PPD's Official Website

Saturday, November 14, 2015

แนวร่วมปัตตานียันต้องการรัฐเอกราช | เดลินิวส์ 27 สิงหาคม 2558

แนวร่วมปัตตานียันต้องการรัฐเอกราช | เดลินิวส์



แนวร่วมปัตตานียันต้องการรัฐเอกราช คณะผู้แทนเจรจาของแนวร่วมสภาที่ปรึกษาปัตตานียัน เป้าหมายสุดท้ายของการต่อสู้คือ การแยก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยเป็นรัฐเอกราช พร้อมขู่ความรุนแรงจะมีมากขึ้นอีก จนกว่าสิทธิในการตัดสินใจตนเองของชาวมุสลิมในพื้นที่จะได้รับการรับประกัน วันพฤหัสที่ 27 สิงหาคม 2558 เวลา 22:41 น. สำนักข่าวเอพีรายงานจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ว่า ตัวแทนแนวร่วม 6 กลุ่มก่อความไม่สงบ ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ในนาม สภาที่ปรึกษาปัตตานี ที่เข้าร่วมการเจรจาสันติภาพอย่างไม่เป็นทางการ กับผู้แทนของรัฐบาลไทย เป็นเวลา 3 วัน ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ สิ้นสุดลงเมื่อวันพฤหัสบดี กล่าวย้ำความต้องการรัฐเอกราช และพร้อมจะเจรจาเพื่อหาทางแก้ไขปัญหา นายอาบู ฮาเฟซ อัล-ฮาคิม ตัวแทนของสภาฯ กล่าวในระหว่างการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ภายหลังเสร็จสิ้นการเจรจา ว่า พวกตนต้องการย้ำว่า พวกตนไม่ละทิ้งข้อเรียกร้อง ความต้องการเป็นรัฐเอกราช ซึ่งนั่นเป็นเป้าหมายสุดท้ายของการต่อสู้เพื่อปัตตานี แต่พวกตนพร้อมที่จะนั่งโต๊ะเจรจาเพื่อหาทางออก ที่จะทำให้ชาวมุสลิมมีสิทธิในการตัดสินใจอนาคตของตนเอง การแถลงข่าวครั้งนี้ไม่มีคณะผู้แทนเจรจาของรัฐบาลไทยเข้าร่วมการแถลงด้วย รัฐบาลไทยของอดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตกลงในปี 2556 ที่จะเปิดการเจรจาสันติภาพอย่างเป็นทางการ กับกลุ่มก่อความไม่สงบกลุ่มหนึ่ง แต่การเจรจาไม่เคยเกิดขึ้น หลังจากไทยเกิดการรัฐประหารโดยกองทัพ นายอัล-ฮาคิม กล่าวอีกว่า ท้ายที่สุดชาวปัตตานีจะเป็นผู้ตัดสินใจว่า ทางแก้ไขปัญหาคือรัฐเอกราช หรือเขตปกครองตนเองภายใต้รัฐบาลไทย ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 5,000 ศพ จากการก่อความไม่สงบนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 ส่วน นายอาหวัง จาบัต ประธานสภาที่ปรึกษาปัตตานี กล่าวว่า แนวร่วมสภาฯ ต้องการให้รัฐบาลไทยบรรจุการเจรจาสันติภาพเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อรับประกันความต่อเนื่อง หากรัฐบาลชุดใหม่ขึ้นมามีอำนาจ และว่า ระหว่างการเจรจา แนวร่วมได้ขอเอกสิทธิคุ้มครอง สำหรับคณะผู้เจรจา เพื่อรับประกันเสรีภาพในการเดินทางในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ของไทย ขณะที่รัฐบาลไทยได้หยิบยกประเด็นการก่อตั้งเขตปลอดภัย และการพัฒนาเศรษฐกิจ เป็นส่วนหนึ่งของหลายประเด็นที่นำเสนอในที่เจรจา นายจาบัต กล่าวอีกว่า แนวร่วมฯ ได้เชิญผู้มีส่วนร่วมทุกฝ่ายเข้าสู่กระบวนการ เพื่อรวมความพยายามเป็นหนึ่งเดียว สำหรับการตัดสินใจด้วยตนเอง พวกตนต้องการรับประกันว่า กฎหมายและกฎเกณฑ์ของอิสลามจะถูกบังคับใช้ และอัตลักษณ์ของชาวมุสลิมจะได้รับการปกป้อง ในแง่ของภาษาและอักษรยาวี นายจาบัตยังได้กล่าวเตือนว่า จะมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นอีก จนกว่าสิทธิในการตัดสินใจด้วยตนเองของชาวมุสลิมจะได้รับการรับประกัน ยังไม่มีการตัดสินใจ สำหรับกำหนดวันนัดเจรจารอบต่อไป."

อ่านต่อที่ : http://www.dailynews.co.th/foreign/344472

แนวร่วมปัตตานียันต้องการรัฐเอกราช | เดลินิวส์ 27 สิงหาคม 2558

แนวร่วมปัตตานียันต้องการรัฐเอกราช | เดลินิวส์



แนวร่วมปัตตานียันต้องการรัฐเอกราช คณะผู้แทนเจรจาของแนวร่วมสภาที่ปรึกษาปัตตานียัน เป้าหมายสุดท้ายของการต่อสู้คือ การแยก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยเป็นรัฐเอกราช พร้อมขู่ความรุนแรงจะมีมากขึ้นอีก จนกว่าสิทธิในการตัดสินใจตนเองของชาวมุสลิมในพื้นที่จะได้รับการรับประกัน วันพฤหัสที่ 27 สิงหาคม 2558 เวลา 22:41 น. สำนักข่าวเอพีรายงานจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ว่า ตัวแทนแนวร่วม 6 กลุ่มก่อความไม่สงบ ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ในนาม สภาที่ปรึกษาปัตตานี ที่เข้าร่วมการเจรจาสันติภาพอย่างไม่เป็นทางการ กับผู้แทนของรัฐบาลไทย เป็นเวลา 3 วัน ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ สิ้นสุดลงเมื่อวันพฤหัสบดี กล่าวย้ำความต้องการรัฐเอกราช และพร้อมจะเจรจาเพื่อหาทางแก้ไขปัญหา นายอาบู ฮาเฟซ อัล-ฮาคิม ตัวแทนของสภาฯ กล่าวในระหว่างการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ภายหลังเสร็จสิ้นการเจรจา ว่า พวกตนต้องการย้ำว่า พวกตนไม่ละทิ้งข้อเรียกร้อง ความต้องการเป็นรัฐเอกราช ซึ่งนั่นเป็นเป้าหมายสุดท้ายของการต่อสู้เพื่อปัตตานี แต่พวกตนพร้อมที่จะนั่งโต๊ะเจรจาเพื่อหาทางออก ที่จะทำให้ชาวมุสลิมมีสิทธิในการตัดสินใจอนาคตของตนเอง การแถลงข่าวครั้งนี้ไม่มีคณะผู้แทนเจรจาของรัฐบาลไทยเข้าร่วมการแถลงด้วย รัฐบาลไทยของอดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตกลงในปี 2556 ที่จะเปิดการเจรจาสันติภาพอย่างเป็นทางการ กับกลุ่มก่อความไม่สงบกลุ่มหนึ่ง แต่การเจรจาไม่เคยเกิดขึ้น หลังจากไทยเกิดการรัฐประหารโดยกองทัพ นายอัล-ฮาคิม กล่าวอีกว่า ท้ายที่สุดชาวปัตตานีจะเป็นผู้ตัดสินใจว่า ทางแก้ไขปัญหาคือรัฐเอกราช หรือเขตปกครองตนเองภายใต้รัฐบาลไทย ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 5,000 ศพ จากการก่อความไม่สงบนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 ส่วน นายอาหวัง จาบัต ประธานสภาที่ปรึกษาปัตตานี กล่าวว่า แนวร่วมสภาฯ ต้องการให้รัฐบาลไทยบรรจุการเจรจาสันติภาพเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อรับประกันความต่อเนื่อง หากรัฐบาลชุดใหม่ขึ้นมามีอำนาจ และว่า ระหว่างการเจรจา แนวร่วมได้ขอเอกสิทธิคุ้มครอง สำหรับคณะผู้เจรจา เพื่อรับประกันเสรีภาพในการเดินทางในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ของไทย ขณะที่รัฐบาลไทยได้หยิบยกประเด็นการก่อตั้งเขตปลอดภัย และการพัฒนาเศรษฐกิจ เป็นส่วนหนึ่งของหลายประเด็นที่นำเสนอในที่เจรจา นายจาบัต กล่าวอีกว่า แนวร่วมฯ ได้เชิญผู้มีส่วนร่วมทุกฝ่ายเข้าสู่กระบวนการ เพื่อรวมความพยายามเป็นหนึ่งเดียว สำหรับการตัดสินใจด้วยตนเอง พวกตนต้องการรับประกันว่า กฎหมายและกฎเกณฑ์ของอิสลามจะถูกบังคับใช้ และอัตลักษณ์ของชาวมุสลิมจะได้รับการปกป้อง ในแง่ของภาษาและอักษรยาวี นายจาบัตยังได้กล่าวเตือนว่า จะมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นอีก จนกว่าสิทธิในการตัดสินใจด้วยตนเองของชาวมุสลิมจะได้รับการรับประกัน ยังไม่มีการตัดสินใจ สำหรับกำหนดวันนัดเจรจารอบต่อไป."

อ่านต่อที่ : http://www.dailynews.co.th/foreign/344472

Wednesday, November 11, 2015

เฟส เพจ กรุงเทพ กรุงเทพ เปิดรายชื่อ ครูฝึก 10 คน ที่รุมทำร้าย พลทหารวิเชียร เผือกสม อายุ 26 ปี จนเสียชีวิต

เฟส เพจ กรุงเทพ กรุงเทพ

เปิดรายชื่อ ครูฝึก 10 คน ที่รุมทำร้าย
พลทหารวิเชียร เผือกสม อายุ 26 ปี จนเสียชีวิต
ภาพแรกคือ ร้อยโท ภูริ เพิกโสภณ (ผู้ต้องหา)

‪#‎รายชื่อผู้ร่วมก่อเหตุ‬

ร้อยโท ภูริ เพิกโสภณ (ผู้ต้องหา)

ร้อยตรี โอม มาลัยหอม (จำเลยที่๑)

สิบเอก สุรศักดิ์ หรือ หรั่ง บุญเมือง (จำเลยที่๒)

สิบเอก กมล หรือ เด่น บัวทอง (จำเลยที่๓)

สิบเอก อาคม หรือ จิ๋ว จังหรีด (จำเลยที่๔)

พลทหาร ฐากูร หรือ แก็บ สมานุกร (จำเลยที่๕)

พลทหาร กิตติพงศ์ หรือ แม็ค โจ้งจาบ (จำเลยที่๖)

พลทหาร เกริกพันธ์ หรือ บอล แกล้วทนงค์ (จำเลยที่๗)

พลทหาร สมัย หรือ หมัย ไกรทิพย์ (จำเลยที่๘)

พลทหาร สาธร หรือ อ้อย เพชรจำรัส (จำเลยที่๙)

พลทหารวิเชียร เผือกสม เขาถูกครูฝึกนับ 10 คนรุมทำร้าย
โดยอ้างต้องลงโทษเพราะพยายามหลบหนี จากหน่วยฝึก 2 ครั้ง
ทั้งการตบหน้า บังคับให้กินพริกสด ลากตัวไปกับพื้นปูน ใช้เกลือทาที่บาดแผล เหยียบหน้าอก ใช้ผ้าขาวห่อตัวเหลือแต่หน้า พร้อมมัดตราสังข์เหมือนศพทั้งที่ยังมีชีวิต

เขายังถูกบังคับให้กินข้าวบนก้อนน้ำแข็ง วางก้อนน้ำแข็งทับหน้าอก
ถูกฟาดด้วยไม้ไผ่จนไม้ไผ่แตก 3 อัน ขาถูกแทงด้วยไม้ไผ่แหลม
ถูกเตะที่ชายโครง หน้าอก กระทืบท้ายทอยจนคางแตก
และเตะใบหน้าจนเลือดออกปาก

พยานในเหตุการณ์เล่าว่า พลทหารวิเชียรก้มลงกราบเท้าครูฝึก
และขอร้องให้หยุดทำร้าย แต่ครูฝึกยังไม่หยุด เสียงร้องอย่างเจ็บปวด สลับกับเสียงกระทืบ ดังจนร้อยโทผู้บังคับหน่วยฝึก ชะโงกหน้า จากอาคารชั้นบนมาดู และพูดว่าอย่าำแรงมากนัก

ครูฝึกจึงพาพลทหารวิเชียรไปทำร้ายต่อบริเวณอื่น หลังถูกรุมทำร้ายนาน 3 วัน พลทหารวิเชียรไตวาย เพราะกล้ามเนื้อบาดเจ็บรุนแรง และเสียชีวิตที่โรงพยาบาลขณะอายุ 26 ปี

สภาพศพบวมช้ำทั้งตัวจนญาติแทบจำไม่ได้ คือการฆ่าทรมานกลางสถานที่ราชการ ต่อหน้าผู้บังคับหน่วยฝึก ข้าราชการ และทหารใหม่ไม่ต่ำกว่า 200 คน

ผู้ตายคือน้าชายของ นริศราวัลถ์ แก้วนพรัตน์ หรือเมย์
เธอสูญเสียน้าชายขณะเรียนชั้นปี 2 และหลายครั้งต้องหยุดเรียน
มาเดินเรื่องฟ้องคนฆ่าน้าชาย ซึ่งเต็มไปด้วยอุปสรรคตลอด 4 ปีที่ผ่านมา

ล่าสุดอัยการจังหวัดนราธิวาส เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาสำนวนคดี นริศราวัลถ์ ยอมรับว่ามีหลายคนไม่เห็นด้วย
กับการเดินหน้าฟ้องในคดีอาญา เพราะส่วนใหญ่คิดว่า สู้ยังไงก็ไม่ชนะคดี
แต่เธอต้องการสู้เพื่อให้สังคมเห็นว่า ลูกชาวบ้าน ก็ลุกขึ้นมาทวงความยุติธรรมได้

Cherry Caviara's photo.
Cherry Caviara's photo.
Cherry Caviara's photo.
Cherry Caviara's photo.
Cherry Caviara's photo.

โอละพ่อ... คดีหมิ่นฯ ... ขว้างงูไม่พ้นคอ ทหารใหญ่ คสช. อาจมีเอี่ยวร่วมแดก!!1

ข่าวคืบหน้าจากทีมสอบสวนพล.ต.ท.ฐิติราช หนองหาญพิทักษ์ กล่าวเปิดเผยบางส่วนถึง.. เครือข่ายแอบอ้างเบื้องสูงที่มีนายทหารระดับสูงจำนวนมากเข้าไปร่วมขบวนการครั้งนี้เท่าที่ได้ยินมาล้วนเป็นคนใกล้ชิดของอดีตผบ.ทบ.พลเอกอุดมเดชคนใกล้ชิดพลเอกประยุทธ์และพลเอกประวิตรแทบทั้งสิ้นมีการทำกันขบวนการที่ใหญ่โตมากมีทั้งทหารตำรวจและพลเรือนเครือญาติกัน เพื่อการขนย้ายถ่ายเทและฟอกทรัพย์สินให้ไปไว้ตามจุดต่างๆคาดว่าผู้ที่กำลังตกเป็นผู้ต้องสงสัยได้รู้ตัวก่อนล่วงหน้าและบางรายได้เดินทางหลบหนีออกนอกประเทศพร้อมทรัพย์สินไปแล้วบางส่วนกำลังหาเตรียมช่องทางหลบหนีทั้งนี้การข่าวยืนยันได้มีพลเอกประยุทธ์และพลเอกประวิตรเปิดไฟเขียวให้พวกได้หนีรอดออกไปตั้งหลักนอกเสียก่อนและเป็นการตัดตอนบุคคลให้ไปเรื่องไปถึงตัวผู้บังคับบัญชาระดับสูง  มีการคาดการณ์ว่าจากการกระทำดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายทั้งทางด้านงบประมาณกองทัพบกและความเสียหายจากทางภาคเอกชนที่ได้มีผู้แอบอ้างเบื้องสูงได้กระทำไว้นั้นโดยมีการเชื่อมโยงกับ"คนของหมอหยอง"ทั้งโครงการอุทยานราชภักดิ์,โครงการไบค์ฟอร์มัมไบค์ฟอร์แดดพบว่ามีจำนวนเงินที่หมุนเวียนสะพัดร่วมทั้ง3โครงการมีจำนวนตัวเลขสูงถึงหลายหมื่นล้านบาทนับได้เป็นการใช้สถาบันเบื้องสูงอันเป็นที่เคารพรักของคนไทยในหาผลประโยชน์ส่วนกลุ่มตนครั้งใหญ่ที่สุดก็ว่าได้

รายชื่อที่อาจต้องโดนคดีแอบอ้างด้วยโดยทำกันเป็นทีม

1. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (ผ่านอมินี)
2. พลเอกประวิตร วงศ์สุวรรณ (ผ่านนอมินี)
3.พลเอกอุดมเดช สีตะบุตร (ผ่านผู้ใต้บังคับบัญชา)
4.พลเอกปรีชา จันทร์โอชา (ให้ความร่วมมือ)
5.พลเอกอนุพงศ์ เผ่าจินดา (ผ่านบริษัทกันตะนา)
6.พลเอกสุรวัชร บุตรวงศ์ (ผ่านทีมผู้บริหารช่อง 5) และส่วนใหญเป็นนายทหารคนสนิทของพลเอกประยุทธ์พลเอกประวิตรและพลเอกอุดมเดช 
เช่น พลเอกตฤณ กาญจนานันท์ พลเอกอภิชาติ มีสมมนต์ พลเอกสุชาติ ผ่องพุฒิ ประสูตร รัศมีแพทย์ พลเอกพิสิทธ์ สิทธิสาร 
พลเอกยศนันท์ หร่ายเจริญ พลเอกเทพพงศ์ ทิพยจันทร์ พลเอกพอพล มณีรินทร์
กองทัพกำลังแตกแยกหนัก ผบ.ทบ.เก่ากับใหม่ไม่ถูกกัน ผบ.ใหม่เอาข้อมูลการหากินของเจ้าร่วมกับอุดมเดช ประยุทธ ประวิตรให้สื่อเพื่อล้มอุดมเดชครับ
อุดมเดชเป็นคนทำเงินให้ประยุทธ์แต่คิดโค่นธีรชัยผบ.ใหม่ตลอดเวลา
สาเหตุมาจากอุดมเดชผิดสัญญาที่ธีระชัยซึ่งเป็นรุ่นเดียวกันอาวุโสสูงกว่าแต่อายุน้อยกว่ายอมให้อุดมเดชเป็นผบ.ทบ.มีข้อแม้ว่าปีต่อมาต้องให้ธีรชัยเป็นผบ.ทบ.
พอถึงเวลาอุดมเดชเบี้ยวกลับไปเสนอปรีชาน้องประยุทธ์เป็นผบ.ทบ. และระหว่างที่ธีรชัยเป็นรองผบ.ทบ.อุดมเดชก็ไม่มอบงานให้ทำโดยให้คุมด้านส่งกำลังบำรุงแทนไม่ให้เกี่ยวข้องกับด้านยุทธการ
ตอนนี้ผบ.พันแทบทั้งหมดหนุนธีระชัยแต่ไม่เอาประยุทธ์

สรุปว่า ผบ.ใหม่ ใช้กรณีแอบอ้าง/อมเงินมาเล่นงานกลุ่มผบ.เก่า
ขณะที่กลุ่มผบ.เก่าที่เป็นรัฐบาลคสช.ก็จัดการสังหารผู้ต้องหา เพื่อตัดตอนไม่ให้เรื่องสาวมาถึงพวกตน อย่างนั้น ใช่ไหม


Tuesday, November 10, 2015

รอยกรรม หมอหยองและคณะ... แต่พวกเขาสมควรต้องตายเลยหรือ???

ตำรวจเปิดผังขบวนการหมอหยอง 




สั่งทำเข็มงาน 'Bike for Mom-Bike for Dad' ทุจริตเงินส่วนต่างหลายล้านบาท 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้นำแผนผังแสดงข้อมูล และรายละเอียดข้อกล่าวหา 

เกี่ยวกับพฤติการณ์แอบอ้างเบื้องสูง ของผู้ต้องหาคดีอาญามาตรา 112 

ทั้ง 3 คน คือ นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์, นายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ และ พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา 

มาแสดงต่อสื่อมวลชน ก่อนที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินด ผบ.ตร.แถลงข่าวในเวลา 14.00 น.

ข้อมูลจากแผนผังระบุว่า นายสุริยันหรือ "หมอหยอง" กับนายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ เลขานุการส่วนตัว 

มีพฤติกรรรกระทำความผิด คือ การยักยอกเงินส่วนต่าง

ของการจัดทำเข็มกลัดในงาน "Bike for Mom ปั่นเพื่อแม่" ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 16 ส.ค.2558) 

และงาน "ปั่นเพื่อพ่อ Bike for Dad" ที่จะจัดในเดือนธันวาคมนี้ มีรายละเอียดดังนี้

17 ก.ค.2558
นายสุริยันสั่งทำเข็มกลัดจำนวน 300,000 ชิ้นจากบริษัท แมคบารา จำกัด

18 มิ.ย.2558
นายสุริยันและนายจิรวงศ์ นัดพบ น.ส.ทิพวรรณ อัศวก้องเกียรติ ผู้จัดการฝ่ายขาย 

บริษัท แมคบารา จำกัด ที่ร้านสเวนเซ่น สาขาเมเจอร์รัชโยธิน 

น.ส.ทิพวรรณ เสนอราคาเข็มกลัดชิ้นละ 3.70 บาท แต่นายสุริยันสั่งให้เพิ่มราคาเป็นชิ้นละ 5.70 บาท 

แล้วให้เอาเงินค่าส่วนต่างที่เกิน โอนคืนให้นายสุริยันและนายจิรวงศ์

22 มิ.ย.2558
น.ส.ทิพวรรณ ส่งใบเสนอราคา มาให้บริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) 

โดยแบ่งเสนอราคาเป็น 5 บริษัท รวมราคา 3,049,500 บาท 

จากนั้นบริษัทในเครือ CP จ่ายค่ามัดจำ 50 เปอร์เซ็นต์ จำนวน 1,482,000 บาท ให้บริษัทแมคบารา

23 มิ.ย.2558
น.ส.ทิพวรรณ ถอนเงินออกจากบัญชีบริษัทฯ จำนวน 1,200,000 บาท

เงินจำนวนนี้ถูกนำเข้าบัญชี ธนาคารกรุงไทย สาขาวัชรพล

ชื่อบัญชี น.ส.สุรีวรรณ ชาญยุทธิ์ จำนวน 1,000,000 บาท 

และนำเข้าบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาโลตัสฟอร์จูน ชื่อบัญชีนายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ จำนวน 200,000 บาท

ส่วนการสั่งทำเข็มกลัด Bike for Dad ได้เริ่มสั่งทำเข็มกลัดเมื่อวันที่ 30 กันยายน

จำนวน 2 ล้านชิ้น จากบริษัทเดียวกัน แต่ครั้งนี้เสนอราคาชิ้นละ 2 บาท 75 สตางค์ 

และนำใบเสนอราคาเป็นเงินกว่า 10 ล้านบาท ให้กับบริษัท เมืองไทยประกันภัย และบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต 

และได้โอนเงินมัดจำให้ครึ่งหนึ่งให้กับบริษัท แมคบารา 

จากนั้นนางสาวทิพย์วรรณ ได้ถอนเงินให้กับนายจิรวงศ์ และญาติของนายสุริยัน

และได้นำเงินกว่า 3 ล้านบาท ไปซื้อคอนโด และอีก 8 แสนบาทเข้าบัญชีส่วนตัว

2 ก.ค.2558
นายสุริยันให้นางจีราภา (น้องสาว) ถอนเงินเข้ากองทุนสะสมรายวันธนาคารกรุงไทย ชื่อ นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์

23 มิ.ย.-11 ก.ค.2558
นายจิรวงศ์ ทยอยถอนเงิน 200,000 บาทมาใช้จนหมด

นอกจากนี้ ตำรวจได้นำของกลางที่ยึดได้จากห้องพัก ของพันตำรวจตรีปรากรม วารุณประภา

ที่มีทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถจักรยาน และรถของทางราชการที่นำไปใช้ส่วนตัว 

มากกว่า 40 คัน วิทยุสื่อสาร ปืนพร้อมเครื่องกระสุน กีตาร์ไฟฟ้า พระเครื่อง งาช้างแกะสลัก

ซึ่งบางส่วนเป็นของราชการ และเป็นทรัพย์สินของกลาง

ที่ยึดได้ในคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ของพลตำรวจโทพงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง 

และพันตำรวจเอกอัครวุฒิ หลิมรัตน์ อดีตผู้กำกับการ1 กองบังคับการปราบปราม

ที่ถูกดำเนินคดีไปก่อนหน้านี้ และพบว่า in พันตำรวจตรีปรากรม มีการยักยอกของกลางในคดีมาเป็นของส่วนตัว


รอยกรรม หมอหยองและคณะ... แต่พวกเขาสมควรต้องตายเลยหรือ???

ตำรวจเปิดผังขบวนการหมอหยอง 




สั่งทำเข็มงาน 'Bike for Mom-Bike for Dad' ทุจริตเงินส่วนต่างหลายล้านบาท 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้นำแผนผังแสดงข้อมูล และรายละเอียดข้อกล่าวหา 

เกี่ยวกับพฤติการณ์แอบอ้างเบื้องสูง ของผู้ต้องหาคดีอาญามาตรา 112 

ทั้ง 3 คน คือ นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์, นายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ และ พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา 

มาแสดงต่อสื่อมวลชน ก่อนที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินด ผบ.ตร.แถลงข่าวในเวลา 14.00 น.

ข้อมูลจากแผนผังระบุว่า นายสุริยันหรือ "หมอหยอง" กับนายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ เลขานุการส่วนตัว 

มีพฤติกรรรกระทำความผิด คือ การยักยอกเงินส่วนต่าง

ของการจัดทำเข็มกลัดในงาน "Bike for Mom ปั่นเพื่อแม่" ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 16 ส.ค.2558) 

และงาน "ปั่นเพื่อพ่อ Bike for Dad" ที่จะจัดในเดือนธันวาคมนี้ มีรายละเอียดดังนี้

17 ก.ค.2558
นายสุริยันสั่งทำเข็มกลัดจำนวน 300,000 ชิ้นจากบริษัท แมคบารา จำกัด

18 มิ.ย.2558
นายสุริยันและนายจิรวงศ์ นัดพบ น.ส.ทิพวรรณ อัศวก้องเกียรติ ผู้จัดการฝ่ายขาย 

บริษัท แมคบารา จำกัด ที่ร้านสเวนเซ่น สาขาเมเจอร์รัชโยธิน 

น.ส.ทิพวรรณ เสนอราคาเข็มกลัดชิ้นละ 3.70 บาท แต่นายสุริยันสั่งให้เพิ่มราคาเป็นชิ้นละ 5.70 บาท 

แล้วให้เอาเงินค่าส่วนต่างที่เกิน โอนคืนให้นายสุริยันและนายจิรวงศ์

22 มิ.ย.2558
น.ส.ทิพวรรณ ส่งใบเสนอราคา มาให้บริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) 

โดยแบ่งเสนอราคาเป็น 5 บริษัท รวมราคา 3,049,500 บาท 

จากนั้นบริษัทในเครือ CP จ่ายค่ามัดจำ 50 เปอร์เซ็นต์ จำนวน 1,482,000 บาท ให้บริษัทแมคบารา

23 มิ.ย.2558
น.ส.ทิพวรรณ ถอนเงินออกจากบัญชีบริษัทฯ จำนวน 1,200,000 บาท

เงินจำนวนนี้ถูกนำเข้าบัญชี ธนาคารกรุงไทย สาขาวัชรพล

ชื่อบัญชี น.ส.สุรีวรรณ ชาญยุทธิ์ จำนวน 1,000,000 บาท 

และนำเข้าบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาโลตัสฟอร์จูน ชื่อบัญชีนายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ จำนวน 200,000 บาท

ส่วนการสั่งทำเข็มกลัด Bike for Dad ได้เริ่มสั่งทำเข็มกลัดเมื่อวันที่ 30 กันยายน

จำนวน 2 ล้านชิ้น จากบริษัทเดียวกัน แต่ครั้งนี้เสนอราคาชิ้นละ 2 บาท 75 สตางค์ 

และนำใบเสนอราคาเป็นเงินกว่า 10 ล้านบาท ให้กับบริษัท เมืองไทยประกันภัย และบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต 

และได้โอนเงินมัดจำให้ครึ่งหนึ่งให้กับบริษัท แมคบารา 

จากนั้นนางสาวทิพย์วรรณ ได้ถอนเงินให้กับนายจิรวงศ์ และญาติของนายสุริยัน

และได้นำเงินกว่า 3 ล้านบาท ไปซื้อคอนโด และอีก 8 แสนบาทเข้าบัญชีส่วนตัว

2 ก.ค.2558
นายสุริยันให้นางจีราภา (น้องสาว) ถอนเงินเข้ากองทุนสะสมรายวันธนาคารกรุงไทย ชื่อ นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์

23 มิ.ย.-11 ก.ค.2558
นายจิรวงศ์ ทยอยถอนเงิน 200,000 บาทมาใช้จนหมด

นอกจากนี้ ตำรวจได้นำของกลางที่ยึดได้จากห้องพัก ของพันตำรวจตรีปรากรม วารุณประภา

ที่มีทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถจักรยาน และรถของทางราชการที่นำไปใช้ส่วนตัว 

มากกว่า 40 คัน วิทยุสื่อสาร ปืนพร้อมเครื่องกระสุน กีตาร์ไฟฟ้า พระเครื่อง งาช้างแกะสลัก

ซึ่งบางส่วนเป็นของราชการ และเป็นทรัพย์สินของกลาง

ที่ยึดได้ในคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ของพลตำรวจโทพงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง 

และพันตำรวจเอกอัครวุฒิ หลิมรัตน์ อดีตผู้กำกับการ1 กองบังคับการปราบปราม

ที่ถูกดำเนินคดีไปก่อนหน้านี้ และพบว่า in พันตำรวจตรีปรากรม มีการยักยอกของกลางในคดีมาเป็นของส่วนตัว


ประยุทธ์-ประวิทย์ บอกว่า เหนื่อย...แล้วประชาชนเขาว่าไง?

เสียงจากประชาชน....

คำพูดของท่านที่บอกว่า
 "ผมเหนื่อยผมท้อ" 

กูจะบอกอะไรให้นะ
ประชาชนเค้าเหนื่อยกว่ามึง
หลายร้อยเท่า 

เพราะเสียงเค้าไม่เคยดัง 
ไปถึงหูกับสมองของมึง

และกูไม่อยากจะเชื่อว่านี่
คือ คำพูดของผู้นำประเทศ

ถ้าเหนื่อยนัก ก็ง่ายๆเลย 
      ลาออกสิครับ 
    รอเฮี่ยอะไรอยู่!!! 
ได้ยินแล้ว เห็นแล้วรำคาญ
       หูว่ะ!!!