PPD's Official Website

Saturday, November 19, 2016

ถ่ายทอดสด อเนก ซานฟราน และ ดร. เพียงดิน หัวข้อ: ทำไมต้องล้มเจ้า? และการสร้างประชาธิปไตยช่วงรัชกาลที่ 10?

อย่าพลาด 6:30 น. นาฬิกา เช้าวันอาทิตย์ เวลาเมืองไทย 20 พ.ย. 2559
พบกับ อเนก ซานฟราน และ ดร. เพียงดิน
หัวข้อ: ทำไมต้องล้มเจ้า? และการสร้างประชาธิปไตยช่วงรัชกาลที่ 10?
ทางสถานีมหาวิทยาลัยประชาชน/ เครือข่ายมดแดงล้มช้าง /นปช. ยูเอสเอ และเครือข่ายเปลี่ยนระบอบ





ถ่ายทอดสด อเนก ซานฟราน และ ดร. เพียงดิน หัวข้อ: ทำไมต้องล้มเจ้า? และการสร้างประชาธิปไตยช่วงรัชกาลที่ 10?

อย่าพลาด 6:30 น. นาฬิกา เช้าวันอาทิตย์ เวลาเมืองไทย 20 พ.ย. 2559
พบกับ อเนก ซานฟราน และ ดร. เพียงดิน
หัวข้อ: ทำไมต้องล้มเจ้า? และการสร้างประชาธิปไตยช่วงรัชกาลที่ 10?
ทางสถานีมหาวิทยาลัยประชาชน/ เครือข่ายมดแดงล้มช้าง /นปช. ยูเอสเอ และเครือข่ายเปลี่ยนระบอบ





ถ่ายทอดสด อเนก ซานฟราน และ ดร. เพียงดิน หัวข้อ: ทำไมต้องล้มเจ้า? และการสร้างประชาธิปไตยช่วงรัชกาลที่ 10?

อย่าพลาด 6:30 น. นาฬิกา เช้าวันอาทิตย์ เวลาเมืองไทย 20 พ.ย. 2559
พบกับ อเนก ซานฟราน และ ดร. เพียงดิน
หัวข้อ: ทำไมต้องล้มเจ้า? และการสร้างประชาธิปไตยช่วงรัชกาลที่ 10?
ทางสถานีมหาวิทยาลัยประชาชน/ เครือข่ายมดแดงล้มช้าง /นปช. ยูเอสเอ และเครือข่ายเปลี่ยนระบอบ





ศรีสุวรรณ โวยถูกคุกคาม-ปองร้าย หลังไล่ตรวจสอบอำนาจรัฐ |

ศรีสุวรรณ โวยถูกคุกคาม-ปองร้าย หลังไล่ตรวจสอบอำนาจรัฐ | 

18 พ.ย. 2559 รายงานข่าวแจ้งว่า ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ออกแถลงการณ์ สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เรื่อง  เลขาธิการสมาคมฯ ถูกคุกคาม ปองร้ายจากการทำหน้าที่ตรวจสอบอำนาจรัฐ

แถลงการณ์ระบุว่า ตามที่เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะพลเมืองที่ดีในการติดตาม ตรวจสอบ การใช้อำนาจรัฐ การบริหารราชการแผ่นดินของผู้มีอำนาจที่อาจไม่เป็นไปตามกฎหมายตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทุก ๆ รัฐบาล อย่างตรงไปตรงมา ซึ่งอาจจะเป็นการขัดขวางอำนาจและผลประโยชน์ของผู้ประสงค์ร้ายต่อบ้านเมืองก็เป็นไปได้นั้น

ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 17 พ.ย. ที่ผ่านมา หลังจากที่เลขาธิการสมาคมฯและชาวบ้านได้ยื่นฟ้องหน่วยงานภาครัฐต่อศาลปกครองกลาง เพื่อเพิกถอนแผน PDP2015 เสร็จแล้ว ได้นั่งรถส่วนตัวเดินทางกลับกันหลายคน แต่สังเกตเห็นว่า พอจะขึ้นรถมีชายนิรนามเดินเข้ามาถ่ายรูปเลขาธิการสมาคมฯ พร้อมกับมีรถยนต์ 2 คันได้ขับติดตามอย่างมีพิรุธ เจ้าหน้าที่ขับรถจึงแสร้งเปลี่ยนเส้นทางรถ เพื่อสังเกตว่าจะยังคงถูกติดตามจริงหรือไม่ แต่ปรากฏว่ารถยนต์ทั้ง 2 คันดังกล่าวก็วกรถขับเปลี่ยนเส้นทางตาม ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปเส้นทางใด เลขาธิการสมาคมฯจึงตัดสินใจขับรถวกเข้า สน.บางเขน บริเวณอนุสาวรีย์หลักสี่ ซึ่งก็ปรากฏว่ารถยนต์ของผู้ขับตามเข้าไปใน สน.บางเขนเช่นกัน เมื่อทีมงานของสมาคมฯจอดรถและออกมาถ่ายภาพรถคันที่ตามดังกล่าว จึงทำให้ผู้ขับขี่รถคันดังกล่าวรู้ตัว จึงขับรถออกจาก สน.บางเขนหนีไป

กรณีดังกล่าวถือว่าเป็นภัยคุกคามสิทธิ เสรีภาพ และสวัสดิภาพ และการทำหน้าที่ในฐานะพลเมืองดีตามนโยบายของ หน.คสช. โดยตรง เลขาธิการสมาคมฯ จึงได้เข้าแจ้งความต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ สน.บางเขน พร้อมหลักฐานภาพถ่ายทะเบียนรถคันที่ติดตามดังกล่าวแล้ว ซึ่งกรณีดังกล่าวไม่อาจคาดเดาเหตุการณ์ในอนาคตได้ ต่อการทำหน้าที่พลเมืองดีของเลขาธิการสมาคมฯที่มีต่อสังคมและประเทศชาติ อันมีลักษณะเป็นภัยมาใกล้เช่นนี้ อันสะท้อนให้เห็นถึงการยังคงมีพฤติการณ์ของการใช้อำนาจเถื่อน ข่มขู่ คุกคามประชาชนโยชัดแจ้ง กรณีที่เกิดขึ้นเลขาธิการสมาคมฯ จำต้องนำความรายละเอียดและหลักฐานไปยื่นขอความคุ้มครองจาก หน.คสช. และนายกรัฐมนตรี ในวันจันทร์ที่ 21 พ.ย. 2559  เวลา 11.00 น. ณ ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ (ศูนย์บริการประชาชน) ประตู 4 ทำเนียบรัฐบาล (ตึก กพ.เดิม) เพื่อขอความคุ้มครองจากหน.คสช. และนายกรัฐมนตรีต่อไป และหากเลขาธิการสมาคมฯถูกปองร้าย/ลักพาตัว/เสียชีวิต ก็เชื่อได้ว่ามีผลมาจากการตรวจสอบการทุจริตและประพฤติมิชอบของผู้มีอำนาจที่เลขาธิการได้ยื่นตรวจสอบไว้ต่อ ป.ป.ช. ผู้ตรวจการแผ่นดิน และ สตง. ประการเดียวเท่านั้น

ศรีสุวรรณ โวยถูกคุกคาม-ปองร้าย หลังไล่ตรวจสอบอำนาจรัฐ |

ศรีสุวรรณ โวยถูกคุกคาม-ปองร้าย หลังไล่ตรวจสอบอำนาจรัฐ | 

18 พ.ย. 2559 รายงานข่าวแจ้งว่า ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ออกแถลงการณ์ สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เรื่อง  เลขาธิการสมาคมฯ ถูกคุกคาม ปองร้ายจากการทำหน้าที่ตรวจสอบอำนาจรัฐ

แถลงการณ์ระบุว่า ตามที่เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะพลเมืองที่ดีในการติดตาม ตรวจสอบ การใช้อำนาจรัฐ การบริหารราชการแผ่นดินของผู้มีอำนาจที่อาจไม่เป็นไปตามกฎหมายตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทุก ๆ รัฐบาล อย่างตรงไปตรงมา ซึ่งอาจจะเป็นการขัดขวางอำนาจและผลประโยชน์ของผู้ประสงค์ร้ายต่อบ้านเมืองก็เป็นไปได้นั้น

ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 17 พ.ย. ที่ผ่านมา หลังจากที่เลขาธิการสมาคมฯและชาวบ้านได้ยื่นฟ้องหน่วยงานภาครัฐต่อศาลปกครองกลาง เพื่อเพิกถอนแผน PDP2015 เสร็จแล้ว ได้นั่งรถส่วนตัวเดินทางกลับกันหลายคน แต่สังเกตเห็นว่า พอจะขึ้นรถมีชายนิรนามเดินเข้ามาถ่ายรูปเลขาธิการสมาคมฯ พร้อมกับมีรถยนต์ 2 คันได้ขับติดตามอย่างมีพิรุธ เจ้าหน้าที่ขับรถจึงแสร้งเปลี่ยนเส้นทางรถ เพื่อสังเกตว่าจะยังคงถูกติดตามจริงหรือไม่ แต่ปรากฏว่ารถยนต์ทั้ง 2 คันดังกล่าวก็วกรถขับเปลี่ยนเส้นทางตาม ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปเส้นทางใด เลขาธิการสมาคมฯจึงตัดสินใจขับรถวกเข้า สน.บางเขน บริเวณอนุสาวรีย์หลักสี่ ซึ่งก็ปรากฏว่ารถยนต์ของผู้ขับตามเข้าไปใน สน.บางเขนเช่นกัน เมื่อทีมงานของสมาคมฯจอดรถและออกมาถ่ายภาพรถคันที่ตามดังกล่าว จึงทำให้ผู้ขับขี่รถคันดังกล่าวรู้ตัว จึงขับรถออกจาก สน.บางเขนหนีไป

กรณีดังกล่าวถือว่าเป็นภัยคุกคามสิทธิ เสรีภาพ และสวัสดิภาพ และการทำหน้าที่ในฐานะพลเมืองดีตามนโยบายของ หน.คสช. โดยตรง เลขาธิการสมาคมฯ จึงได้เข้าแจ้งความต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ สน.บางเขน พร้อมหลักฐานภาพถ่ายทะเบียนรถคันที่ติดตามดังกล่าวแล้ว ซึ่งกรณีดังกล่าวไม่อาจคาดเดาเหตุการณ์ในอนาคตได้ ต่อการทำหน้าที่พลเมืองดีของเลขาธิการสมาคมฯที่มีต่อสังคมและประเทศชาติ อันมีลักษณะเป็นภัยมาใกล้เช่นนี้ อันสะท้อนให้เห็นถึงการยังคงมีพฤติการณ์ของการใช้อำนาจเถื่อน ข่มขู่ คุกคามประชาชนโยชัดแจ้ง กรณีที่เกิดขึ้นเลขาธิการสมาคมฯ จำต้องนำความรายละเอียดและหลักฐานไปยื่นขอความคุ้มครองจาก หน.คสช. และนายกรัฐมนตรี ในวันจันทร์ที่ 21 พ.ย. 2559  เวลา 11.00 น. ณ ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ (ศูนย์บริการประชาชน) ประตู 4 ทำเนียบรัฐบาล (ตึก กพ.เดิม) เพื่อขอความคุ้มครองจากหน.คสช. และนายกรัฐมนตรีต่อไป และหากเลขาธิการสมาคมฯถูกปองร้าย/ลักพาตัว/เสียชีวิต ก็เชื่อได้ว่ามีผลมาจากการตรวจสอบการทุจริตและประพฤติมิชอบของผู้มีอำนาจที่เลขาธิการได้ยื่นตรวจสอบไว้ต่อ ป.ป.ช. ผู้ตรวจการแผ่นดิน และ สตง. ประการเดียวเท่านั้น

ท้ายที่สุดแล้ว กรณี เบส อรพิมพ์ คือภาพสะท้อนของ "สงครามตัวแทน" ที่ชัดเจน

Pairat Makbanbueng #มิตรสหายท่านนั้นกล่าว #มันใช่
:
ท้ายที่สุดแล้ว กรณี เบส อรพิมพ์ คือภาพสะท้อนของ "สงครามตัวแทน" ที่ชัดเจน นี่คือการปะทะกันครั้งแรกหลังการสวรรคต ที่ทุกคนพร้อมใจเข้าสู่โหมดสงบเงียบ และเพียงหลังหมด30วันช่วงไว้ทุกข์ ก็เปิดศักราชระหว่างทหารกับกลุ่มการเมืองทันที

เบสนั้นเป็นตัวแทนของคนที่ทำงานรับใช้ทหาร ที่เชื่อว่าทัศนคติของคนในภูมิภาคที่เป็น "พื้นที่สีแดง"มีความรับรู้ผิดพลาดต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ที่ต้องเข้าไป "ให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง"อย่างเร่งด่วน

จะพูดให้ถูกคือทหารมีความเชื่อแบบนั้นมายาวนานแล้วตั้งแต่ก่อนรัฐประหารด้วยซ้ำ เพราะคลิปที่มหาสารคามที่ถูกขุดมานั้นเกิดเมื่อต้นปี 2559 และเบสบอกว่าถูกว่าจ้างตั้งแต่ปลายปี 2558 ในการ "ปลุกพลังความรักสถาบันหลัก" และยอมรับกลางรายการจอมขวัญว่า "ภาคอีสานคือภาคที่เบสไปบ่อยที่สุด"

ความไม่พอใจของคนภาคอีสานคือแรงสะท้อนความอึดอัดที่มีต่อทหาร ยิ่งพอตอนเบสหลุดมาหมดเลยว่าเป็นโครงการไอโอทหาร ระดับความคลั่งแค้นเพิ่มขึ้นมากขึ้นๆ

ลองไปไล่อ่านคอมเมนต์ข่าวเกี่ยวกับเบส จะเริ่มเห็นคอมเมนต์โยงไปถึงกองทัพในฐานะผู้ว่าจ้างว่า "มีทัศนคติต่อคนอีสานอย่างไรกันแน่?" ล้มเจ้า? รักทักษิณ? ถูกหลอกง่าย? ไม่เข้าใจประชาธิปไตย(แบบคสช.)?

เพราะอีสานเป็นพื้นที่ที่ทหารไม่เคยเจาะได้ แม้แต่การทำประชามติที่เรียกได้ว่าคุมเบ็ดเสร็จ บีบเบ็ดเสร็จก็ยังชนะไม่ได้ แดงเถือกกันเกือบทั้งภาค ทหารจึงคิดว่าควรทำอย่างไรให้ "ปรับทัศนคติ"คนอีสานได้ ใช้ไม้แข็งไม่สำเร็จ ลองใช้ soft power (ที่ไม่ซอฟต์)แบบจ้างนักพูดไปไหม (ไม่ต่างจากบทบาท สมัคร-ดุสิต-ทมยันตีในหกตุลาฯ ที่ต้านคอมฯ)

พ.อ.วินธัยรีบออกมาปฏิเสธความสัมพันธ์ของกองทัพกับเบส แต่มีการขุดภาพขุดคลิปมาเรื่อยๆ เรื่องนี้ต้องจับตา อย่าให้กองทัพเทเบสเขี่ยเบสทิ้งเป็นแค่หมากตัวหนึ่ง แต่มันหมายถึงทัศนคติอันตรายของกองทัพต่อคนส่วนหนึ่งของประเทศที่ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้

นี่คือเหตุผลที่ผมสนใจเคสของเบสมากกว่าพวกน็อต กราบรถกู หรือสมเถา แร้งแอร์เพราะพวกนั้นคือแรงปฏิกิริยาฉับพลัน ไม่ได้มีการวางแผนและคาดหวังผลล่วงหน้า.

แต่กรณีเบสนั้น ผ่านการจัดตั้ง การวางแผนมาอย่างดี อย่างที่เธอบอกว่าได้รับบรีฟเสมอก่อนที่จะไปพูดในแต่ละที่ "นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ"

ท้ายที่สุดแล้ว กรณี เบส อรพิมพ์ คือภาพสะท้อนของ "สงครามตัวแทน" ที่ชัดเจน

Pairat Makbanbueng #มิตรสหายท่านนั้นกล่าว #มันใช่
:
ท้ายที่สุดแล้ว กรณี เบส อรพิมพ์ คือภาพสะท้อนของ "สงครามตัวแทน" ที่ชัดเจน นี่คือการปะทะกันครั้งแรกหลังการสวรรคต ที่ทุกคนพร้อมใจเข้าสู่โหมดสงบเงียบ และเพียงหลังหมด30วันช่วงไว้ทุกข์ ก็เปิดศักราชระหว่างทหารกับกลุ่มการเมืองทันที

เบสนั้นเป็นตัวแทนของคนที่ทำงานรับใช้ทหาร ที่เชื่อว่าทัศนคติของคนในภูมิภาคที่เป็น "พื้นที่สีแดง"มีความรับรู้ผิดพลาดต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ที่ต้องเข้าไป "ให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง"อย่างเร่งด่วน

จะพูดให้ถูกคือทหารมีความเชื่อแบบนั้นมายาวนานแล้วตั้งแต่ก่อนรัฐประหารด้วยซ้ำ เพราะคลิปที่มหาสารคามที่ถูกขุดมานั้นเกิดเมื่อต้นปี 2559 และเบสบอกว่าถูกว่าจ้างตั้งแต่ปลายปี 2558 ในการ "ปลุกพลังความรักสถาบันหลัก" และยอมรับกลางรายการจอมขวัญว่า "ภาคอีสานคือภาคที่เบสไปบ่อยที่สุด"

ความไม่พอใจของคนภาคอีสานคือแรงสะท้อนความอึดอัดที่มีต่อทหาร ยิ่งพอตอนเบสหลุดมาหมดเลยว่าเป็นโครงการไอโอทหาร ระดับความคลั่งแค้นเพิ่มขึ้นมากขึ้นๆ

ลองไปไล่อ่านคอมเมนต์ข่าวเกี่ยวกับเบส จะเริ่มเห็นคอมเมนต์โยงไปถึงกองทัพในฐานะผู้ว่าจ้างว่า "มีทัศนคติต่อคนอีสานอย่างไรกันแน่?" ล้มเจ้า? รักทักษิณ? ถูกหลอกง่าย? ไม่เข้าใจประชาธิปไตย(แบบคสช.)?

เพราะอีสานเป็นพื้นที่ที่ทหารไม่เคยเจาะได้ แม้แต่การทำประชามติที่เรียกได้ว่าคุมเบ็ดเสร็จ บีบเบ็ดเสร็จก็ยังชนะไม่ได้ แดงเถือกกันเกือบทั้งภาค ทหารจึงคิดว่าควรทำอย่างไรให้ "ปรับทัศนคติ"คนอีสานได้ ใช้ไม้แข็งไม่สำเร็จ ลองใช้ soft power (ที่ไม่ซอฟต์)แบบจ้างนักพูดไปไหม (ไม่ต่างจากบทบาท สมัคร-ดุสิต-ทมยันตีในหกตุลาฯ ที่ต้านคอมฯ)

พ.อ.วินธัยรีบออกมาปฏิเสธความสัมพันธ์ของกองทัพกับเบส แต่มีการขุดภาพขุดคลิปมาเรื่อยๆ เรื่องนี้ต้องจับตา อย่าให้กองทัพเทเบสเขี่ยเบสทิ้งเป็นแค่หมากตัวหนึ่ง แต่มันหมายถึงทัศนคติอันตรายของกองทัพต่อคนส่วนหนึ่งของประเทศที่ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้

นี่คือเหตุผลที่ผมสนใจเคสของเบสมากกว่าพวกน็อต กราบรถกู หรือสมเถา แร้งแอร์เพราะพวกนั้นคือแรงปฏิกิริยาฉับพลัน ไม่ได้มีการวางแผนและคาดหวังผลล่วงหน้า.

แต่กรณีเบสนั้น ผ่านการจัดตั้ง การวางแผนมาอย่างดี อย่างที่เธอบอกว่าได้รับบรีฟเสมอก่อนที่จะไปพูดในแต่ละที่ "นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ"