PPD's Official Website

Wednesday, September 16, 2015

เรื่อง กรมบัญชีกลางขาดความชอบธรรมในการบริหารจัดการ งบประมาณดูแลค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยสิทธิ์สวัสดิการข้าราชการ

ถึงอาจารย์แพทย์ แพทย์ และเจ้าหน้าที่ทุกสาขาวิชาชีพในโรงพยาบาลของรัฐทุกแห่ง

ถึงบริษัทยาทุกแห่งที่เสียประโยชน์อย่างร้ายแรงจากการใช้อำนาจของกรมบัญชีกลาง

เรื่อง กรมบัญชีกลางขาดความชอบธรรมในการบริหารจัดการ งบประมาณดูแลค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยสิทธิ์สวัสดิการข้าราชการ

สืบเนื่องจาก 3 ปีที่ผ่านมานี้ นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 เป็นต้นมา
กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ได้ใช้อำนาจของกฏหมาย จากพระราชบัญญัติ ปี พ.ศ. 2553 ที่สามารถบริหารงบประมาณแผ่นดินในเรื่องการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลของผู้ใช้สิทธิ์ข้าราชการได้เองนั้น

ในฐานะเลขานุการสมาคมพิทักษ์สิทธิ์ข้าราชการ ได้เห็นจุดบกพร่องมากมาย จากการใช้อำนาจดังกล่าวของกรมบัญชีกลางที่ขาดธรรมาภิบาลอย่างร้ายแรง

กรมบัญชีกลางไม่เคยแสดงออกที่จะอยู่เคียงข้างผู้ใช้สิทธิ์สวัสดิการข้าราชการกว่า 5 ล้านคน
ผิดจากกองทุนต่างๆ ที่ได้รับสิทธิ์ประโยชน์ต่างๆ มากขึ้นทุกๆ ปี
เช่น ผู้ใช้สิทธิ์ประกันสังคม สามารถเบิกใช้เวชภัณฑ์และอวัยวะเทียมหลายรายการที่ดีกว่า ด้วยค่าเบิกจ่ายที่มากกว่า
หรือผู้ใช้สิทธิ์กองทุนอื่นๆ ไม่เสียค่าเข็ม ค่าสายสวนส่วนเกินต่างๆ ได้รับสิทธิ์รักษาฟรีทุกกรณี รวมถึงสามารถใช้รถพยาบาลได้ฟรี เพื่อไปรักษาในโรงพยาบาลตามสิทธิ์
ในขณะที่สิทธิ์สวัสดิการข้าราชการถดถอยลงทุกวัน โดยได้รับยาชนิดเดียวกันกับผู้ป่วยสิทธิ์กองทุนอื่น และต้องจำยอมจ่ายค่าส่วนเกินต่างๆ ทั้งๆ ที่ผู้ใช้สิทธิ์กองทุนอื่นไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มในรายการเดียวกัน

กรมบัญชีกลางไม่มีความจริงใจในการทำงานดูแลเรื่องการร้องขอเพิ่มงบประมาณให้ผู้ใช้สิทธิ์สวัสดิการข้าราชการ เนื่องจากตัวเลข 60,000 ล้านบาทนี้ถูกแช่แข็งมานานถึง 9 ปี
ซึ่งสวนทางกับสังคมผู้สูงอายุในปัจจุบัน

กรมบัญชีกลางมีบุคลากรที่ขาดความรู้รอบด้านและไร้ซึ่งคุณธรรมทำงานเป็นผู้ชี้เป็นชี้ตายในการเรียกคืนเงินจากแพทย์ผู้ให้การรักษาคนไข้และโรงพยาบาลของรัฐ
แพทย์ผู้นี้แม้แต่ครูบาอาจารย์ที่สอนมาก็ไม่รับไว้เป็นอาจารย์แพทย์ เนื่องจากมีนิสัยไม่เหมาะสม
ดูแลคนไข้อย่างไร้จิตสำนึกของการเป็นหมอ (เช่น ผู้ป่วยลืมเอกสารมา ก็บอกให้ครั้งหน้าเอาใส่โลงมาด้วย)
ไม่ให้เกียรติหมอซึ่งกันและกัน เช่น ถ่ายภาพเวชระเบียนการให้การรักษาของแพทย์นำไปโพทนาให้แพทย์ที่อื่นดู โดยไม่ได้ปิดบังชื่อผู้ป่วยและแพทย์ผู้ให้การรักษา
ตัดสินการให้การรักษาของแพทย์ผู้อื่น ซึ่งไม่ตรงกับองค์ความรู้ในปัจจุบันที่ตนเองมี โดยอ้างว่าไม่มีความเหมาะสมและเรียกเงินคืนย้อนหลังจากแพทย์และโรงพยาบาลรัฐ
ทำให้ 3 ปีที่ผ่านมา โรงพยาบาลรัฐ รวมถึงโรงเรียนแพทย์เกรงกลัวแพทย์ท่านนี้ในกรมบัญชีกลางมาก
เพราะต้องสูญเสียเงินเพื่อคืนงบบัญชีกลางหลายสิบล้านบาท
ส่งผลให้แพทย์ผู้ให้การรักษาผู้ป่วยขาดอิสระในการตัดสินใจเพื่อให้การรักษา
เนื่องจากการให้การรักษาผู้ป่วยในหลายๆ โรค มีวิวัฒนาการปรับเปลี่ยนทุก 1-2 ปี 
ทำให้แนวทางการรักษาอิงตามงานวิจัยจากต่างประเทศเป็นหลัก
การกระทำโดยการแทรกแซงต่อการให้การรักษาของกรมบัญชีกลาง ทำให้คนไข้สูญเสียโอกาสที่ควรได้รับ
นอกจากนี้ แพทย์จากกรมบัญชีกลางท่านนี้ทำงานไร้ความเที่ยงตรง..
หมอคนไหนดีด้วยหรือมีผลประโยชน์ร่วมกัน จะไม่ตำหนิและปล่อยให้ใช้ยาราคาแพงโดยไม่ตรวจสอบ
หากไม่ถูกใจหมอคนไหนหรือโรงพยาบาล จะใช้อำนาจหน้าที่ของตนเองผ่านกรมบัญชีกลางตรวจสอบและเรียกเงินคืนหลายแสนบาท
ยังไม่หมด...แพทย์ท่านนี้ถือว่าเป็นแพทย์ชั้นเลว 2% จากงานวิจัย
ซึ่งตนเองมีหน้าที่ชี้เป็นชี้ตายว่าคนไข้จะใช้ยาอะไรได้
ทำให้บริษัทยาต่างๆ ต้องลดตัวลดเกียรติดูแลและบริการต้องเสียงบประมาณให้ เช่น ผู้แทนยาต้องจัดหารถตู้รับส่งให้ บริษัทยาต้องออกค่าสัมมนาค่าที่พักค่าเครื่องบินเดินทางให้ทั้งในและต่างประเทศ
นี่คือสันดานแพทย์ที่เลวร้ายอย่างที่ NGO เคยอ้างไว้ ซึ่งพบได้ที่กรมบัญชีกลาง
แพทย์ท่านนี้อยากเป็นอาจารย์แพทย์แต่ไม่มีที่ไหนเอา จึงใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตนในกรมบัญชีกลาง ขอมาทำงานที่โรงเรียนแพทย์แห่งหนึ่ง โดยรับเงินเดือนแต่ทำงานให้น้อยมาก
(กรมบัญชีกลางไม่ควรมีบุคลากรแบบนี้ทำงานให้เลย)

กรมบัญชีกลางบริหารงบประมาณได้ไม่ตรงจุด เนื่องจากไม่มีความรู้เรื่องการรักษาพยาบาล
ซึ่งเมื่อปีที่ผ่านมา ได้ตัดลดงบประมาณค่ายา ไปเพิ่มเป็นค่าบริการอื่นๆ เช่น ค่าห้องค่าอาหารผู้ป่วยพิเศษ ค่ารถเข็นค่าไม้เท้าค่าเฝือก ค่าตรวจรังสีเอ็กซ์เรย์
ซึ่งในปีนี้งบประมาณก็ยังไม่พอเพียง
ทั้งๆ ที่สิ่งที่เพิ่มเติมนั้นสามารถใช้เงินรับจากแหล่งกองทุนอื่นได้
แต่กรมบัญชีกลางไม่ทำให้ และกรมบัญชีกลางก็รู้อยู่แล้วว่างบส่วนไหนขาดแต่ไม่ขอจากภาครัฐเพิ่ม

จากเหตุผลข้างต้นแสดงให้เห็นว่า
กรมบัญชีกลางขาดความชอบธรรมในการดูแลงบประมาณในส่วนนี้แทนผู้ใช้สิทธิ์สวัสดิการข้าราชการลงแล้ว

บัดนี้ในฐานะเลขาฯ สมาคมพิทักษ์สิทธิ์สิทธิ์ข้าราชการ ขอทวงคืนความชอบธรรมแห่งสิทธิ์นั้น เพื่อพิจารณาให้หน่วยงานอื่นดูแลงบประมาณของข้าราชการแทน เหมือนกับกองทุนอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่การให้ สปสช ดูแลแทน เพราะ สปสช กำลังเกิดวิกฤติศรัทธาอยู่
โดยหน่วยงานที่เหมาะสมคือ กระทรวงสาธารณสุขเอง
เพราะมีผู้มีความรู้หลากหลายด้านที่จะช่วยให้คนไข้สิทธิ์สวัสดิการข้าราชการได้รับประโยชน์สูงสุด

จึงขออนุญาตเป็นตัวแทนในการรวบรวมรายชื่อผู้ใช้สิทธิ์สวัสดิการข้าราชการทุกท่าน มา ณ โอกาสนี้

และขอรวบรวมข้อมูลกรณีที่กรมบัญชีกลางทำเกินกว่าเหตุ ทำให้คนไข้เสียโอกาสในการรักษาและเข้าถึง ทั้งจากคนไข้ ญาติคนไข้และแพทย์ที่ให้การรักษา เพื่อใช้ฟ้องร้องต่อศาลปกครอง โดยให้อธิบดีกรมบัญชีกลางเป็นจำเลยรับผิดชอบ
รวมถึงบริษัทยาที่ถูกทำให้เสื่อมเกียรติในอาชีพตน ใคร่ขอเอกสารการสนับสนุนให้แพทย์ในกรมบัญชีกลางได้รับผลประโยชน์ที่ไม่พึงได้รับ

ส่งข้อมูลและติดต่อกับผมโดยตรงที่
ID line : oahemato

ด้วยความนับถือ

ร.อ.นายแพทย์ บรรพต หัวใจ
เลขาฯ สมาคมพิทักษ์สิทธิ์ข้าราชการ

#แชร์ได้ทั้งในไลน์และสื่อออนไลน์ทุกชนิด
#ข้าราชการไทยต้องช่วยกันอย่าปล่อยให้ใครเอาเปรียบ

ประวิตร โรจนพฤกษ์ ผู้สื่อข่าวอาวุโสเครือเดอะเนชั่น ให้สัมภาษณ์บีบีซีไทย หลังประกาศลาออกจากต้นสังกัด

https://www.facebook.com/BBCThai/videos/1697237183830648/

ประวิตร โรจนพฤกษ์ ผู้สื่อข่าวอาวุโสเครือเดอะเนชั่น ให้สัมภาษณ์บีบีซีไทย หลังประกาศลาออกจากต้นสังกัด เขาให้เหตุผลว่าต้องการลดแรงกดดันจากทั้งภายในและภายนอกที่มีต่อผู้บริหาร จึงตัดสินใจลาออกหลังจากทำงานที่เดอะเนชั่นมานาน 23 ปี

ประวิตร บอกด้วยว่าไม่ได้มีปัญหาในการทำงานกับ นสพ.เดอะเนชั่น เพราะทำงานกันอย่างมีอารยะ เชื่อว่าความเข้มแข็งของสังคมอยู่ที่ความหลากหลายทางความคิด เคารพความคิดซึ่งกันและกัน ไม่มีปัญหาว่าใครจะ "สี" อะไร ตราบใดที่ทำงานกันอย่างมืออาชีพ

เขาบอกด้วยว่า อยากเห็นสื่อต่าง ๆ มีพื้นที่สำหรับผู้มีความเห็นต่างในองค์กร ซึ่งจะเอื้อให้ประชาชนได้เรียนรู้ในสิ่งนี้ ประวิตร ยืนยันว่าหลังจากนี้จุดยืนที่มีต่อประชาธิปไตยและเสรีภาพสื่อของเขาจะยังไม่ เปลี่ยนแปลงแต่อาจต้องหาสถานที่อื่นแสดงบทบาทต่อไป

เขาบอกด้วยว่าสิทธิเสรีภาพในการทำงานในช่วงที่ผ่านมาถูกจำกัด แต่เขาคิดว่าสื่อควรมีหน้าที่ตอกย้ำให้คนเข้าใจว่าไม่ได้อยู่ภายใต้ สถานการณ์ที่ปกติ เพราะหากยอมรับว่าระบอบอำนาจนิยมเป็นสิ่งปกติ ต่อไปรัฐประหารก็คงเกิดขึ้นอีก ซึ่งจุดนี้เขาได้แลกเปลี่ยนกับเจ้าหน้าที่ทหารทั้งระดับกลางและระดับสูง ของกองทัพที่เรียกเขาไปปรับทัศนคติด้วย

ทางออกประเทศไทย และสิ่งที่ต้องรู้ โดย อ.ชูพงศ์ ถี่ถ้วน 16 กันยายน 2558




ทางออกประเทศไทย และสิ่งที่ต้องรู้ โดย อ.ชูพงศ์ ถี่ถ้วน 16 กันยายน  2558

 ดาวน์โหลดเพื่อการเผยแพร
 http://www.mediafire.com/listen/vb1wbgmt3nid2o8/Chupongusa-2015-9-16.mp3 ตอน ทางออกประเทศไทยและความจริงที่ต้องรู้

ทางออกประเทศไทย และสิ่งที่ต้องรู้ โดย อ.ชูพงศ์ ถี่ถ้วน 16 กันยายน 2558




ทางออกประเทศไทย และสิ่งที่ต้องรู้ โดย อ.ชูพงศ์ ถี่ถ้วน 16 กันยายน  2558

 ดาวน์โหลดเพื่อการเผยแพร
 http://www.mediafire.com/listen/vb1wbgmt3nid2o8/Chupongusa-2015-9-16.mp3 ตอน ทางออกประเทศไทยและความจริงที่ต้องรู้

ทุ่งช้าง น่าน เมื่อร้อยปีที่แล้ว

Tuesday, September 15, 2015

หนุ่มใต้ใจเด็ด... แค้นคสช. ทำทุกข์ยาก..บุกด่า (ยาว)

ดูให้จบคลิปนี้มันส์มาก หนุ่มชาวใต้คับแค้นเรื่องยางพาราถือป้ายผ้าบุกด่ารัฐบาลประยุทธ์ถึงกระทรวงเกษตร แต่โดนทหาร เจ้าหน้าที่สะกัดไว้ แต่ก็เอาหนุ่มใต้เลือดร้อนไว้ไม่อยู่ ด่ากราดประยุทธ์คลิปยาวมาก ดูแล้วอย่าซ้ำเติมคนใต้ทุกข์ยาก พวกเขาลำบากและเดือดร้อนจริงๆ ต้องขอบคุณไอ้สุเทพ-อีศรีสุกล ไอ้ชวน ไอ้ถาวร อีตั้น อีคุณหญิงอัปรีย์แม่อีตั๊น ไอ้มาร์ค ไอ้ถวิลไอ้ชำนิ ไอ้วัชระ ไอ้นิพิษฐ์ อีคุณหญิงสุพัตรา และพรรคปชป. ที่ทำให้คนใต้มีวันนี้นิ https://www.facebook.com/bygonreturn/videos/1772775616283193/

ใครเป็นใครบนเวทีแถลงของ "มาราฯ" แย้มอนาคตปาตานีขึ้นกับคนพื้นที่เอง

ใครเป็นใครบนเวทีแถลงของ "มาราฯ" แย้มอนาคตปาตานีขึ้นกับคนพื้นที่เอง
Credit: ทีมข่าวอิศรา

เขียนวันที่ วันพฤหัสบดี ที่ 27 สิงหาคม 2558 เวลา 19:08 น.เขียนโดยทีมข่าวอิศราหมวดหมู่เวทีวิชาการ | เรื่องเด่น - สำนักข่าวอิศรา | เรื่องเด่น-ภาคใต้    การแถลงข่าวของผู้แทน "มารา ปาตานี" ที่โรงแรม Primeraในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ต่อหน้าสื่อมวลชนทั้งไทย มาเลเซีย และต่างประเทศจำนวนมาก เพิ่งเสร็จสิ้นลงเมื่อช่วงเย็นของวันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม 2558 โดยใช้เวลา 1 ชั่วโมงกับ 5 นาที 

mara0033

          สาระของการแถลงซึ่งนำโดย นายอาวัง ยาบะ จากกลุ่มบีอาร์เอ็น ในฐานะประธานมารา ปาตานี ย้ำว่า กลุ่ม มารา ปาตานี เป็นเพียงตัวแทนของชาวปาตานีเท่านั้น ทุกอย่างที่จะนำไปสู่การพูดคุยกับรัฐบาลไทยอยู่ที่ชาวปาตานี หรือประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่าต้องการเอกราช หรือต้องการปกครองตนเอง หรือต้องการอยู่แบบปัจจุบันต่อไป

          ผู้ที่ร่วมแถลงบนเวทีมี 7 คน จาก 5 กลุ่มที่รวมกันเป็น "มารา ปาตานี" (ตามภาพจากขวาไปซ้าย) ได้แก่ 
          1.นายกัสตูรี มะห์โกตา แกนนำองค์การพูโล 
          2.นายเจ๊ะกูแม กูเต๊ะ จากกลุ่มจีเอ็มไอพี 
          3.นายหะยีมูฮัมหมัด ชูโว จากบีอาร์เอ็น
          4.นายอาวัง ยาบะ จากบีอาร์เอ็น ซึ่งเป็นประธาน มารา ปาตานี
          5.นายสุกรี ฮารี จากบีอาร์เอ็น เป็นประธานคณะพูดคุยฝ่ายมารา ปาตานี
          6.นายอาบูฮาฟีส อัลฮากิม จากกลุ่มบีไอพีพี 
          7.นายอาบูอัจฮัต จากจีเอ็มไอพี

          ทั้งนี้ นายเจ๊ะกูแม กูเต๊ะ และนายสุกรี ฮารี เคยเป็นบุคคลตามหมายจับคดีความมั่นคงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ขณะที่ นายอาวัง ยาบะ เป็นหนึ่งในผู้ที่ร่วมในพิธีลงนามริเริ่มกระบวนการพูดคุยสันติภาพในรัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2556 เช่นเดียวกับ นายสุกรี ฮารี หรือ มะสุกรี ฮารี ที่เคยเข้าร่วมกระบวนการพูดคุยสันติภาพดังกล่าวบางรอบ โดยการพูดคุยครั้งนั้นมี นายฮัสซัน ตอยิบ แกนนำบีอาร์เอ็น เป็นหัวหน้าคณะพูดคุยฝ่ายผู้เห็นต่าง ส่วนฝ่ายไทยมี พลโทภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นหัวหน้า

mara0011

เสนอตั้ง "ฝ่ายเลขาฯ" ถกประเด็นรายละเอียด

          ด้าน พลตรีนักรบ บุญบัวทอง รองผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 5 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หนึ่งในคณะพูดคุยสันติสุขฯ กล่าวกับ "ทีมข่าวอิศรา" ว่า การพูดคุยครั้งที่ 3 ระหว่างคณะพูดคุยฯที่มี พลเอกอักษรา เกิดผล ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพบก เป็นหัวหน้า กับกลุ่มมารา ปาตานี เมื่อวันอังคารที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา เป็นไปอย่างราบรื่น

         โดยคณะพูดคุยฯฝ่ายรัฐบาลได้เสนอประเด็นพูดคุย 3 ประเด็นตามที่เป็นข่าว คือ 1.การสร้างพื้นที่ปลอดภัย 2.การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ และ 3.กระบวนการยุติธรรมที่เป็นที่ยอมรับ ขณะที่ฝ่าย มารา ปาตานี เสนอให้รัฐบาลประกาศให้การพูดคุยเป็น "วาระแห่งชาติ" ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียดว่าต้องการให้ทำระดับไหน

          อย่างไรก็ดี พลตรีนักรบ ซึ่งมีประสบการณ์ร่วมโต๊ะพูดคุยมาตั้งแต่ครั้งรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ เมื่อปี 2556 บอกว่า การพูดคุยต่อจากนี้จะเป็นประเด็นใหญ่ๆ ที่ต้องพิจารณาในรายละเอียดมาก การพูดคุยคณะใหญ่อาจตกลงกันได้ยาก จึงมีแนวคิดให้ตั้ง "คณะทำงานร่วม" คล้ายๆ เป็นฝ่ายเลขานุการ ประกอบด้วย 3 ฝ่าย คือ ตัวแทนคณะพูดคุยฯฝ่ายรัฐบาลไทย ฝ่ายมารา ปาตานี และผู้อำนวยความสะดวกมาเลเซีย เพื่อพูดคุยในประเด็นรายละเอียดและจัดทำข้อมูลต่างๆ เสนอคณะพูดคุยฯชุดใหญ่

          "คณะเล็ก หรือฝ่ายเลขาฯ จะทำงานคล่องตัวกว่า นัดพบกันได้บ่อยครั้งกว่า และแต่ละครั้งคุยกันได้นานกว่า อาจจะ 2 วัน 3 วันก็ได้ ถ้าทุกฝ่ายเห็นตรงกันก็น่าจะตั้งคณะทำงานได้ในเร็ววันนี้" พลตรีนักรบ ระบุ

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

mara003

บรรยายภาพ : การแถลงข่าวของกลุ้่ม มารา ปาตานี ที่กัวลาลัมเปอร์