PPD's Official Website

Friday, December 4, 2015

พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา องคมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้ถึงแก่อสัญกรรมด้วยโรคชรา

"พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา"องคมนตรี ถึงแก่อสัญกรรม


updated: 05 ธ.ค. 2558 เวลา 11:00:55 น.

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา องคมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้ถึงแก่อสัญกรรมด้วยโรคชรา ด้วยวัย 96ปี เมื่อเวลาประมาณ 05.00 น.เช้าวันนี้ โดยกำหนดตั้งศพสวดพระอภิธรรมบำเพ็ญกุศล ที่ศาลา 100 ปี วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร กทม. ตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคมเป็นต้นไป และมีพิธีรดน้ำศพในวันที่ 7 ธันวาคม เช่นกัน

สำหรับ พล.ต.อ.สิทธิ เศวตศิลา เกิดเมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2462  ปัจจุบันเป็นองคมนตรี อดีตรองนายกรัฐมนตรีอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีต เลขาธิการสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ

Thursday, December 3, 2015

แถลงการณ์พรรคเพื่อไทย เรื่อง โครงการอุทยานราชภักดิ์

แถลงการณ์พรรคเพื่อไทย
เรื่อง โครงการอุทยานราชภักดิ์

 ตามที่พรรคเพื่อไทยได้มีแถลงการณ์ ฉบับลงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2558, 19 พฤศจิกายน 2558 และ 24 พฤศจิกายน 2558  เรียกร้องให้รัฐบาลแถลงรายละเอียดและมาตรการดำเนินการต่างๆ กรณีมีการทุจริตในโครงการอุทยานราชภักดิ์ เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งรับรู้และสนับสนุนโครงการอุทยานฯ มาตั้งแต่ต้น แสดงความรับผิดชอบและดำเนินการตรวจสอบหาผู้รับผิดชอบ ด้วยความโปร่งใส ไม่เห็นแก่ผู้ใดนั้น ต่อมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้มีคำสั่งให้ปลัดกระทรวงกลาโหม (พลเอกปรีชา จันทร์โอชา) แต่งตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีโครงการอุทยานฯ ทั้งๆ ที่ได้ปฏิเสธและยืนยันต่อสาธารณะมาโดยตลอดว่า โครงการอุทยานฯ ไม่เกี่ยวข้องกับทางราชการและดำเนินการโดยโปร่งใส 
 ณ บัดนี้ ได้ปรากฏข้อเท็จจริงสู่สาธารณะเพิ่มเติมขึ้นจากเดิม พรรคเพื่อไทยจึงเห็นเป็นความจำเป็นที่จะต้องแถลงข้อเท็จจริงต่อสาธารณะ รวมทั้งเสนอข้อเรียกร้องต่อผู้รับผิดชอบดังกล่าว คือ
1. ปรากฏข้อเท็จจริงกรณี นายชัยสิทธิ์  ตราชูธรรม ประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) เปิดเผยว่า เงินที่ใช้ในโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ มีส่วนหนึ่งมาจากงบกลาง จำนวน 63.57 ล้านบาท  โดยผู้ที่รับผิดชอบในการสั่งจ่ายเงินคือ แผนกสั่งจ่ายงบประมาณ สำนักงานปลัดบัญชีกองทัพบก จึงเห็นได้ว่าโครงการอุทยานฯ ได้ใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งขัดแย้งกับคำชี้แจงของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่าโครงการอุทยานฯ ไม่ได้ใช้เงินงบประมาณแผ่นดินแต่อย่างใด  
2. ปรากฏข้อเท็จจริงว่า งบประมาณที่ได้รับการจัดสรรและดำเนินการก่อสร้าง มีราคาสูงผิดปกติ เช่น งานสร้างป้ายทางเข้า (ป้ายชื่อ) ใช้งบประมาณถึง 5,031,700 บาท งบประมาณสร้างอาคารรักษาความปลอดภัย 2,254,300 บาท งานก่อสร้างรั้วรอบบริเวณภายในอุทยานราชภักดิ์ ใช้งบประมาณถึง 9,343,500 บาท เป็นต้น
3. ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ศาลทหารได้ออกหมายจับที่ 33/2558 และ 35/2558 ลงวันที่ 9 พฤศจิกายน 2558 และที่ 47/2558 ลงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2558 ให้จับกุมดำเนินคดีกับพันเอกคชาชาติ บุญดีและพลตรีสุชาติ          พรมใหม่ สำหรับพลตรีสุชาตินั้นเป็นกรรมการและเลขานุการมูลนิธิราชภักดิ์ ซึ่งมีพลเอกอุดมเดช สีตบุตร เป็นประธานมูลนิธิฯ  อีกทั้งเคยทำหน้าที่นายทหารฝ่ายเสนาธิการของพลเอกอุดมเดชมาตั้งแต่ครั้งเป็นแม่ทัพกองทัพภาคที่ 1 จากนั้นได้รับการแต่งตั้งเป็น ผบ.ร.11 รอ.พล1 ซึ่งเป็นตำแหน่งทางการทหารคุมหน่วยรบที่สำคัญยิ่งของกองทัพบกและครั้นเมื่อพลเอกอุดมเดชกำลังจะเกษียณอายุ ก็ได้เลื่อนตำแหน่งให้กับพันเอกสุชาติ พรมใหม่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ อัตราพลตรี 
สำหรับพันเอกคชาชาติ บุญดีนั้น พลเอกอุดมเดชได้แต่งตั้งให้เป็น ผบ.กรมทหารพรานที่ 36 ทภ.3 และจากนั้นได้ย้ายให้มาดำรงตำแหน่ง ผบ.ป.11 รอ.ทภ.1 ซึ่งเป็นตำแหน่งทางการทหารที่มีความสำคัญในกองทัพบกเช่นกัน และสุดท้ายเมื่อพลเอกอุดมเดชใกล้เกษียณอายุ ก็ได้ออกคำสั่งเลื่อนพันเอกคชาชาติเป็นรองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 11 แต่เมื่อพลเอกธีรชัย นาควานิช มาดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ.ได้ยกเลิกคำสั่งพร้อมส่งตัวพันเอกคชาชาติ บุญดี กลับกองทัพภาคที่ 3 โดยเหตุนี้ทั้งพลตรีสุชาติ พรมใหม่และพันเอกคชาชาติ บุญดี จึงเป็นนายทหารที่มีความใกล้ชิดกับพลเอกอุดมเดช ทำหน้าที่ประหนึ่งนายทหารคนสนิท และได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่พิเศษต่างๆ มากมายนอกเหนือจากตำแหน่งทางทหารที่ดำรงตำแหน่งอยู่ เช่น โครงการอุทยานราชภักดิ์ที่พลตรีสุชาติถูกแต่งตั้งให้เป็นกรรมการและเลขานุการมูลนิธิราชภักดิ์ 
พรรคเพื่อไทยเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ปรากฏต่อสาธารณะเพิ่มเติมดังที่กล่าวมาในข้อ 1 ถึงข้อ 3 ชี้ให้เห็นว่าโครงการอุทยานฯ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของทางราชการ มีการทุจริตเกิดขึ้นอย่างชัดเจน การปฏิเสธความรับผิดชอบของผู้บังคับบัญชาในระดับชั้นต่างๆ โดยลำดับมา  จึงเป็นความบกพร่องและไม่รับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้น  

พรรคเพื่อไทยจึงมีข้อเรียกร้องดังต่อไปนี้
1) พลเอกอุดมเดช สีตบุตร ควรพิจารณาตัวเองด้วยการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ทั้งนี้เนื่องจากเมื่อพลตรีสุชาติและพันเอกคชาชาติถูกกล่าวหาว่ามีความผิดตามมาตรา 112 และ 113 ตลอดจนความผิดทางอาญาอื่นๆ พลเอกอุดมเดชจึงมีความมัวหมองอย่างยิ่งที่อาจจะถูกมองว่าเกี่ยวพันกับเรื่องต่างๆ ที่กำลังถูกกล่าวหาอยู่  พลเอกอุดมเดชในฐานะที่เคยดำรงตำแหน่ง ผบ.ร.21 และ ผบ.ทบ. และการเป็นราชองครักษ์ จึงย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าเพื่อความสง่างาม เพื่อดำรงศักดิ์ศรีของกองทัพบกและเพื่อรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพ  พลเอกอุดมเดชไม่อาจดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมได้อีกต่อไปแม้แต่น้อย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและอดีต ผบ.ทบ., พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ              รองนายกรัฐมนตรี  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและอดีต ผบ.ทบ.และพลเอกอุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมและอดีต ผบ.ทบ. จะต้องร่วมกันตัดสินใจเพื่อดำรงไว้ซึ่งความจงรักภักดีของกองทัพบก ที่มีต่อสถาบัน อย่างหาที่สุดมิได้ ให้จนได้
2) เมื่อปรากฏว่ามีการใช้งบกลางของรัฐบาล และรัฐบาลมีมติ ครม.มอบหมายให้กองทัพบกเป็นหน่วยงานรับผิดชอบ จึงมีความชัดเจนว่าโครงการอุทยานฯ อยู่ในความรับรู้เห็นชอบของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลมาตั้งแต่ต้น อีกทั้งยังมีข่าวภาพทางสื่อบ่งบอกว่า นายกรัฐมนตรีมีความสนิทสนมกับเซียนพระผู้รับจ้างถึงขนาดไปแสดงความยินดีเมื่อบุคคลนั้นได้รับเลือกตั้งเป็นนายก อบต.ในขณะที่ตนเองดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ.  สิ่งที่นายกรัฐมนตรีแสดงออกมาโดยตลอดเกี่ยวกับโครงการอุทยานราชภักดิ์ จึงสวนทางกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น มีพฤติกรรมปกปิด ปฏิเสธความรับผิดชอบ ในฐานะที่นายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งประธานกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติของ คสช.เช่นเดียวกับรัฐมนตรีว่าการและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม พรรคเพื่อไทยจึงเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีรับผิดชอบกับกรณีดังกล่าว ในฐานะที่รัฐบาลมีนโยบายสำคัญที่แถลงต่อสาธารณะว่า จะปกป้องสถาบันฯ และจะป้องกันปราบปรามการทุจริต
นอกจากนั้น รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งปวง จะต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อการกระทำที่เกิดขึ้น

3) เมื่อมีพฤติการณ์ว่ามีการทำผิดกฎหมายเกิดขึ้น มีการแสวงหาประโยชน์จากโครงการ ย่อมเป็นอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. , ส.ต.ง. , ส.ต.ช. , กรมสอบสวนคดีพิเศษ , ป.ป.ง. ที่จะต้องเข้ามาตรวจสอบโดยพลัน ทั้งนี้การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้มีคำสั่งให้ปลัดกระทรวงกลาโหม (พลเอกปรีชา จันทร์โอชา) แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ย่อมมีปัญหาในทางหลักการว่าจะเป็นการสอบสวนด้วยความโปร่งใส บริสุทธิ์ ยุติธรรม ปราศจากการแทรกแซงใดๆ และจะเป็นที่ยอมรับของสังคมหรือไม่ ที่ถูกต้องควรมอบหมายหน่วยงานที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบโดยตรงให้เข้ามาตรวจสอบ จึงจะมีความถูกต้องและเป็นที่ยอมรับได้มากกว่า


            พรรคเพื่อไทย
                  27 พฤศจิกายน 2558

ต้องพิสูจน์กันหน่อยแล้ว โกงจริง โกงไม่จริง จริงไม่โกง โกงแน่จริง

ต้องพิสูจน์กันหน่อยแล้ว โกงจริง โกงไม่จริง จริงไม่โกง โกงแน่จริง

เชิญร่วมขบวนรถไฟไปกับน้องๆนักศึกษา ทัศนาจร ชมอุทยานราชภักดิ์อันลือลั่น พร้อมกับ 7 โมงเช้า สถานีรถไฟธนบุรี บางกอกน้อย ค่ะ 



ต้องพิสูจน์กันหน่อยแล้ว โกงจริง โกงไม่จริง จริงไม่โกง โกงแน่จริง

ต้องพิสูจน์กันหน่อยแล้ว โกงจริง โกงไม่จริง จริงไม่โกง โกงแน่จริง

เชิญร่วมขบวนรถไฟไปกับน้องๆนักศึกษา ทัศนาจร ชมอุทยานราชภักดิ์อันลือลั่น พร้อมกับ 7 โมงเช้า สถานีรถไฟธนบุรี บางกอกน้อย ค่ะ 



"วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์"เล่าเบื้องหลังไทยสอบตกมาตรฐาน"ไอซีเอโอ"

"วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์"เล่าเบื้องหลังไทยสอบตกมาตรฐาน"ไอซีเอโอ"

วันที่ 02 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 08:45:25 น.

 http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1427936109





ปัญหาการตรวจสอบมาตรฐานกรมการบินพลเรือน ขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ หรือ "ไอซีเอโอ" ของประเทศไทยนั้น เริ่มส่งผลกระทบวงกว้างมากขึ้น โดยเบื้องต้นนั้นมีการควบคุมเที่ยวบินจากไทยไปญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ กระทั่งล่าสุด มีรายงานจากสำนักข่าวต่างประเทศ ระบุว่า จีนได้เป็นอีกประเทศหนึ่งที่ห้ามสายการบินไทย ประเภทเช่าเหมาลำ เพิ่มเที่ยวบินใหม่ไปยังจีน ขณะที่อีกหลายประเทศที่รับทราบเอกสารข้อมูลจากไอซีเอโอ ก็เริ่มตั้งข้อสังเกตต่อมาตรฐานการบินของกรมการบินพลเรือนของไทยด้วยเช่นกัน

ถ้าพฤติกรรมของมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์คือทุจริต อีกสองมูลนิธิที่จะกล่าวต่อไปนี้ มีพฤติกรรมปล้นประชาชน

ถ้าพฤติกรรมของมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์คือทุจริต อีกสองมูลนิธิที่จะกล่าวต่อไปนี้ มีพฤติกรรมปล้นประชาชน

มูลนิธิชัยพัฒนาก่อตั้งเมื่อ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2531 โดยมีภูมิพลดำรงตำแหน่งนายกมูลนิธิ สิรินธรดำรงตำแหน่งประธานบริหารมูลนิธิและนายสุเมธ ตันติเวชกุล เป็นเลขาธิการมูลนิธิ มูลนิธิชัยพัฒนาเป็นที่มาของ "โครงการอันสืบเนื่องมาจาก "พระราช ดำริ" ที่มีโครงการมากกว่าสี่พันโครงการ (โครงการปล้นกลางแดด) แต่ละโครงการมีพ่อค้า นักธุรกิจ คหบดีตลอดจนหน่วยงานราชการและองค์กรต่างๆทุกภาคส่วนเปิดรับบริ จาค เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัยที่ทำให้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของประเทศไทยกลายเป็นกษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลก ทุกโครงการจะได้รับยกเว้นการเสียภาษีและไม่มีใครตรวจสอบได้ ( โครงการที่คิดขึ้นมามากมายด้วยจุดประสงค์ในการหาปล้นเงินประชาชนให้ กษัตริย์)

ส่วนมูลนิธิรัฐบุรุษ มีเปรมเป็นประธาน ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2526 จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2535 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดครบ 6 รอบ มีบุคคลหลายวงการได้มอบเงินให้พล.อ.เปรม เพื่อตั้งกองทุนสำหรับเป็นรางวัลผู้กระทำความดี ซื่อสัตย์สุจริต และจงรักภักดีต่อแผ่นดิน พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเป็น"มูลนิธิรัฐบุรุษ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์" มูลนิธิแห่งนี้ก็ไม่เคยมีใครกล้าแตะต้องหรือตรวจสอบรายได้จากการบริจาคเช่น เดียวกับมูลนิธิชัยพัฒนา ต่างกันที่คนหนึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก แต่รายหลังมีรายได้มหาศาล จนสามารถสร้างความอื้อฉาวในการเลี้ยงเด็กหนุ่มมากหน้าหลายตาไว้สำหรับปรน เปรอ โดยเฉพาะหนุ่มนักร้องที่มีข่าวว่าจุนเจือไปนับพันล้านบาท นี่ล้วนแล้วแต่ผลงานความสัตย์ซื่อที่เปี่ยมด้วยคุณธรรมและจริยธรรมอันจอม ปลอมที่ไร้ยางอายของ "เปรม ทดแทนบุญคุณแผ่นดิน"

ถ้าหากมีการกล่าวหาว่าโครงการของมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์มีการทุจริต โกงกินเงินส่วนต่างของการก่อสร้างแต่อย่างน้อยที่สุดก็ยังมีสิ่งปลูกสร้าง ให้ได้เห็นอยู่บ้าง และก็ยังได้ชื่อว่าเป็นสมบัติของชาติของประชาชน เพียงแต่เป็นสิ่งปลูกสร้างที่มีราคาแพงเกินจริง ซึ่งเทียบกันไม่ได้เลยกับมูลนิธิชัยพัฒนาของภูมิพลและมูลนิธิรัฐบุรุษ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เพราะมูลนิธิปล้นประชาชนทั้งสองนี้ ไม่มีสิ่งใดที่จะเหลือให้ประชาชนได้เห็น นอกจากประธานมูลนิธิหนึ่งได้ชื่อว่า "เป็นกษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก" และประธานอีกมูลนิธิหนึ่ง ได้ชื่อว่าร่ำรวยล้นฟ้ามีเงินปรนเปรอชายหนุ่มมากหน้าหลายตาที่ฟุ่มเฟือย ที่สุดในโลก.....พี่น้อง คนไทยที่รัก ผมว่าความผิดของมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์มีความเลวอยู่บ้าง แต่คงไม่ถึงขั้นระยำเท่ากับมูลนิธิปล้นประชาชนทั้งสองอย่างแน่นอนครับ(โปรด ติดตามการทุจริตโกงกินที่ทำร้ายจิตใจคนไทยที่สุดในตอนต่อไป)

สมาพันธ์ตรวจสอบรัฐไทย แจ้งจับทูต US กรณีวิจารณ์ ม.112 ด้าน นปช. ยื่นหนังสือเรียกร้องรัฐบาลหยุดคุกคามและยุยงปลุกปั่นประชาชน

สมาพันธ์ตรวจสอบรัฐไทย แจ้งจับทูต US กรณีวิจารณ์ ม.112 ด้าน นปช. ยื่นหนังสือเรียกร้องรัฐบาลหยุดคุกคามและยุยงปลุกปั่นประชาชน

ที่กองบังคับการปราบปราม นายสนธิยา สวัสดี ตัวแทนสมาพันธ์ตรวจสอบรัฐไทย ยื่นหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษนายกลิน ทาวน์เซนด์ เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทย กรณีแสดงความเห็นวิจารณ์กฎหมายอาญามาตรา 112

หนังสือดังกล่าวมุ่งหมายให้พนักงานสอบสวนถอดเทปถ้อยแถลงดังกล่าว พร้อมตรวจสอบความบริสุทธิ์ใจของผู้จัดการ โดยหากมูลความผิดตามบทบัญญัติกฎหมายอาญามาตรา 112 ขอให้เจ้าหน้าที่ดำเนินคดีต่อไป
 
ก่อนหน้านี้เอกอัครราชทูตสหรัฐฯได้แสดงความกังวลต่อบัญญัติดังกล่าว พร้อมยืนยัน การแสดงความคิดเห็นอย่างสันติไม่ควรถูกจำคุก ต่อมาประชาชนจำนวนหนึ่งนำโดยพระพุทธอิสระ เข้ายื่นหนังสือคัดค้านท่าทีดังกล่าว

อีกด้านหนึ่งแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. เข้ายื่นหนังสือเรียกร้องรัฐบาลยุติคุกคามแกนนำ นปช. และประชาชนทั่วไป ยืนยันการกระทำดังกล่าวไม่มีความชอบธรรม ขัดรัฐธรรมนูญ เรียกร้องขอผ่อนคลายท่าที
 
ขณะที่พลตรีสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า รัฐบาลมุ่งมั่นสร้างความสงบเรียบร้อย และเสถียรภาพ และให้สิทธิเสรีภาพต่อประชาชนอย่างเสมอภาค หากไม่กระทบต่อส่วนร่วม

นอกจากนี้รัฐบาลไม่สามารถให้คนบางกลุ่มมีอิสระที่จะสร้างความวุ่นวาย ปั่นป่วน ปลุกระดม อันจะเกิดความไม่สงบในประเทศได้ พร้อมเรียกร้องนปช. คิดถึงประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก