PPD's Official Website

Thursday, December 24, 2020

รู้ทันสันดานเจ้าไทย เชิญอ่านงานวิชาการทรงคุณค่า

ซีรีย์ กบฏบวรเดช ตอนที่ 3.5
ตอน ความมีพิรุธของรัชกาลที่ 7 และเจ้าฟ้าบริพัตร

ในระหว่างการสู้รบระหว่างฝ่ายรัฐบาล และ ฝ่ายกบฏ นั้น ในหลวงรักาลที่ 7
ทรงประทับอยู่ที่ สงขลา ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ใกล้กับมาลายาของอังกฤษ
สามารถเดาได้ว่า หากมีอะไรเกิดขึ้น รัชกาลที่ 7
สามารถลี้ภัยไปโดยข้ามพรมแดนไปยังมาลายาได้โดยง่ายมาก และ
สามารถเดินไปยังอังกฤษโดยสะดวกเช่นกัน

เจ้าฟ้าบริพัตร ผู้มีอิทธิทางทหารมากที่สุด ก่อน เกิดการเปลี่ยนการปกครอง
2475 ภายหลังเมื่อคณะราษฎรทำการสำเร็จ
ก็ ถูกเนรเทศไปอยู่อินโดเนเซีย ระหว่างทรงประทับอยู่ที่นั่น ได้
มีการส่งจดหมายลับถึงรัชกาลที่ 7 ระหว่างกัน ก่อนเกิดเหตุกบฏบวรเดช 2476
ซึ่ง ผู้ที่เป็นตัวกลางในการนำจดหมายลับระหว่างกันนี้ คือ นาย ไออิซูกะ
ชิเกรุ เป็นนักธุรกิจญี่ปุ่น ในอาเซียน สนิทสนมกับ เจ้าฟ้าบริพัตรมาก ช่วงก่อนเกิดเหตุการณ์ 2475

จดหมายลับนี้ มีข้อความใจความสำคัญว่า
เจ้าฟ้าบริพัตรยินดีขนสมบัติของพระองศ์และรัชกาลที่ 7 ออกนอกประเทศ
ซึ่งจดหมายฉบับนี้ได้ส่งหากัน ก่อนเกิดกบฏบวรเดช และต่อมา รัชกาลที่ 7 ก็ทรงไปประทับที่สงขลา
นี้เองคือความพิรุธของรัชกาลที่ 7 ทำไมทรงไม่ประทับอยู่พระนคร
สนับสนุนประชาธิปไตย และเป็นกำลังในให้กับรัฐบาล ?

เหมือนกับมีการเตรียมการกันมาอยู่แล้ว ระหว่างฝ่ายกบฏ และ รัชกาลที่ 7

นายไออิซูกะนี้ ได้เป็นตัวกลางได้การติดต่อกับฝ่ายนิยมเจ้าด้วย โดย
มีเจตนาเพื่อนำระบอบเก่ากลับมาให้ได้
นาย ยาตาเบ ซึ่งเป็นทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย
ผู้สนับสนุนระบอบใหม่ของคณะราษฎร ในฐานะเพื่อนร่วมชาติ ได้คัดค้าน การกระทำ
ของนายไออิซูกะ ได้สั่งให้ ระงับการช่วยเหลือฝ่ายนิยมเจ้าของนายไออิซูกะ
ทันที เนื่องจาก รัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้การสนับสนุนระบอบใหม่ของไทย และ
จะทำให้กระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยและญี่ปุ่น

อีกพิรุธคือ ก่อนรัชกาลที่ 7 จะสละราชสมบัติ พระองศ์ทรงประทับอยู่ที่อังกฤษ
ระหว่างทรงประทับอยู่ที่นั่น พระองศ์เรียกร้อง ต่อรองต่างๆนาๆ ต่อ คณะราษฎร
จนในที่สุดเมื่อทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ ก็เกิดอาการน้อยใจ และ สละ ราชสมบัติ ในขณะอยู่อังกฤษ

โปรดติดตามตอนต่อไป
ตอนที่ 4 จุดจบของพระยาสิทธิสงครามและกบฏบบวรเดช จอมพลประภาสแจ้งเกิด !

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก

หนังสือตามรอยอาทิตย์อุทัย แผนการสร้างชาติของคณะราษฎร ของ ณัฐพล ใจจริง
หนังสือ กบฏบวรเดช ของ ณัฐพล ใจจริง

ฝากกดติดตาม เพจผมด้วยนะครับ ^^
https://www.facebook.com/khanaratsadon2475/

หากใครพลาดตอนที่ผ่านๆมา รับชมได้ ลิงค์ด้านล่างครับ

ตอนที่ 1
https://www.facebook.com/khanaratsadon2475/posts/139793477930684

ตอนที่ 2
https://www.facebook.com/khanaratsadon2475/posts/143718424204856

ตอนที่ 2.5
https://www.facebook.com/khanaratsadon2475/posts/148856887024343

ตอนที่ 3
https://www.facebook.com/khanaratsadon2475/posts/150097146900317

รู้ทันสันดานเจ้าไทย เชิญอ่านงานวิชาการทรงคุณค่า

ซีรีย์ กบฏบวรเดช ตอนที่ 3.5
ตอน ความมีพิรุธของรัชกาลที่ 7 และเจ้าฟ้าบริพัตร

ในระหว่างการสู้รบระหว่างฝ่ายรัฐบาล และ ฝ่ายกบฏ นั้น ในหลวงรักาลที่ 7
ทรงประทับอยู่ที่ สงขลา ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ใกล้กับมาลายาของอังกฤษ
สามารถเดาได้ว่า หากมีอะไรเกิดขึ้น รัชกาลที่ 7
สามารถลี้ภัยไปโดยข้ามพรมแดนไปยังมาลายาได้โดยง่ายมาก และ
สามารถเดินไปยังอังกฤษโดยสะดวกเช่นกัน

เจ้าฟ้าบริพัตร ผู้มีอิทธิทางทหารมากที่สุด ก่อน เกิดการเปลี่ยนการปกครอง
2475 ภายหลังเมื่อคณะราษฎรทำการสำเร็จ
ก็ ถูกเนรเทศไปอยู่อินโดเนเซีย ระหว่างทรงประทับอยู่ที่นั่น ได้
มีการส่งจดหมายลับถึงรัชกาลที่ 7 ระหว่างกัน ก่อนเกิดเหตุกบฏบวรเดช 2476
ซึ่ง ผู้ที่เป็นตัวกลางในการนำจดหมายลับระหว่างกันนี้ คือ นาย ไออิซูกะ
ชิเกรุ เป็นนักธุรกิจญี่ปุ่น ในอาเซียน สนิทสนมกับ เจ้าฟ้าบริพัตรมาก ช่วงก่อนเกิดเหตุการณ์ 2475

จดหมายลับนี้ มีข้อความใจความสำคัญว่า
เจ้าฟ้าบริพัตรยินดีขนสมบัติของพระองศ์และรัชกาลที่ 7 ออกนอกประเทศ
ซึ่งจดหมายฉบับนี้ได้ส่งหากัน ก่อนเกิดกบฏบวรเดช และต่อมา รัชกาลที่ 7 ก็ทรงไปประทับที่สงขลา
นี้เองคือความพิรุธของรัชกาลที่ 7 ทำไมทรงไม่ประทับอยู่พระนคร
สนับสนุนประชาธิปไตย และเป็นกำลังในให้กับรัฐบาล ?

เหมือนกับมีการเตรียมการกันมาอยู่แล้ว ระหว่างฝ่ายกบฏ และ รัชกาลที่ 7

นายไออิซูกะนี้ ได้เป็นตัวกลางได้การติดต่อกับฝ่ายนิยมเจ้าด้วย โดย
มีเจตนาเพื่อนำระบอบเก่ากลับมาให้ได้
นาย ยาตาเบ ซึ่งเป็นทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย
ผู้สนับสนุนระบอบใหม่ของคณะราษฎร ในฐานะเพื่อนร่วมชาติ ได้คัดค้าน การกระทำ
ของนายไออิซูกะ ได้สั่งให้ ระงับการช่วยเหลือฝ่ายนิยมเจ้าของนายไออิซูกะ
ทันที เนื่องจาก รัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้การสนับสนุนระบอบใหม่ของไทย และ
จะทำให้กระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยและญี่ปุ่น

อีกพิรุธคือ ก่อนรัชกาลที่ 7 จะสละราชสมบัติ พระองศ์ทรงประทับอยู่ที่อังกฤษ
ระหว่างทรงประทับอยู่ที่นั่น พระองศ์เรียกร้อง ต่อรองต่างๆนาๆ ต่อ คณะราษฎร
จนในที่สุดเมื่อทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ ก็เกิดอาการน้อยใจ และ สละ ราชสมบัติ ในขณะอยู่อังกฤษ

โปรดติดตามตอนต่อไป
ตอนที่ 4 จุดจบของพระยาสิทธิสงครามและกบฏบบวรเดช จอมพลประภาสแจ้งเกิด !

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก

หนังสือตามรอยอาทิตย์อุทัย แผนการสร้างชาติของคณะราษฎร ของ ณัฐพล ใจจริง
หนังสือ กบฏบวรเดช ของ ณัฐพล ใจจริง

ฝากกดติดตาม เพจผมด้วยนะครับ ^^
https://www.facebook.com/khanaratsadon2475/

หากใครพลาดตอนที่ผ่านๆมา รับชมได้ ลิงค์ด้านล่างครับ

ตอนที่ 1
https://www.facebook.com/khanaratsadon2475/posts/139793477930684

ตอนที่ 2
https://www.facebook.com/khanaratsadon2475/posts/143718424204856

ตอนที่ 2.5
https://www.facebook.com/khanaratsadon2475/posts/148856887024343

ตอนที่ 3
https://www.facebook.com/khanaratsadon2475/posts/150097146900317

รัฐบาลแห่งการกู้ สร้างหนี้สินเป็นประวัติการณ์แล้ว

ไชโย.... ไทยจนที่สุดในอาเซียน
แล้ว  เป็นอันดับ 1

เศรษฐกิจไทยส่อพังทั้งระบบ คนจนพุ่ง 100%-หนี้เพิ่มทะลุเพดาน
ธนาคารโลกชี้ชัด รัฐบาลลุงตู่ โกง-จน-เจ๊ง คนไทยจ่ออดตายมากกว่า 50%
.

สุดช็อค ธนาคารโลกประจานเศรษฐกิจไทยกำลังเจ๊งทั้งระบบเพราะรัฐบาลโกง
ยอดคนอดตายพุ่งเกินครึ่งของประชากรหรือราว 40 ล้านคน (57%)
คนไทยรายได้ต่ำกว่า 150 บาท/วัน เพิ่มขึ้น 100%
ตัวเลขหนี้ประเทศพุ่งทะลุเพดานสูงสุดในรอบ 18 ปี รวม 13 ล้านล้านบาท สูงแตะ
88-90% ต่อจีดีพี การคลังถังแตก-คนจนไม่มีจะแดก รัฐบาลกู้มือเติบ 7
ล้านล้านบาท ผลาญงบประมาณต่อท่อน้ำเลี้ยงคอร์รัปชั่น
.
[[[ เจ๊งทั้งประเทศ ]]]
.
ธนาคารโลก (World Bank) [1] เปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจไทยในสภาวะวิกฤติ
ผู้มีรายได้น้อย/คนไม่มีรายได้พุ่ง 40 ล้านคน หรือเกือบเท่ากับ 2 ใน 3
ของประชากรทั้งประเทศ จากการขอรับสิทธิ์ช่วยเหลือช่วงโควิดจากรัฐบาล

คอร์รัปชั่นรัฐบาลประยุทธ์ฉุดประเทศถอยหลัง เศรษฐกิจพุ่งดิ่งลงเหว
การคลังถังแตก-คนจนไม่มีจะแดก สอดคล้องกับตัวเลขคนจนที่พุ่งสูงขึ้น 100%
โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่าวันละ 150 บาท (ครึ่งนึงของค่าแรงขั้นต่ำ)
มีจำนวนเพิ่มขึ้นจาก 4.7 ล้านคน เป็น 9.7 ล้านคนในปัจจุบัน
นอกจากนี้ธนาคารโลกยังงัดตัวเลขตอกย้ำความเน่าเฟะในยุคลุงตู่อีกด้วยว่า
อัตราความยากจนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 7.2 ปี 2558 เป็นร้อยละ 9.8
ปี 2561 สวนทางกับการเติบโตของเศรษฐกิจ ทั้งที่รัฐบาลไทยกู้เงินมือเติบ 1.9
ล้านล้านบาท ถือว่ามากสุดในภูมิภาคอาเซียน คิดเป็น 13% ของ GDP
แต่ผลทีได้คือเศรษฐกิจเจ๊งมากสุดในเอเชีย กระตุ้นเศรษฐกิจได้แค่ 6
แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 4% ของ GDP และทำเงินหายไป 1.3 ล้านล้านบาท
.
[[[ หนี้ท่วมทะลุเพดาน ]]]
.
'ประยุทธ์ จันทร์โอชา' รัฐบาลที่สร้างหนี้มากสุดในประวัติศาสตร์
แต่เศรษฐกิจไทยก็เจ๊งมากสุดในประวัติศาสตร์เช่นกัน
ตัวเลขหนี้ล้นเพดานเติบโตพุ่งพรวดไปพ้อมกับความเหลื่อมล้ำ
ตอกย้ำเศรษฐกิจลิเกหลวงที่ใช้ระบบเอื้อศักดินาแล้วปล่อยปลาเล็กปลาน้อยตายเรียบ
ตัวเลขหนี้ครัวเรือนของประเทศพุ่งสูงแตะ 88-90% ต่อจีดีพี สูงสุดในรอบ 18
ปี สอดคล้องกับปัญหาเศรษฐกิจพังจากฐานราก คนไทยชักหน้าไม่ถึงหลัง รายได้เท่าเดิมแต่หนี้สินเพิ่มขึ้น
.
ไทยเหลื่อมล้ำพุ่งรอบ 10 ปี รวยจนห่างกันสูงสุด 20 เท่า
หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีเพิ่มทะลุ 80% คนจนมีโอกาสเรียน ป.ตรีแค่ 3%
เมื่อพิจารณาในส่วนของผู้ที่มีรายได้มากที่สุดแตกต่างจากผู้ที่มีรายได้น้อยสุดกว่า
20 เท่า โดยมีกลุ่มคนชนชั้นกลางอยู่ประมาณ 35%
สะท้อนถึงการกระจุกตัวของรายได้ในกลุ่มบน
และการแบ่งปันผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ยังไม่ทั่วถึงไปสู่คนกลุ่มล่าง
แม้ดูจะดีขึ้นจากปี 2550-2561 แต่จำนวนคนยากจนในปี 2560-2563
มีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณว่าจำนวนคนจนจะเพิ่มขึ้นมาในช่วง 3 ปีหลัง
.
[[[ โกง-จน-เจ๊ง]]]
.
ธนาคารโลกระบุถึงสาเหตุหลักที่เศรษฐกิจไทยถดถอย คือ
ปัญหาการคอร์รัปชั่นของภาครัฐบาล [3] นำไปสู่
'ความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุน'
ซึ่งเป็นปัญหาการขับเคลื่อนจีดีพีตามหลักเศรษฐศาสตร์
โดยเฉพาะปัญหาธรรมาภิบาล หรือการทุจริต
มีปัญหาทั้งภาคราชการและฝ่ายการเมือง
นำไปสู่ปัญหาเกี่ยวเนื่องที่ไทยกำลังเผชิญ คือ การโกงงบประมาณ
ความเหลื่อมล้ำ หรือการบังคับใช้กฎหมายสองมาตรฐาน
.
'ผู้นำบ้าอำนาจ'
คือเหตุผลที่ธนาคารโลกประจานไทยว่าเป็นต้นตอของการคอร์รัปชั่นในยุครัฐบาลประยุทธ์
เนื่องจากคนที่เข้ามามีอำนาจและมีหน้าที่ทางการเมืองไม่สามารถประนีประนอม
(compromise)
และหาจุดร่วมกันได้เพื่อนำพาประเทศให้ดีขึ้นได้ตามนโยบายที่ตนวางไว้
ผลคือในสายตาต่างประเทศ ประเทศเรามีปัญหาสนามแข่งขันที่ไม่ตรงหรือเอียง
(Unlevel Playing Field) ระหว่างบริษัทไทยขนาดเล็ก บริษัทต่างชาติ
เทียบกับบริษัทไทยขนาดใหญ่
.
เห็นได้จากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ การจัดซื้อจัดจ้าง
การให้สัมปทานสิทธิในการใช้ประโยชน์ทรัพยากรที่จัดสรรโดยรัฐมักจะไม่มีบริษัทที่มีชื่อเสียงจากต่างประเทศในธุรกิจนั้นๆ
เข้าแข่งขัน
ผู้ได้สัมปทานจะเป็นบริษัทใหญ่ของประเทศกับบริษัทแนวร่วมต่างชาติที่จัดตั้งขึ้น
ผลคืออำนาจทางเศรษฐกิจของบริษัทใหญ่นับวันจะมากขึ้น
ผลวิจัยของธนาคารแห่งประเทศไทยปี 2562 ชี้ว่า บริษัทขนาดใหญ่ 5%
แรกของประเทศมีสัดส่วนรายรับสะสมสูงถึง 85% ของรายรับทั้งหมด
มีส่วนแบ่งยอดขายมากถึง 46% และสัดส่วนกำไรกว่า 60%
อำนาจทางธุรกิจแบบนี้ไม่จูงใจให้ผู้เล่นรายใหม่เข้าแข่งขัน ขณะที่ผู้บริโภคเสียประโยชน์
.
อ้างอิง

[1] https://www.posttoday.com/finance-stock/news/639770
[2] https://www.matichon.co.th/economy/news_2359806
[3] https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/910375

รัฐบาลแห่งการกู้ สร้างหนี้สินเป็นประวัติการณ์แล้ว

ไชโย.... ไทยจนที่สุดในอาเซียน
แล้ว  เป็นอันดับ 1

เศรษฐกิจไทยส่อพังทั้งระบบ คนจนพุ่ง 100%-หนี้เพิ่มทะลุเพดาน
ธนาคารโลกชี้ชัด รัฐบาลลุงตู่ โกง-จน-เจ๊ง คนไทยจ่ออดตายมากกว่า 50%
.

สุดช็อค ธนาคารโลกประจานเศรษฐกิจไทยกำลังเจ๊งทั้งระบบเพราะรัฐบาลโกง
ยอดคนอดตายพุ่งเกินครึ่งของประชากรหรือราว 40 ล้านคน (57%)
คนไทยรายได้ต่ำกว่า 150 บาท/วัน เพิ่มขึ้น 100%
ตัวเลขหนี้ประเทศพุ่งทะลุเพดานสูงสุดในรอบ 18 ปี รวม 13 ล้านล้านบาท สูงแตะ
88-90% ต่อจีดีพี การคลังถังแตก-คนจนไม่มีจะแดก รัฐบาลกู้มือเติบ 7
ล้านล้านบาท ผลาญงบประมาณต่อท่อน้ำเลี้ยงคอร์รัปชั่น
.
[[[ เจ๊งทั้งประเทศ ]]]
.
ธนาคารโลก (World Bank) [1] เปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจไทยในสภาวะวิกฤติ
ผู้มีรายได้น้อย/คนไม่มีรายได้พุ่ง 40 ล้านคน หรือเกือบเท่ากับ 2 ใน 3
ของประชากรทั้งประเทศ จากการขอรับสิทธิ์ช่วยเหลือช่วงโควิดจากรัฐบาล

คอร์รัปชั่นรัฐบาลประยุทธ์ฉุดประเทศถอยหลัง เศรษฐกิจพุ่งดิ่งลงเหว
การคลังถังแตก-คนจนไม่มีจะแดก สอดคล้องกับตัวเลขคนจนที่พุ่งสูงขึ้น 100%
โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่าวันละ 150 บาท (ครึ่งนึงของค่าแรงขั้นต่ำ)
มีจำนวนเพิ่มขึ้นจาก 4.7 ล้านคน เป็น 9.7 ล้านคนในปัจจุบัน
นอกจากนี้ธนาคารโลกยังงัดตัวเลขตอกย้ำความเน่าเฟะในยุคลุงตู่อีกด้วยว่า
อัตราความยากจนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 7.2 ปี 2558 เป็นร้อยละ 9.8
ปี 2561 สวนทางกับการเติบโตของเศรษฐกิจ ทั้งที่รัฐบาลไทยกู้เงินมือเติบ 1.9
ล้านล้านบาท ถือว่ามากสุดในภูมิภาคอาเซียน คิดเป็น 13% ของ GDP
แต่ผลทีได้คือเศรษฐกิจเจ๊งมากสุดในเอเชีย กระตุ้นเศรษฐกิจได้แค่ 6
แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 4% ของ GDP และทำเงินหายไป 1.3 ล้านล้านบาท
.
[[[ หนี้ท่วมทะลุเพดาน ]]]
.
'ประยุทธ์ จันทร์โอชา' รัฐบาลที่สร้างหนี้มากสุดในประวัติศาสตร์
แต่เศรษฐกิจไทยก็เจ๊งมากสุดในประวัติศาสตร์เช่นกัน
ตัวเลขหนี้ล้นเพดานเติบโตพุ่งพรวดไปพ้อมกับความเหลื่อมล้ำ
ตอกย้ำเศรษฐกิจลิเกหลวงที่ใช้ระบบเอื้อศักดินาแล้วปล่อยปลาเล็กปลาน้อยตายเรียบ
ตัวเลขหนี้ครัวเรือนของประเทศพุ่งสูงแตะ 88-90% ต่อจีดีพี สูงสุดในรอบ 18
ปี สอดคล้องกับปัญหาเศรษฐกิจพังจากฐานราก คนไทยชักหน้าไม่ถึงหลัง รายได้เท่าเดิมแต่หนี้สินเพิ่มขึ้น
.
ไทยเหลื่อมล้ำพุ่งรอบ 10 ปี รวยจนห่างกันสูงสุด 20 เท่า
หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีเพิ่มทะลุ 80% คนจนมีโอกาสเรียน ป.ตรีแค่ 3%
เมื่อพิจารณาในส่วนของผู้ที่มีรายได้มากที่สุดแตกต่างจากผู้ที่มีรายได้น้อยสุดกว่า
20 เท่า โดยมีกลุ่มคนชนชั้นกลางอยู่ประมาณ 35%
สะท้อนถึงการกระจุกตัวของรายได้ในกลุ่มบน
และการแบ่งปันผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ยังไม่ทั่วถึงไปสู่คนกลุ่มล่าง
แม้ดูจะดีขึ้นจากปี 2550-2561 แต่จำนวนคนยากจนในปี 2560-2563
มีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณว่าจำนวนคนจนจะเพิ่มขึ้นมาในช่วง 3 ปีหลัง
.
[[[ โกง-จน-เจ๊ง]]]
.
ธนาคารโลกระบุถึงสาเหตุหลักที่เศรษฐกิจไทยถดถอย คือ
ปัญหาการคอร์รัปชั่นของภาครัฐบาล [3] นำไปสู่
'ความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุน'
ซึ่งเป็นปัญหาการขับเคลื่อนจีดีพีตามหลักเศรษฐศาสตร์
โดยเฉพาะปัญหาธรรมาภิบาล หรือการทุจริต
มีปัญหาทั้งภาคราชการและฝ่ายการเมือง
นำไปสู่ปัญหาเกี่ยวเนื่องที่ไทยกำลังเผชิญ คือ การโกงงบประมาณ
ความเหลื่อมล้ำ หรือการบังคับใช้กฎหมายสองมาตรฐาน
.
'ผู้นำบ้าอำนาจ'
คือเหตุผลที่ธนาคารโลกประจานไทยว่าเป็นต้นตอของการคอร์รัปชั่นในยุครัฐบาลประยุทธ์
เนื่องจากคนที่เข้ามามีอำนาจและมีหน้าที่ทางการเมืองไม่สามารถประนีประนอม
(compromise)
และหาจุดร่วมกันได้เพื่อนำพาประเทศให้ดีขึ้นได้ตามนโยบายที่ตนวางไว้
ผลคือในสายตาต่างประเทศ ประเทศเรามีปัญหาสนามแข่งขันที่ไม่ตรงหรือเอียง
(Unlevel Playing Field) ระหว่างบริษัทไทยขนาดเล็ก บริษัทต่างชาติ
เทียบกับบริษัทไทยขนาดใหญ่
.
เห็นได้จากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ การจัดซื้อจัดจ้าง
การให้สัมปทานสิทธิในการใช้ประโยชน์ทรัพยากรที่จัดสรรโดยรัฐมักจะไม่มีบริษัทที่มีชื่อเสียงจากต่างประเทศในธุรกิจนั้นๆ
เข้าแข่งขัน
ผู้ได้สัมปทานจะเป็นบริษัทใหญ่ของประเทศกับบริษัทแนวร่วมต่างชาติที่จัดตั้งขึ้น
ผลคืออำนาจทางเศรษฐกิจของบริษัทใหญ่นับวันจะมากขึ้น
ผลวิจัยของธนาคารแห่งประเทศไทยปี 2562 ชี้ว่า บริษัทขนาดใหญ่ 5%
แรกของประเทศมีสัดส่วนรายรับสะสมสูงถึง 85% ของรายรับทั้งหมด
มีส่วนแบ่งยอดขายมากถึง 46% และสัดส่วนกำไรกว่า 60%
อำนาจทางธุรกิจแบบนี้ไม่จูงใจให้ผู้เล่นรายใหม่เข้าแข่งขัน ขณะที่ผู้บริโภคเสียประโยชน์
.
อ้างอิง

[1] https://www.posttoday.com/finance-stock/news/639770
[2] https://www.matichon.co.th/economy/news_2359806
[3] https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/910375