PPD's Official Website
- Home
- สถานียูทูปมหาวิทยาลัยประชาชน
- เว็บมหาวิทยาลัยประชาชน
- ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน
- “เป้าหมายการปฏิวัติแบบ มดแดงล้มช้าง”
- Ideology: อุดมการณ์มดแดง
- มดแดงล้มช้างคืออะไร?
- สถานียูทูปมหาวิทยาลัยประชาชน
- ติดตามทางเฟสบุ๊ค
- การก่อตั้ง คณะราษฎรเพื่อสาธารณรัฐสยาม
- ร่วมโหวตชื่อขององค์การปวงชนชาวไทย
- หัวใจสำคัญของแนวทางปฏิวัติมดแดงล้มช้าง
- หลักสำคัญสู่ชัยชนะเหนือเผด็จการไทย
- คำประกาศเพื่อการปฎิวัติระบอบการปกครอง 18 ก.พ. 2555
- การสมัครเข้าร่วมปฏิวัติประชาชน
- คำประกาศสถานีวิทยุมหาวิทยาลัยประชาชน
- ถ่ายทอดสด ทางยูทูปมหาวิทยาลัยประชาชน
- จดหมายเหตุมหาวิทยาลัยประชาชน
- โครงการต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยประชาชน
- เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยประชาชน
- บัญญัติสิบประการ "มดแดงล้มช้าง"
- Missions: พันธกิจ มดแดง
Monday, December 7, 2015
#โอวาทหลวงพ่อวัดปากน้ำ (ตอนพิเศษ)
#โอวาทหลวงพ่อวัดปากน้ำ (ตอนพิเศษ)
เล่าโดยพระครูสมุทรกวี (หลวงพ่อจำลอง อาสโภ [เนตรนิยม]) เจ้าคณะอำเภอบางคนที จ.สมุทรสงคราม
-----------------------------------------------
"ไปอยู่กรุงเทพฯ เปล่า" "ไปสิ" หลังจากอาจารย์พร้อมชวนฉัน ฉันก็ตัดสินใจที่จะไปอยู่กรุงเทพฯ ทันที เพราะในสมัยนั้นสำนักเรียนบาลีหายากเหลือเกิน คืนนั้นรีบเก็บข้าวของลงเรือ ตอน ๒ ทุ่มกว่าๆ ของปี ๒๔๙๕ นั่งเรือมาวัดปากน้ำ พอถึงวัดก็เข้าไปหาหลวงพ่อ
ท่านให้ความเมตตา ความรัก ความสงสาร ไม่เคยลำเอียงไม่เคยอคติ ไม่ว่าจะมาจากภาคเหนือ อีสาน หรือใต้ มีทุกภาคเต็มไปหมด เป็นยิ่งกว่าพ่อกับลูก เอาใจใส่เป็นภาระให้กับลูกศิษย์หมด ใครเจ็บไข้ได้ป่วยท่านดูแล ความเมตตาความเสียสละท่านมีอย่างสูงสุด
หลวงพ่อท่านเป็นผู้ที่เคารพธรรมะ เคารพการศึกษา บางครั้งหลวงพ่อวัดปากน้ำขึ้นเทศน์ ท่านจะนั่งหลับตาเทศน์ เราจะฟังท่านเข้าใจในช่วงต้นๆ แต่พอปลายๆ จะไม่เข้าใจ ละเอียดจริงๆ ไม่รู้ท่านได้ค้นคว้ามาจากไหน พระเปรียญธรรมสูงๆ อย่างเปรียญธรรม ๙ ยังงงเลย เดี๋ยวหลวงพ่อยกธรรมะขึ้น เดี๋ยวยกบาลีขึ้น ท่านแตกฉานจริงๆ แล้วคนที่มาฟังนะ ไม่ต้องห่วงเลยเต็มศาลาไปหมด หลวงพ่อสดท่านมีพระรัตนตรัยในหัวใจ บางครั้งท่านพูดไปๆ ท่านก็บอกว่า ถ้าหากธรรมสูงๆ จริงๆ ท่านไม่ได้พูด ท่านอาราธนาพรหมมาพูด ท่านพูดอย่างนี้จริงๆ ที่ท่านพูดอย่างนี้จะแฝงเรื่องราวในส่วนละเอียดอย่างไรฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน
หลวงพ่อสดเล่าให้ฟังว่า วิชชาธรรมกายกว่าจะค้นเจอ ค้นพบได้ใช้เวลาถึง ๓๐ กว่าปี เพราะเมื่อก่อนหลวงพ่อท่านบวช ท่านก็ศึกษาวิปัสสนากรรมฐานตามหลัก ท่านบอกว่า "มันอ้อม" ท่านก็เลยพยายามค้นวิชชาธรรมกายนี้ จนได้ทางตรงนี้ขึ้นมาเป็น สัมมาอะระหัง หลวงพ่อเทศน์เสร็จแต่ละครั้งคนจะสาธุดังลั่นทั่วศาลา ใครได้ฟังเทศน์จากหลวงพ่อนับว่ามีบุญวาสนา ธรรมะลึกมากๆ ตอนแรกพอฟังออกฟังเข้าใจ พอหนักเข้าๆ ฟังไม่ออกแล้วเพราะว่าสูงมาก หลวงพ่อพูดละเอียดในละเอียด หยาบในหยาบ สุดหยาบสุดละเอียด ท่านพูดไปคล้ายท่านเห็นไปด้วย
หลวงพ่อบอกว่าที่ท่านมรณภาพนะ ท่านสู้กับพญามารมาก ไปปราบพญามาร ไม่ใช่เสียใจเรื่องพระฝรั่งอย่างใครว่ากัน แต่เป็นเพราะท่านสู้กับมาร ตรากตรำงานหนัก ยังไงท่านก็ไม่ยอมแพ้ เคยได้ฟังธรรมะจากหลวงพ่อคำหนึ่ง กุศลาธัมมา อกุศลาธัมมา อัพยากตาธัมมา ท่านสอนในโบสถ์ ท่านบอกว่ามันมีฝ่ายดำ ฝ่ายขาว ฝ่ายไม่ดำไม่ขาว...ฝ่ายขาวคือพระพุทธเจ้าของเราก็พยายามส่งกระแสส่งสารให้คนทำความดีให้มากที่สุด แต่ฝ่ายดำเขาส่งสาร ให้คนทำความชั่วให้มากที่สุด ส่วนไม่ดำไม่ขาวนี้ ถ้าเห็นว่าฝ่ายไหนมีกำลังมากก็จะสามารถเอาไปได้ ท่านเล่าตอนหนึ่งว่า ตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ พญามารก็โผล่ขึ้นมาเลย ผุดขึ้นมาถามพระพุทธเจ้าว่า "จะสู้กับเราหรือจะสอนประชาชน" พระพุทธเจ้าท่านตรวจดูแล้วท่านก็บอกว่า "เราจะไม่สู้เราจะสอนประชาชน" พญามารก็บอกว่า "เจ้าทำไป" จะเห็นได้ว่าตอนที่พระพุทธเจ้าแสดงธรรมจะสำเร็จหมด เพราะพญามารเขาเปิด แล้วทีนี้หนักเข้าๆ พญามารก็เอาล่ะสิเห็นพุทธบริษัทมากขึ้นคนทำความดีมากขึ้น พญามารอยู่ไม่ได้ ก็ทำให้พระปาราชิกบ้าง อาบัติบ้างเรื่อยไป พระพุทธเจ้าก็เข้าฌานถาม ไหนว่าจะไม่รบกวนไง พญามารก็บอกว่า มันเป็นวิชชาของพญามาร ท่านมีหน้าที่สั่งสอนก็สั่งสอนไปสิ มีหน้าที่บัญญัติสิกขาบทก็บัญญัติไปสิ..
นายพลแก้มบุ๋มชักเริ่มเอาตรีนก่ายหน้าผากแล้ว
สายข่าวหอยกาบ รายงานมาว่า
นายพลแก้มบุ๋มชักเริ่มเอาตรีนก่ายหน้าผากแล้ว (ส่วนจะเป็นหน้าผากใครสายข่าวไม่ได้รายงาน) เมื่อคืนดอดถือพานพุ่มไปไหว้ขอพรที่อุทยานกระจายรายได้ แว่วว่าพระเจ้าตากลั่นเสียงให้แก้มบุ๋มได้ยินเลยว่าพิโรธมากกกกก...
"เอาม้ากูไปไหน เวลาปั้นรูปปั้นกูต้องมีม้าด้วย ไม่รู้หรือว่านี่คือลบหลู่!!"
นายพลแก้มบุ๋มตาเหลือกรีบโทรหานายพลโป๊ยก่ายกับนายพลต้อยติ่งเพื่อนรักเล่าความไปตัวสั่นงันงกไป "......พวกมรึงรีบมาเลยนะ เอาม้ามาถวายเจ้าตากด่วน เรื่องจะได้จบๆ"
นายพลต้อยติ่งกับนายพลโป๊ยก่ายได้ยินดังนั้นก็ฉิบผายแล้ว คืนเดียวจะไปปั้นม้าที่ไหนทัน ยังไงรีบนั่งฮ.ไปรับหน้าเจ้าตากก่อน พรุ่งนี้ค่อยปั้นม้าถวาย
พอลงจากฮ.ได้ก็กรูกันเข้าไปพนมมือประหลกๆหน้ารูปปั้นพระเจ้าตาก เท่านั้นเองพระเจ้าตากก็ตะคอกเสียงดัง "ไอ้แก้มบุ๋มกูให้ไปเอาม้ามา มรึงไปพาเหี้ยมาได้ยังไงทั้งฝูง...!!!"
Sunday, December 6, 2015
ต้นตอของสามศาสนา บรรจง บินกาซัน
ต้นตอของสามศาสนา
บรรจง บินกาซัน
ปัจจุบันคือผลของอดีต หากใครจะเข้าใจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ใครคนนั้นต้องศึกษาประวัติศาสตร์
ไม่มีใครสามารถเข้าใจปัญหาตะวันออกกลางที่กำลังเป็นชนวนไปสู่สงครามใหญ่ได้ ถ้าไม่เข้าใจประวัติศาสตร์และศาสนาของคนในภูมิภาคนั้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นมุสลิม ชาวยิวและคริสเตียน กลุ่มชนทั้งสามนี้มีบรรพบุรุษทางศาสนาคนเดียวกัน นั่นคือ อิบรอฮีม หรือ อับราฮัม ผู้มีลูกหลานเป็นศาสดาคนสำคัญของโลกเช่น โมเสส เยซัส และมุฮัมมัด
หลายคนอาจสงสัยว่าชาวยิว ชาวคริสเตียน และมุสลิม มีบรรพบุรุษแห่งความศรัทธาคนเดียวกัน นับถือพระเจ้าเหมือนกัน แต่ทำไมถึงนับถือศาสนาแตกต่างกัน
ความจริงแล้ว ศาสนาที่ชาวยิว ชาวคริสเตียน และชาวมุสลิม นับถือ คือศาสนาที่มาจากพระเจ้าองค์เดียวเหมือนกัน แต่ชาวยิวได้เลือกนับถือศาสดาบางคนที่พวกตนเห็นว่าเป็นสัญลักษณ์ของความเข้มแข็ง เช่น โมเสส และเดวิด และต่อต้านศาสดาบางคนที่ขัดผลประโยชน์ของพวกตน เช่น พระเยซู
ศาสนาของชาวยิวคือ ศาสนายูดาย ที่นับถือคัมภีร์ที่ปุโรหิตย์ชาวยิวเขียนขึ้นมาใหม่
ส่วนชาวคริสเตียนคือผู้ที่นับถือพระเยซู ผู้มายืนยันธรรมบัญญัติของโมเสส และให้ความเคารพศาสดาก่อนหน้าพระเยซูทั้งหมด แต่ไม่ยอมรับนบีมุฮัมมัด ถึงแม้คัมภีร์ไบเบิลได้พูดถึงการมาของนบีมุฮัมมัดไว้ก็ตาม
ส่วนชาวมุสลิมนั้น หลักศรัทธาขั้นพื้นฐานกำหนดว่าต้องศรัทธาในนบีทั้งหมด และถือว่านบีมุฮัมมัดเป็นนบีคนสุดท้าย
เหตุผลที่ต้องศรัทธาเช่นนั้นก็เพราะ ศาสดา หรือนบีทั้งหมด ที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์กุรอานล้วนนำคำสอนจากพระเจ้าองค์เดียวกันมาเผยแผ่สั่งสอนแก่มวลมนุษยชาติ พื้นฐานหลักคำสอนของศาสดาเหล่านี้ทุกคนล้วนเหมือนกัน นั่นคือ ความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวและการฟื้นคืนชีพหลังความตาย แต่ที่มุสลิมต้องศรัทธาว่า นบีมุฮัมมัดเป็นนบีคนสุดท้าย ก็เพราะคำสอนของพระเจ้าที่ถูกประทานมายังมนุษย์ผ่านทางศาสดาต่างๆมากมายนับเป็นแสนคนนั้น ได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ในสมัยของนบีมุฮัมมัดในรูปของศาสนาอิสลาม
ก่อนจะจบการละหมาดประจำวัน 5 เวลา นบีมุฮัมมัดได้สอนให้มุสลิมอ่านข้อความตอนหนึ่งซึ่งมีความหมายว่า "โอ้อัลลอฮฺฺ ขอพระองค์ได้โปรดอำนวยพรแก่มุฮัมมัด และลูกหลานของมุฮัมมัด เช่นเดียวกับที่พระองค์ได้อำนวยพรแก่อิบรอฮีม ละลูกหลานของ อิบรอฮีม และโปรดประทานความจำเริญแก่มุฮัมมัด และลูกหลานของมุฮัมมัด เช่นเดียวกับที่ประองค์ประทานความจำเริญแก่ อิบรอฮีมและลูกหลานของอิบรอฮีม ด้วยเถิด....."
เพื่อที่จะเข้าใจถึงสามสายธารศาสนาใหญ่ของโลกที่มีต้นกำเนิดเดียวกัน เราต้องรู้ว่า อับราฮัม มีภรรยาคนแรกคือนางซาราห์ ทั้งสองอพยพออกจากเมืองอูร์ในอิรัก ไปอาศัยอยู่ในแผ่นดิน กันอาน หรือ ปาเลสไตน์ โดยที่ยังไม่มีลูก ต่อมา ทั้งสองได้อพยพไปที่แผ่นดินไอยคุปต์ หรือ อียิปต์โบราณ ขณะที่อยู่ที่นั่น อับราฮัมได้มีภรรยาคนที่สองเป็นหญิงชาวอาหรับพื้นเมืองชื่อว่า ฮาการ์ หรือ ฮาญัรฺ และมีลูกคนแรกกับนางชื่อ อิสมาอีล หรือ อิชมาเอล
เนื่องจากสังคมไอยคุปต์ในเวลานั้นมีสภาพไม่ต่างไปจากสังคมในอิรักที่ผู้คนเชื่อในเรื่องโชคลางไสยศาสตร์ และกราบไหว้บูชาสารพัดเจว็ด ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อวิญญาณของอิสมาอีล ดังนั้น อิบรอฮีมจึงนำ นางฮาญัรฺ และอิสมาอีลลูกน้อยไปยังหุบเขาบักก๊ะฮฺ ที่ไร้ผู้คนในคาบสมุทรอาหรับ คัมภีร์ไบเบิลเรียกหุบเขาแห่งนี้ว่า "เบกา" และทิ้งภรรยากับลูกไว้ที่นั่นตามลำพัง
หลังจากนั้น อิบรอฮีมได้เดินทางกลับไปหานางซาราห์ และมีลูกกับนางในตอนแก่ ชื่ออิสฮาก หรือ อิชอัก ต่อมา อิชอัก มีลูกคนหนึ่งชื่อ ยาโกบ หรือ ยะกู๊บ ผู้ได้ฉายาว่าอิสราเอล หรือ อิสรออีล ยะกู๊บ มีลูก 12 คน และเนื่องจากยาโกบ ได้ฉายาว่า อิสราเอล ลูกหลานของยะกู๊บจึงถูกเรียกว่า "ลูกหลานของอิสราเอล" ซึ่งในคัมภีร์กุรอานเรียกว่า "บนีอิสรออีล"
ส่วนอิสมาอีล เติบโตขึ้นในหุบเขาบักก๊ะฮฺ และได้แต่งงานกับหญิงชาวอาหรับพื้นเมือง และมีลูกหลายคน คนหนึ่งชื่อเคดาร์ เป็นต้นตระกูลของเผ่ากุเรช เผ่าที่นบีมุฮัมมัดถือกำเนิดขึ้นมา
ในตอนสร้างก๊ะอฺบ๊ะฮฺ นบีอิบรอฮีมได้วิงวอนขอต่อพระเจ้าให้ลูกหลานของท่านได้เป็นผู้นำทางมนุษยชาติไปสู่พระองค์ พระเจ้าได้ตอบรับคำวิงวอนของท่านด้วยการให้มีศาสดาหรือนบีเกิดขึ้นมากมายในหมู่ลูกหลานอิสราเอล เช่น ยูซุฟ(โยเซฟ) มูซา(โมเสส) ฮารูน(อารูน) ดาวิด(ดาวูด) สุลัยมาน (ซาโลมอน) อีซา(พระเยซู)
ลูกหลานของอิสราเอลนับถือศาสนาอะไร? คัมภีร์กุรอาน กล่าวไว้ดังนี้ :
ก่อนจะเสียชีวิต ยะกู๊บได้ถามลูกๆว่า "หลังจากฉันแล้ว พวกเจ้าจะเคารพภักดีผู้ใด?" ลูกๆของเขากล่าวว่า "เราจะเคารพภักดีพระเจ้าที่พ่อและบรรพบุรุษของพ่อ นั่นคือ
อิบรอฮีม อิสมาอีล(อิชมาเอล) และอิสฮาก(อิสอัค) ยอมรับว่าเป็นพระเจ้าของพวกเขาและเราเป็นมุสลิม" (กุรอาน 2:131-133)
ศาสนาของลูกหลานอิสราเอล จึงมิใช่ศาสนาใดนอกไปจากศาสนาที่มาจากพระเจ้า หรืออิสลามนั่นเอง
แต่เมื่อชาวอาหรับชื่อมุฮัมมัด อ้างตัวเป็นนบี ลูกหลานของอิสราเอลต่างพากันปฏิเสธเป็นพัลวัน เหตุผลก็เพราะลูกหลานอิสราเอลทะนงในเชื้อสายของตัวเอง จนถึงกับเชื่อว่า หากพระเจ้าจะให้มีนบีเกิดขึ้นในหมู่มนุษย์ นบีผู้นั้นต้องเกิดในเชื้อสายของอิสราเอล ไม่ใช่ชาวอาหรับ ที่ไม่เคยมีนบีหรือคัมภีร์ศาสนามาก่อน โดยลืมไปว่าบรรพบุรุษของนบีมุฮัมมัดก็คือ นบีอิบรอฮีม
Saturday, December 5, 2015
เตียง ศิริขันธ์ : วีรบุรุษที่ประวัติศาสตร์ไทย(แกล้ง)ลืม
จึงเป็นคำถามที่คำตอบอาจอยู่แต่ในสายลม-ถึงที่สุดแล้ว ประชาชนเป็นใหญ่จริงหรือ กับระบอบประชาธิปไตยในบ้านเมืองเรา ย้อนหลังจากวันนี้ไป 101 ปี ณ วันที่ 5 ธันวาคม 2452 วีรบุคคลผู้ที่เหมือนว่าหน่วยงานเกี่ยวกับการศึกษาประวัติศาสตร์ไทยไม่อยาก จะจดจำจารึกไว้ให้เยาวชนเรียนรู้ ถือกำเนิดเกิดขึ้นบนแผ่นดินอีสาน บุคคลผู้นั้นชื่อ "เตียง ศิริขันธ์"
ด้วยชีวิตวัยเยาว์ในบ้านเกิดจังหวัดสกลนคร เตียง ศิริขันธ์ได้รับการส่งเสริมจากบุพการีให้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนสร้างความ เจริญก้าวหน้าให้กับตนเอง จนสามารถเรียนจบประกาศนียบัตรสูงสุดสำหรับครู หรือครู ป.ม.จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และในเวลาต่อมาได้เข้าทำงานเป็นครูสมดังปรารถนา
แต่แล้วเพราะความคิดก้าวหน้า กล้าพูด กล้าทำ กล้ายืนหยัดต่อกับกรกับสิ่งอยุติธรรมทั้งหลาย ในที่สุดก็ถูกข้อหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ร่วมกับเพื่อนครูอีก 2 คน เหตุเพราะเช้าวันหนึ่งมีมือมืดเอาธงแดงมีตราค้อนเคียวชักขึ้นบนยอดเสาแทน ธงชาติ ซึ่งในยุคนั้นมิใช่เรื่องแปลกอะไรหากจะมีนักคิด-เขียนหัวก้าวหน้าโดนข้อหา นี้ ประชาชนคนไหนที่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองไม่ชอบขี้หน้าอาจถูกยัดข้อหานี้เอา ง่ายๆ ถือเป็นข้อหาคลาสสิกเอาเลยทีเดียว
และนี่เองถือเป็นจุดหักเหของชีวิตครู หนุ่มไฟแรงแห่งแผ่นดินอีสานให้หันหน้าเข้าสู่แวดวงการเมือง เพราะถึงแม้ว่าศาลจะพิจารณาและพิพากษายกฟ้องแล้วก็ตาม แต่การที่ต้องถูกกล่าวหาและพัวพันกับคดีอยู่เป็นเวลายาวนาน ทำให้นายเตียงตัดสินใจเปลี่ยนเข็มชีวิตตนเข้าสู่สังเวียนรัฐสภา
ปี 2476 เดือนพฤศจิกายน ประเทศไทยมีการเลือกตั้งครั้งแรก เป็นการเลือกตั้งโดยอ้อม ส่วนการเลือกตั้งโดยทางตรงของไทยครั้งแรกมีขึ้นเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2480 นายเตียงได้สมัครเข้ารับเลือกตั้งในจังหวัดสกลนคร และก็ได้รับเลือกเป็นผู้แทนราษฎรของจังหวัดสกลนครเรื่อยมา
ด้วยความเป็นผู้แทนราษฎรหนุ่มไฟแรง มีอุดมการณ์แก่กล้า กอปรกับมีเพื่อน ส.ส.จากที่ราบสูงเหมือนกัน ร่วมทำงานเป็นทีมเวิร์ค คือ นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ส.ส.จังหวัดอุบลราชธานี, นายจำลอง ดาวเรือง ส.ส.จังหวัดมหาสารคาม และนายถวิล อุดล ส.ส.จังหวัดร้อยเอ็ด จนได้รับสมญานาม 4 ส.ส.อีสาน ดังที่กวีซีไรต์เลือดอีสาน ไพวรินทร์ ขาวงาม ได้ประพันธ์ไว้ว่า...
ดาวหนึ่งทองอินทร์นั้น เลือดอุบล
ดาวหนึ่งเตียงเลือดสกล เลือดสู้
ดาวหนึ่งถวิลเลือดคน ร้อยเอ็ด
ดาวหนึ่งจำลองกู้ เลือดสารคาม
(จากหนังสือ เตียง ศิริขันธ์ ขบวนการเสรีไทยสกลนคร โดย ผศ.ปรีชา ธรรมวินทร หน้า 142)
เห็นได้จากการอภิปรายในสภาปี 2487 ต่อต้านโครงการนครหลวงเพ็ชรบูรณ์และพุทธบุรีมณฑลสระบุรีของรัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม เนื่องจาก ส.ส.อีสานทั้งสี่เห็นว่าโครงการดังกล่าวสร้างความทุกข์ยากลำบากให้กับ ประชาชนอย่างหนัก โดยเฉพาะโครงการย้ายเมืองหลวงไปตั้งที่จังหวัดเพชรบูรณ์เพราะเมืองเพชรบูรณ์ สมัยนั้นเป็นป่าทึบ เต็มไปด้วยเชื้อไข้มาลาเรีย ปรากฏว่าพอสร้างไปได้ 1 ปี มีประชาชนถูกเกณฑ์ไปทำงานกว่า 100,000 คน ป่วย 14,316 คน และเสียชีวิต 4,040 คน ประชาชนที่ถูกเกณฑ์โดยได้รับสัญญาว่าจะจ่ายค่าจ้างให้วันละ 5 สตางค์ต่อวัน ส่วนใหญ่มาจากพื้นที่ภาคอีสาน
พอพระราชกำหนดนี้เข้าสู่สภา ปรากฏว่า ส.ส.ทั้งสี่ได้ร่วมกันอภิปรายคัดค้านอย่างหนัก และเมื่อลงเสียงคะแนนแบบลับ เพราะส.ส.ทั้งสี่เห็นว่าหากให้ยกมือลงคะแนนอย่างเปิดเผย ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลอาจเกิดการกดดันเกรงใจไม่กล้ายกมือสนับสนุน ในที่สุดรัฐบาลก็แพ้ไปด้วยคะแนน 48 ต่อ 36 เสียง เป็นผลให้รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ต้องลาออก
แต่ก็นั่นแหละ การเมืองมีขึ้นมีลงตามกฎอนิจจลักษณะ หลังจากรัฐนาวาเผด็จการทหารของจอมพล ป.พิบูลสงคราม อับปางลงในช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนอับปางรัฐบาลจอมพล. คนนี้ ได้นำพาประเทศเข้าร่วมจมหัวจมท้ายกับญี่ปุ่นจนหวุดหวิดเกือบต้องกลายเป็น ประเทศพ่ายแพ้สงครามไปด้วย ยังดีที่ ท่านรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งสมัยนั้นได้ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ใช้ปัญญาอย่าง แยบคายกอบกู้คืนมาได้ โดยจัดตั้งองค์กรลับภายใต้ชื่อ "ขบวนการเสรีไทย" (Free Siamese Movement) และช่วงนี้นี่เองที่นายเตียง ศิริขันธ์ หรือที่ใช้ชื่อรหัสว่า "พลูโต" มีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อขบวนการเสรีไทยสายอีสาน โดยเฉพาะในเขตพื้นที่จังหวัดสกลนคร เนื่องจากได้เป็นแกนนำจัดตั้งค่ายเสรีไทยเพื่อฝึกฝนกำลังพล มีประชาชนเข้าร่วมปฏิบัติการกู้ชาติครั้งนี้นับหมื่นคนจากทั่วทุกค่ายในเขต จังหวัดภาคอีสาน
ทั้งๆ ที่งานเสรีไทย เป็นงานอุดมการณ์ทำเพื่อชาติ อาจต้องยอมพลีแม้กระทั่งชีพตนเอง ไม่มีผลตอบแทนอันใด จะมีก็แต่ความภาคภูมิใจในการได้ทำงานเพื่อพิทักษ์มาตุภูมิ แต่ประชาชนทั้งชาวจังหวัดสกลนครและจังหวัดอื่นๆ ในภาคอีสานก็พร้อมใจกันเข้าร่วม เนื่องจากทุกคนมีใจรักชาติ และส่วนหนึ่งเกิดจากศรัทธาต่อนายเตียง ศิริขันธ์ผู้เป็นบุคคลต้นแบบเรื่องความเสียประโยชน์สุขส่วนตนเพื่อประเทศ ชาติ ดังที่คุณฉลบชลัยย์ พลางกูร (ภรรยาของจำกัด พลางกูร ผู้เดินทางไปประเทศจีนเพื่องานเสรีไทยและเสียชีวิตในระหว่างเดินทาง) กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า...
"...ตอนนั้นคุณเตียงให้คุณนิวาศน์ ถอดเครื่องประดับทั้งหมด มีสายสร้อย ล็อกเกต แหวน รวมทั้งแหวนของตัวเองด้วย มอบให้จำกัดเผื่อว่าจะไปตกทุกข์ได้ยาก เพราะการเดินทางนั้นมืดมนเต็มที ญี่ปุ่นอยู่เต็มไปหมด ดิฉันเชื่อว่าถ้าคุณเตียงรู้ตัวก่อนนั้น คงจะรวบรวมเงินทองให้จำกัดอีกเป็นแน่ และของเหล่านี้ (จำกัดเขียนไว้ในสมุดบันทึก) ว่าได้ช่วยเขาอย่างมากจริงๆ..." (จาก คำเกริ่นนำโดย ฉลบชลัยย์ พลางกูร ในหนังสือ เตียง ศิริขันธ์วีรชนนักประชาธิปไตย ขุนพลภูพาน โดย ศ.วิสุทธ์ บุษยกุล หน้า 17)
พลพรรคเสรีไทยภาคอีสานจากค่ายต่างๆ ฝึกฝนพัฒนาตนแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ โดยได้รับการสนับสนุนด้านอาวุธยุทธปัจจัยจากประเทศสัมพันธมิตร แม้ว่าสุดท้ายแล้วญี่ปุ่นกลับประเทศฝ่ายอักษะ จะประกาศยอมแพ้สงครามเสียก่อนที่กองทัพเสรีไทยได้สำแดงพลังต่อสู้ให้ ประจักษ์ต่อสายตาชาวโลก แต่ถึงกระนั้น ด้วยอุดมการณ์อันสูงส่ง แสดงจุดยืนอย่างชัดเจน มีหลักฐานทั้งด้านเอกสารและกำลังพลเพียบพร้อม สามารถอ้างเป็นหลักฐานให้ประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรเชื่อว่าประเทศไทย ไม่ใช่พวกเดียวกับญี่ปุ่น ดังคำสุนทรพจน์ของ "รูธ" ที่ได้กล่าวในพิธีสวนสนามกองทัพเสรีไทยท่อนหนึ่งว่า
"...เสรีไทยมิใช่ผู้ที่อยู่ใต้ครอบ ครองของญี่ปุ่น ความหมายก็คือไทยที่เป็นเสรีไทยทั้งหลายที่ต้องการให้ประเทศของตนเป็นอิสระ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ต่างประเทศรับรองการกระทำของผู้ที่อยู่ในต่างประเทศ หาใช่คณะหรือพรรคการเมืองไม่ ส่วนองค์การต่อต้านภายในประเทศนั้น ในชั้นเดิมไม่มีชื่อเรียกองค์การว่าอย่างไร การชักชวนให้เริ่มงานตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2488 เป็นต้นมา ก็ชักชวนต่อต้านญี่ปุ่นให้พ้นประเทศ และเมื่อองค์การภายในและภายนอกประเทศติดต่อกันแล้วในชั้นหลัง สาส์นที่เจ้าหน้าที่ต่างประเทศได้มีมายังข้าพเจ้า เรียกขานองค์การที่เราร่วมงานระหว่างคนทั้งภายในและภายนอกนี้ว่า Free Siamese Movement หรือขบวนการเสรีไทย เป็นนามสมญาที่ควรยอมรับ ข้าพเจ้าก็ได้ถือเอานามนี้โต้ตอบกับต่างประเทศโดยใช้นามองค์การว่า องค์การขบวนเสรีไทย...." (จากหนังสือเตียง ศิริขันธ์ ขบวนการเสรีไทยสกลนคร โดย ผ.ศ.ปรีชา ธรรมวินทร หน้า 132)
หลังจากอุทิศชีวิตเป็นแกนนำจัดตั้ง เสรีไทยสายอีสาน ภายใต้การบังคับบัญชาโดยตรงจากท่านปรีดี พนมยงค์ ซึ่ง นายเตียง ศิริขันธ์ให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก ร่วมกันนำพาประเทศผ่านพ้นมรสุมครั้งใหญ่มาได้ พบกับช่วงวันฟ้าใสในหน้าที่การงาน บำเพ็ญประโยชน์ให้กับประเทศชาติ ได้เป็นรัฐมนตรีหลายสมัย ตั้งแต่รัฐบาลทวี บุณยเกตุ รัฐบาลเสนีย์ ปราโมช รัฐบาลปรีดี พนมยงค์ 1, 2, 3 และรัฐบาลถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ 1, 2, 3, 4 มีผลงานเด่นๆ มากมาย เป็นต้นว่าได้ก่อตั้ง "สันนิบาตแห่งเอเชียอาคเนย์" (Union of Southeast Asian) ซึ่งก็คือที่มาขององค์การ "อาเซียน" ในปัจจุบัน
แต่สุดท้ายทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้อง ชะงักงันเมื่อกลุ่มอำนาจนิยม-อนุรักษนิยมทำการรัฐประหารในวันที่ 8 พฤษภาคม 2480 คณะกลุ่มโจรปล้นประเทศพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดขั้วอำนาจเก่าสายท่าน ปรีดี พนมยงค์ โดยเอา "กรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8" เป็นข้ออ้างมาบ่อนทำลาย สร้างความชอบธรรมในการล้มล้างศัตรูทางการเมือง เข้ากุมอำนาจเผด็จการเบ็ดเสร็จ เป็นผลให้ท่านปรีดีต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ 4 ส.ส.อีสานถูกโจรในเครื่องแบบวิสามัญฆาตกรรมทางเมืองอย่างโหดเหี้ยมป่าเถื่อน ที่ทุ่งบางเขน นาย เตียง ศิริขันธ์ต้องหลบหนีเข้าป่าภูพาน และถูกยัดเยียดข้อหา "กบฏแบ่งแยกดินแดน" ในที่สุด และนายเตียงได้ฉายา "ขุนพลภูพาน" ก็จากการต่อสู้กับอำนาจรัฐครั้งนี้
อ่านฉบับสมบูรณ์ต่อที่ http://darkage-marcus.blogspot.com/2011/12/blog-post_1059.html
Laly Jil - ตามมาดูรายได้ของนายพลไทย
Laly Jil - ตามมาดูรายได้ของนายพลไทย
เงินเดือนของทหารขั้นสูงสุดคือ 76,604 บาทต่อเดือน
และเงินประจำตำแหน่งสูงสุด คือ 21,000 บาท
นั่นคือทหารที่ได้รับเงินตอบแทนต่อเดือนสูงสุดในยศ พลเอก อัตราจอมพล ก็คือ ได้รับ 97,604 บาท (เก้าหมื่นเจ็ดพันหกร้อยสี่บาท) ต่อเดือน ถ้าไม่กินไม่ใช้เลย ก็คือปีหนึ่ง จะได้รับค่าจ้าง 1,171,248 บาท (หนึ่งล้านหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นหนึ่งพันสองร้อยสี่สิบแปดบาทถ้วน)
ตีเป็นตัวเลขกลมๆ ก็คือ ปีละประมาณ ล้านสอง การที่ทหารคนหนึ่งจะได้เงินเดือนและเก็บเงินได้ครบสามสิบล้านบาท ก็คือใช้เวลาเป็นพลเอกอัตราจอมพล เป็นเวลา ประมาณสามสิบปี
ซึ่งไม่มีทางที่จะมีทหารคนไหนจะทำแบบนี้ได้เพราะกว่าจะขึ้นมาขนาดนี้ได้ก็ ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าสามสิบห้าปีที่มีเงินเดือนน้อยกว่านี้
Subscribe to:
Posts (Atom)