพด้วย และสำหรับตลาดคลองผดุงกรุงเกษม อ.ต.ก. สุวรรณภูมิ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร มีกำหนดจัดขึ้นเดือนหน้า ระหว่างวันที่ 4 - 20 กันยายน 2558
       
       อย่างไรก็ตาม อาจมีการกล่าวถึงในสื่อว่ารัฐบาลไม่จริงใจในการช่วยเหลือเอสเอ็มอี ซึ่งไม่เป็นธรรมกับเรามากนัก เพราะเราทำกันเยอะแยะ เพียงแต่เวลามันรวดเร็วมากไม่ได้ หลายท่าน ผมอยากถามเอสเอ็มอี ที่บ่นว่ารัฐบาลไม่ดูแลนั้น เขาชี้แจงหรือเปล่าว่าท่านอยู่ในหลักเกณฑ์หรือไม่อย่างไร อย่าไปบ่นข้างนอก และไม่มาหาเรา บางครั้ง ผมตรวจสอบหลายครั้ง ยืนยันว่า หลายเอสเอ็มอีไม่เข้าเกณฑ์ ไม่มีความมั่นคง ไม่มีศักยภาพเพียงพอ เพราะฉะนั้นการให้ความช่วยเหลือไปจะสูญเปล่า หนี้สูญเยอะแยะ
       
       เพราะฉะนั้น ต้องร่วมมือกันนะครับว่าทำยังไง ต้องฟัง ถ้าเขาให้ปรับเปลี่ยนยังไง ถ้ากู้ได้ ต้องปรับเปลี่ยน ไม่งั้นทุกคนอยากทำอะไรก็ทำทั้งหมด ถ้าทำอย่างนั้นก็ขายได้แค่นั้น แล้วเงินทุนเราก็ให้ไม่ได้ มันต้องมีกติกา ไม่ใช่ว่าทุกคนต้องให้ได้ทั้งหมด ใครไม่ได้ก็โวยวาย เป็นซะแบบนี้ ทุกเรื่องเลย ประเทศไทย ใครได้ก็ไม่บ่น ใครไม่ได้ก็บ่น ร้องเรียน ร้องทุกข์ ทำให้มันวุ่นวายไปหมดทุกเรื่องเลย วันนี้เอสเอ็มอีเราได้จัดกลุ่มไว้ 3 - 4 กลุ่มด้วยกัน กลุ่มไหนให้ก่อน กลุ่มไหนให้หลัง ถ้าหากว่าเรารู้ตัวเอง โดยการประเมินของส่วนราชการ ก็ให้เขาประเมินมา แล้วท่านก็ปรับปรุงตัวของท่านเอง แล้ววันหน้าเขาก็ให้ท่านได้ เกิดความมั่นใจ เชื่อมั่นขึ้นมา ถ้าหากว่าเราให้ทุกพวกทุกกลุ่ม ทั้งมีศักยภาพ ไม่มีศักยภาพ แล้วรัฐจะเอาเงินจากที่ไหน มันตั้งมากมาย 2 ล้านแห่ง 2,600,000 แห่ง ตัวเลขกลม ๆ นะ
       
       สำหรับนโยบายสร้างความเข้มแข็งภาคครัวเรือน และวินัยการออมนั้น รัฐบาลได้จัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติ กอช. ที่ได้เปิดตัว เปิดรับสมัครไปแล้วเมื่อวานนี้ วันที่ 20 สิงหาคม มีผู้ให้ความสนใจจำนวนมาก โดยมีสมาชิกคนหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า รอการจัดตั้งของตัวเองขึ้นมา 10 ปีแล้ว ดีใจที่รัฐบาลนี้ทำได้สำเร็จ มันก็เป็นสิ่งที่พวกเราภาคภูมิใจ และดีใจ เราก็พยายามจะทำให้ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ ต้องใช้เวลานานพอสมควร เพราะต้องรอกฎหมายลูกด้วย พ.ร.บ. มีมานานแล้ว
       
       ฉะนั้น กองทุนนี้เป็นกองทุนการออมเพื่อผลระยะยาวสำหรับภาคประชาชน และช่วยเหลือประชาชนที่มีอาชีพอิสระ ไม่อยู่ในระบบบำเหน็จบำนาญ ได้สร้างหลักประกันหลังเกษียณของตัวเอง โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 25 ล้านคนทั่วประเทศ ทั้งนี้ จุดเด่นของ กอช. ก็คือ เป็นการออมโดยความสมัครใจ มีความยืดหยุ่นในการออม สมาชิกได้รับคืนเงินทุกบาททุกสตางค์ หากเสียชีวิตก่อนเงินในบัญชีจะหมด เงินสะสมและเงินสมทบทั้งหมดจะโอนให้ทายาท และรัฐบาลรับประกันผลตอบแทน ไม่ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำประเภท 12 เดือน และได้รับบำนาญตลอดชีวิต แม้ว่าเงินสนับสนุนจะหมด เงื่อนไขการสมัครติดต่อได้ที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารกรุงไทย และธนาคารออมสิน ทุกสาขา ใช้บัตรประชาชนเพียงใบเดียว รัฐบาลก็มีภาระอยู่แล้วในการที่จะจ่ายสมทบให้ตามสัดส่วนของอายุผู้สมัคร ซึ่งก็เป็นเงินที่มากพอสมควร ไม่เป็นไร รัฐบาลก็ต้องพยายามทำเศรษฐกิจให้ดีขึ้น เพื่อจะได้มีเงินมาดูแลพ่อแม่พี่น้อง สมทบไปด้วย ถ้าทุกคนร่วมกัน มีจิตสำนึกการมีส่วนร่วมแบบนี้ ทุกอย่างมันไปได้ดีหมด ในเรื่องกิจการอื่นด้วยก็ตาม และเรื่องของกองทุนนี้ เราก็สามารถนำไปประกอบการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และกลับมาเป็นเงินหมุนเวียนสมทบไปเรื่อยๆ จะได้ลดภาระงบประมาณของรัฐบ้าง
       
       การที่ประเทศไทยของเราจะพัฒนาต่อไปได้นั้น ส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับขีดความสามารถในระบบวิจัยและพัฒนาของประเทศ ผมก็อยากเห็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ กับภาคเอกชน มีเพิ่มมากขึ้น โดยพิจารณาจุดแข็งและจุดอ่อนของแต่ละภาคส่วน นำมาบูรณาการร่วมกันเพื่อการวิจัยและพัฒนา หานวัตกรรมใหม่ๆ ต่อยอดสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ทันสมัย เพิ่มประสิทธิภาพ ให้นำไปสู่การผลิตและใช้ได้ทั้งในและต่างประเทศ
       
       ผมเองนั้นเชื่อว่าประเทศไทยมีขีดความสามารถ มีบุคลากร มีทรัพยากรที่เพียงพอที่จะกระตุ้นให้การวิจัยและพัฒนาของประเทศได้เกิดขึ้น ในทุกด้าน โดยรัฐบาลนี้ยินดีที่จะสนับสนุนอย่างเต็มที่ หลายรูปแบบด้วยกัน มีการปรับกฎระเบียบ ให้หน่วยงานสามารถจัดหาของที่ผลิตในประเทศนี้ได้เอง กำหนดมาตรฐานให้ชัดเจน มีประมาณเกือบ 100 อย่างแล้วในขณะนี้ ที่สามารถผลิตจำหน่ายได้ ก็ขอให้นำมาใช้ ช่วยกันก็แล้วกัน
       
       สัปดาห์นี้ผมมีเรื่องเรียนชี้แจงกับพี่น้องประชาชนเพียงเท่านี้ ขอให้ทุกคนมีสติ ทำหน้าที่ของตน ร่วมแรงร่วมใจ สามัคคีกัน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศไทยของเรา ขอบคุณครับ สวัสดีครับ 


ขอบคุณทีมงาน manager