PPD's Official Website

Showing posts with label คสช.. Show all posts
Showing posts with label คสช.. Show all posts

Thursday, April 9, 2015

"ไกรศักดิ์"ไม่ปลื้ม"พล.อ.ประยุทธ์"วอนให้อยู่กับโลกยุคใหม่ (เครดิต จอม เพชรประดับ)

Published on Apr 9, 2015 นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ที่ปรึกษาอนุกรรมการสิทธิพลเมืองและสิทธิท­างการเมือง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ Thaivoicemedia ถึงการบังคับใช้ ม.44 ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ที่ให้ อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดกับ หัวหน้าคสช.ว่า เป็นห่วงว่าจะเกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย­่างรุนแรงมากขึ้น แม้ว่า ทหาร เข้ามาเพื่อแก้ัปัญหาความขัดแย้งทางการเมื­อง แต่สิทธิพลเมืองในการดำเนินชีวิต การประกอบอาชีพ ก็ถูกละเมิดไปด้วย เหตุนี้ทำให้ นานาชาติถึงกดดันและไม่ยอมรับ แม้ว่าส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการลอบบี้ แต่หลัก ๆ แล้วมาจากการใช้อำนาจเผด็จการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เองมากกว่า รวมทั้งท่าทีที่มักใช้อารมณ์อยู่ตลอดเวลา ขณะเดียวกัน ไม่เห็นด้วย ที่จะให้ผู้ต้องหา คดี 112 ขึ้นศาลทหาร เพราะเป็นเพียงการแสดงความคิดเห็น ไม่ใช่การก่อการร้าย และทำให้สถาบันกษัตริย์มัวหมองมากขึ้น ส่วนเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญ ก็ไม่เปิดกว้างให้ประชาชนมีส่วนร่วมหลากหล­าย อาจจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต สุดท้ายจะทำให้ระบบราชการเข้มแข็ง นำไปสู่การร่วมมือกับนายทุนใหญ่เอาเปรียบป­ระชาชนมากขึ้นได้ ซึ่งคงจะต้องมีการเรียกร้องต่อสู่กันต่อไป

Wednesday, April 8, 2015

เบื้องหลัง 10 เมษาฯ ถล่ม “บูรพาพยัคฆ์” ฆาตกรมือเปื้อนเลือดที่กุมอำนาจเบ็ดเสร็จวันนี้ (มติชนสุดฯ)

เบื้องหลัง 10 เมษาฯ ถล่ม “บูรพาพยัคฆ์”  (ขอบคุณ มติชนสุดฯ)
หลัง ความพ่ายแพ้ ทั้งที่สถานีดาวเทียมไทยคม ลาดหลุมแก้ว เมื่อ 9 เมษายน และโดยเฉพาะเหตุนองเลือด 10 เมษายน 2553 ที่แยกคอกวัวและถนนดินสอ สถานภาพที่แท้จริงของกองทัพไทยก็ปรากฏโดยพลัน พร้อมๆ กับบทเรียนและบาดแผลจากสงคราม
ชื่อของบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. กับเพื่อนรัก บิ๊กหนุ่ย พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รอง เสธ.ทบ. กลับถูกวิพากษ์ลั่นกองทัพ แม้ว่าจะทำเพื่อความสงบสุขของบ้านเมืองก็ตาม
ด้วยรู้กันว่าก่อนหน้า นั้นบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. แม้จะไม่ได้เป็น “ทหารแตงโม” แต่ก็ใส่เกียร์ว่าง รักษาเนื้อรักษาตัวกลัวเป็น ผบ.ทบ. มือเปื้อนเลือด จึงปล่อยให้ พล.อ.ประยุทธ์ น้องรัก ใส่เกียร์ 5 เดินหน้าเต็มตัว ประหนึ่งเป็น ผบ.ทบ. โดยมี พล.ท.ดาว์พงษ์ ประหนึ่งเป็น เสธ.ทบ. ราวกับเตรียมฝึกงานไว้ก่อน
การเสียหน้าเสียฟอร์ม เสียศักดิ์ศรี ที่ทหารพร้อมใจกันแตกทัพ ถูกคนเสื้อแดงต้อนหนีออกทุ่งนา ไม่ว่าจะเพราะเป็นแตงโม หรือไม่กล้าใช้ความรุนแรง กลัวต้องรับผิดชอบหรือสร้างเงื่อนไข ก็ตาม รวมทั้งความคาดหวังหลังจากที่รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ว่าต้องจัดการเด็ดขาด พร้อมทั้ง “คำสั่งพิเศษ” ที่ว่า “ให้จบก่อนสงกรานต์ที่กดดันทั้งรัฐบาลและกองทัพ
ทำ ให้ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.ท.ดาว์พงษ์ ไม่รีรอที่จะใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้า ที่บังคับให้เรียกอย่างสวยหรูว่า “ขอคืนพื้นที่” หลังจากที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการศูนย์แก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ผอ.ศอฉ.) ต้องการให้ทำมานานแล้ว
แต่ยุทธการ “ยึดผ่านฟ้า” กลับเริ่มต้นตอนบ่ายโมงเศษๆ โดยฉวยโอกาสเมื่อคนเสื้อแดงบุกไล่ทหารที่กองทัพภาค 1 เพราะกลัวว่าจะมาสลายการชุมนุม จึงมีเวลาปฏิบัติการแค่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนพลบค่ำ ซึ่งตามหลักนิยมทหารแล้วจะหลีกเลี่ยงเพราะควรจะเป็นช่วงก่อนรุ่งสางมากกว่า เลือกเวลาที่ม็อบอ่อนล้าอ่อนเพลีย หรือลดจำนวนน้อยลง แถมมีเวลาปฏิบัติการได้ทั้งวันหากจะปิดเกม
ทั้งๆ ที่เพลี่ยงพล้ำก็ควรจะหยุดเพื่อตั้งหลักตามยุทธวิธี แต่อาจด้วยเพราะ “อารมณ์” กลับมีคำสั่งให้เสริมกำลังทหารพร้อมเสียงกรอกใส่โทรศัพท์ว่า “ต้องให้จบในคืนนี้” ทั้งๆ ที่ปฏิบัติการทางทหารต้องใช้สถานการณ์เป็นตัวตัดสิน ต้องค่อยๆ ก้าวอย่างมีกลยุทธ์ ไม่เร่งรัดหรือขีดเส้นเวลา ที่สำคัญ ต้องไม่ให้ปัจจัยการเมืองมาแทรกแซงปฏิบัติการทางทหาร
งานนี้ บรรดาทหาร “วงศ์เทวัญ” จากกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล. 1 รอ.) รับผิดชอบวงนอก ตั้งแต่พระราชวังจิตรลดาฯ ตามถนนราชดำเนิน ไปสู่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ที่มีการปะทะกับคนเสื้อแดง แต่ก็แค่ใช้รถฉีดน้ำ แก๊สน้ำตา และกระสุนยาง
แม้จะ “หัว เสธ.” แค่ไหน แต่ก็จบจากโรงเรียนเดียวกัน เรียนตำราเล่มเดียวกันมา เมื่อกองทัพต้องใช้แผน “ล้อมปราบ” ด้วยการใช้ “ทหารป่า” อย่างกองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) กาญจนบุรี บุกมาทางฝั่งธนบุรี สะพานพระปิ่นเกล้า ส่วนกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) อันโด่งดังในชื่อ “บูรพาพยัคฆ์” ออกจากทั้งที่รวมพลที่กองทัพภาค 1 และ บก.ทบ. เดินหน้าลุยเข้าถนนดินสอ หน้า ร.ร.สตรีวิทยา และแยกไปทางวัดบวรนิเวศน์ฯ บางลำพู เข้าถนนตะนาว ข้าวสาร และแยกคอกวัว
โดยมีกำลังเสริมจาก กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) มาเสริม โดยเฉพาะรถสายพานลำเลียงพล แบบที-85 จากจีน รวม 9 คัน เพื่อหวังเป็นด่านหน้าในการบุกตะลุย และเป็นเกราะกำบังภัยให้ทหาร เพื่อไป “รวมกันตี” ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แล้วบุกเข้ายึดผ่านฟ้า พร้อมกับกำลังจาก พล.1 รอ. ที่จะบุกมาจากทางแยก จปร.
ในเมื่อฝั่ง ฝ่ายเสื้อแดงก็มีทั้งทหารเก่าทหารแก่ และทหารแตงโมที่เชี่ยวการศึก วางกลยุทธ์ให้ และใช้ข้ออ้าง เมื่อมีกระสุนจากปืนสไนป์เปอร์จากตึกสูงพุ่งเข้าหัวคนเสื้อแดงแตกกระจุย ทั้งเอ็ม 67 และเอ็ม 79 ก็ระดมใส่ทหาร ผ่านฟ้าลีลาศ จึงไม่กลายเป็น “เทียนอันเหมิน” อย่างเช่นที่ทหารจีนใช้รถถังและอาวุธกระสุนจริงปราบปรามนักศึกษาและประชาชน ที่เรียกร้องประชาธิปไตย ในห้วงเวลาเดียวกันนี้ของเมื่อ 21 ปีก่อน
โดย ลูกแรก หมายเด็ดหัวแม่ทัพนายกอง หยอดใส่วงประชุมจัดกำลังของบิ๊กอู๊ด พล.ต.วลิต โรจนภักดี ผบ.พล.ร.2 รอ. ที่กำลังถกกับผู้บังคับการกรม ผู้บังคับกองพัน ทั้งเหล่าบูรพาพยัคฆ์ ทหารม้า และทหารรบพิเศษ 2 ลูกติดกัน จนทัพระส่ำแตกพ่าย เอารถสายพานฯ หนีได้แค่ 3 คัน ที่เหลือถูกยึด รวมทั้งทหารประจำรถและอาวุธต่างๆ เมื่อถอยร่นกันอุตลุต หิ้วลากร่างทหารทั้งที่ไร้วิญญาณและบ้างโชกเลือด ไม่ต่างจากคนเสื้อแดง
การ สูญเสียของทั้งสองฝ่าย ยิ่งสำหรับทหารแล้ว ถือว่าที่เสียชีวิต 6 คน บาดเจ็บอีก 230 คน สาหัส 90 คนนั้น มากกว่าสงครามครั้งใดเลยด้วยซ้ำ แถมนายทหารสัญญาบัตรสายเลือดเตรียมทหาร จปร. ทั้งตายและเจ็บ ที่สำคัญล้วนเป็น “ทหารเสือราชินี” ทั้งสิ้น โดยเฉพาะ เสธ.เปา พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รอง เสธ.พล.ร.2 รอ. เป็นศพแรก
ส่วน พล.ต.วลิต ขาซ้ายแตกหัก 3 ท่อน ที่ต้องดามเหล็ก ไม่นับแผลตามร่าง พ.ท.เกรียงศักดิ์ นันทโพธิเดช ผบ.ร.12 พัน 2 รอ. ที่สะเก็ดเอ็ม 79 ฝังในศีรษะเจาะสมอง แม้จะพ้นขีดอันตรายแต่ก็ไม่มีวันกลับมาเป็นผู้พันไก่คนเดิม พ.อ.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ ผบ.ร.21 รอ.หน่วยทหารเสือราชินี ก็ถูกสะเก็ดฝังที่ต้นขา พ.ท.นพสิทธิ์ สิทธิพงษ์โสภณ ผบ.ม.พัน 3 รอ. ที่จู่ๆ ต้องมีสะเก็ดเอ็ม 79 ฝังอยู่ในขาทั้งสองข้าง โดยหมอไม่ผ่าออก เพราะเกรงกระทบเส้นประสาทกล้ามเนื้อ ไม่นับรวมระดับรองผู้การกรม ผู้พัน และรองผู้พัน ที่ล้วนเป็น จปร. อีกหลายคน
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเป็นการส่วนพระองค์เพื่อเยี่ยมบรรดาทหารเสือราชินี ที่ล้วนเคยถวายงาน ถึงที่ ร.พ.พระมงกุฎเกล้าฯ รวมทั้งพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ พ.อ.ร่มเกล้า ด้วยพระองค์เอง
การศึกนี้ นอกจากแพ้พ่ายแล้ว ยังเสียขุนพล และเสียทหารไป 1 กองพล คือ พล.ร.2 รอ. ที่ต้องเรียกว่า “ละลาย” ไปเลย เพราะในจำนวนทหารที่บาดเจ็บกว่า 200 คนนั้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นบูรพาพยัคฆ์
จึง ไม่แปลกที่ พล.ต.วลิต จะรู้ตัวว่า ถูกหมายหัว เพราะมีการชี้เป้า ก่อนที่กองกำลังไม่ทราบฝ่ายจะหยอดเอ็ม 79 ลงตรงพอดี แถมทั้งบรรดานายทหารที่แต่งกายต่างจากกำลังพลไปยืนรวมเป็นจุดใหญ่ ทั้งๆ ที่มีรถสายพานเป็นเกราะอยู่ จึงเป็นเสมือนการล้างแค้นที่ พล.ร.2 รอ. เคยปราบปรามเสื้อแดง ที่สามเหลี่ยมดินแดงเมื่อสงกรานต์ปีที่แล้ว จนได้รับยกย่องจาก ทบ. ไว้ด้วยนั่นเอง ไม่นับรวมความโดดเด่นของหน่วย ที่ในยุค 3 ป.นี้ถือเป็นยุคทอง ที่ทหารหน้าไหนก็พากันหมั่นไส้ จึงอาจเป็นการส่งสัญญาณเตือนไปยัง บูรพาพยัคฆ์ พร้อมกันนั้นก็เป็นบทเรียนของสิงห์ตะวันออก ทั้งน้อยใหญ่ รวมทั้ง ป้อม – ป๊อก – ประยุทธ์ ด้วยนั่นเอง
บทเรียน 10 เมษายน ทำให้เกิดการเรียกขาน พล.ท.ดาว์พงษ์ เป็น “แม่ทัพภาคศูนย์” เพราะสั่งการโดยตรงยัง ผบ.หน่วยคุมกำลังด้วยตัวเอง บางครั้งไม่ผ่านบิ๊กอ๊อด พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาค 1 ด้วยซ้ำ ที่อาจเป็นเพราะเคยพลาดหวังจากเก้าอี้แม่ทัพภาค 1 มาก่อน ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสได้แสดงฝีมือ แถมทั้งไม่วางใจใคร จนถึงขั้นที่ต้องสวมบท “จ่า” ลงไปยืนจี้ชี้สั่งการนายสิบ พลทหาร ในพื้นที่เองเลยทีเดียว เพราะมีดาบอาญาสิทธิ์ จาก พล.อ.ประยุทธ์
จึง เกิดการจับคู่ ทหารวงศ์เทวัญกับบูรพาพยัคฆ์ เกิดขึ้น ด้วย พล.ท.ดาว์พงษ์ เติบโตจาก ร.11 รอ. และในพล.1 รอ. ส่วน พล.ท.คณิต รุ่นน้อง ตท.13 โตมาจาก พล.ร.2 รอ. แถมต้องมาชิงเก้าอี้ห้าเสือ ทบ. และเป็นที่ไว้วางใจของ พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อขึ้นเป็น ผบ.ทบ.
งานนี้ เตรียมทหาร 12 ของ พล.อ.ประยุทธ์ ประธานรุ่น หมายจะโชว์ศักยภาพการขึ้นเป็นผู้คุมกองทัพในยุคต่อไป จึงทำงานกันแค่ไม่กี่คน เช่น บิ๊กเต่า พล.ท.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ผช.เสธ.ทบ.ฝ่ายกิจการพลเรือน บิ๊กหน่อย พล.ต.จิระเดช สิทธิประณีต เลขานุการ ทบ. และใช้ทหารรบพิเศษหน่วยเฉพาะกิจ 90 (ฉก.90) ของ พล.ท.โปฎก บุนนาค ผบ.นสศ. และแท็กทีมกับ พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบชน. เพื่อนสีกากี
ทั้ง จะเห็นได้ว่า ศึกแดงเดือดครั้งนี้ มีการใช้ “ทหารม้า” มากเป็นพิเศษ ที่นอกจากเพราะมีบิ๊กอ้อ พล.ต.วิลาศ อรุณศรี รองแม่ทัพน้อยที่ 1 คุม ในฐานะที่เป็นพี่เลิฟของบิ๊กฟิ้งค์ พล.ต.สุรศักดิ์ บุญศิริ ผบ.พล.ม.2 รอ. เพราะไปอยู่ชายแดนภาคเหนือมาด้วยกันแล้ว ยังมีแนวคิดกลยุทธ์การรบแบบสงคราม “วอเตอร์ลู” (Waterloo) ร่วมด้วย
แต่ดูเหมือนจะเป็น “วอเตอร์ลู” ของทหารในฝ่ายเสื้อแดงด้วย เพราะนอกจากจะเป็นสงครามกลางเมืองแล้ว ยังจะเป็น “สงครามครั้งสุดท้าย” ของนโปเลียนด้วย แต่ยุทธการดับแดงเดือดนี้ ยังไม่รู้ว่าจะเป็นสงครามครั้งสุดท้ายของฝ่ายใดเท่านั้น เพราะทหารสีแดงก็ระดมการต่อสู้ทุกหนทาง แม้แต่ต้องก่อศึกสายเลือดฆ่าฟันกันเอง เมื่อสงครามยังไม่จบ ก็อย่าเพิ่งนับศพทหารหรือประชาชน
ยิ่งเมื่อกลุ่มเสื้อแดง ทิ้งผ่านฟ้าฯ แล้วคงยึดแยกราชประสงค์ไว้เป็นฐานที่มั่นเดียวไว้อยู่ และยังไม่เห็นทางออกที่จะไม่ให้เกิดการเจ็บตายขึ้นอีก
แม้ว่า นายอภิสิทธิ์จะกล้าเล่นกับไฟ ด้วยการตั้ง พล.อ.อนุพงษ์ เป็นหัวหน้าส่วนราชการในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือที่ภาษาทหารเรียกกันว่า “ผู้บัญชาการเหตุการณ์” แทนนายสุเทพ เพื่อที่จะ “แก้เผ็ด” การที่ พล.อ.อนุพงษ์ ลอยตัว ไม่เต็มที่ เพื่อประคองตนให้เกษียณแบบมือไม่เปื้อนเลือดและไม่มีคดีความติดตัว
ความ เป็น “เด็กดื้อ” ของ นายอภิสิทธิ์ ประกอบกับความมั่นใจใน “กองหนุน” ที่มีหลายระดับ ทำให้เขากล้าที่จะเอ่ยปากเหน็บแนมทหาร ที่บิ๊กๆ ฟังแล้วไม่สบายใจ ทั้ง “เจ้าหน้าที่ไม่มีสิทธิ์ท้อแท้” หรือ “หากไม่ทำ ไม่ใช่ว่ารัฐบาลอ่อนแอ แต่เป็นการสะท้อนความอ่อนแอของรัฐและความมั่นคงของประเทศ”
ครั้ง หนึ่งก่อนหน้า 10 เมษายน พล.อ.อนุพงษ์ เคยปฏิเสธข้อเสนอของ นายอภิสิทธิ์ ที่ให้ยึดพื้นที่ราชประสงค์คืน ว่า “ทำไม่ได้ เพราะจะเกิดการสูญเสียทั้งเศรษฐกิจ ทรัพย์สิน และชีวิตของทั้งสองฝ่าย” แต่เห็นว่าการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง ไม่ใช่แก้ด้วยการทหาร
หลัง 10 เมษายน พล.อ.อนุพงษ์ ถึงขั้นให้สัมภาษณ์ว่า “การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง” พร้อมเสนอให้ยุบสภา พร้อมทั้งยืนกรานว่า ทหารไม่ได้ “หน่อมแน้ม อ่อนแอ หรือเกียร์ว่าง” แต่ “ประเสริฐสุดยอด” ที่ไม่ยิงประชาชน
จะว่าไปแล้ว พล.อ.อนุพงษ์ เองก็ไม่ได้เกียร์ว่าง เพราะ 10 เมษายน เขาเป็นผู้บัญชาการศึกด้วยตนเอง เป็นแม่ทัพเสียเอง แม้พื้นที่วงในจะใช้กำลังจาก พล.ร.2 รอ., พล.ร.9 และ พล.ม.2 รอ. แต่ พล.อ.อนุพงษ์ ก็สั่งการตรงไปถึงผู้บังคับการกรมเองด้วยซ้ำ พล.อ.อนุพงษ์ เผยเองว่า พ.อ.กู้เกียรติ ศรีนาคา ผบ.ร.2 รอ. โทรศัพท์มาขอถอนกำลังเพราะถูกระเบิดโจมตีทหารเจ็บหนักกว่า 30 คน โดยตนให้ถอยมาที่ สิบสามห้าง บางลำพูก่อน แต่ก็โดนระเบิดตามมาอีก จนต้องมายังสโมสร ทบ. เทเวศร์
รวมทั้งการขึ้น ฮ. บินดูสถานที่และจำนวนผู้ชุมนุมด้วยตนเอง แนวคิดการใช้ ฮ. แจกใบปลิว หรือการใช้ ฮ. โปรยแก๊สน้ำตาลงหน้าเวทีผ่านฟ้า ที่ก็แห้ว แถมทหารยศพันเอกถูกยิง ฮ. ทะลุเท้าเสียอีก แม้แต่การให้กำลังทหารแยกกันเดินเข้าถนนเล็กๆ หลายสาย ที่เป็นรูปตัว S น่าจะช่วยเป็นเกราะกำบังทหารเวลาบุกได้ ก่อนรวมกันตี
“ข่าวที่ออกมา เหมือนผมขัดแย้งกับพี่ป๊อก ว่าพี่ป๊อกไม่เอา ผมเอา ทั้งๆ ที่ความจริง มีอะไรก็ปรึกษาหารือกันตลอด แต่การตัดสินใจและสั่งการ เขาเป็นนาย เขาเป็นคนรับผิดชอบ” พล.อ.ประยุทธ์ แจงสั้นๆ
แต่ท่าทีโดยภาพรวมของ พล.อ.อนุพงษ์ ที่ปรากฏ ยิ่งเมื่อเสนอให้ยุบสภานั้น ก่อให้เกิดความไม่พอใจในหมู่คนรักอภิสิทธิ์ คนสีเหลือง แม้แต่ นายสุเทพ เอง ที่เคยสนิทสนมก็เริ่มมองหน้ากันไม่สนิทใจ โดยเฉพาะแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถึงขั้นเชียร์ให้ นายอภิสิทธิ์ ปลด ผบ.ทบ. แล้วตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ทหารเสือราชินีตัวพ่อ ที่กล้าได้กล้าเสียและพร้อมลุย ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.เลย แต่ นายอภิสิทธิ์ รู้ดีว่าไม่ใช่เรื่องง่าย และอะไรจะเกิดขึ้นหากทำเช่นนั้น
แต่วิธีของนายอภิสิทธิ์ก็คือ การตั้ง พล.อ.อนุพงษ์ ให้มาร่วมรับผิดชอบอย่างเต็มตัว ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบฯ อันเป็นการมัดมือชกหรือบังคับไม่ให้หนีปัญหาอีกต่อไป จากเดิมที่เป็น ผช.ผอ.ศอฉ. เท่านั้น จนร่ำลือกันว่าหาก พล.อ.อนุพงษ์ ยังนิ่งเฉย หรือกล้าๆ กลัวๆ รัฐบาลก็จะหาเหตุในการปลด แล้วตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ รับผิดชอบแทน เพื่อที่จะล้อมปราบเสื้อแดงให้ราบคาบ
แรงกดดันจากสังคม รวมทั้งเล็งเห็นแล้วว่าต่อให้มีประชาชนหรือทหารเสียชีวิต ก็ไม่เห็นว่ารัฐบาลต้องรับผิดชอบอะไร แถมมีทางออกด้วยการโยนและประโคมข่าวให้เป็น “กลุ่มก่อการร้าย” กองกำลังติดอาวุธ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้ทหารในการยิงเพื่อป้องกันตัวเอง หรือคุ้มกันในการถอนตัว ทำให้ พล.อ.อนุพงษ์ กล้าที่จะสั่งทหารจาก 3 กองพล คือทั้ง พล.1 รอ., พล.ม.2 รอ. และ พล.ร.9 พร้อมอาวุธครบมือเข้ายึดสีลมก่อนที่เสื้อแดงจะบุก
ถึงขั้นที่ เสธ.ไก่อู พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. ได้ปลดปล่อยความรู้สึกด้วยการลั่นขู่ปะทะ และทหารได้ไฟเขียวให้ใช้อาวุธจริงได้ เพื่อป้องกันตัวเอง หรือหยุดยั้งผู้ชุมนุมตามสมควรแก่เหตุ ซึ่งถือเป็นการเปิดช่องให้ยิงได้เต็มที่ จนแกนนำเสื้อแดงเปลี่ยนแผนไม่บุกยึดสีลม เพราะนาทีนี้ หากสั่งทหารไปพร้อมโล่ กระบอง แก๊สน้ำตา ไม่มีใครไปแล้ว ต้องกระสุนจริงเท่านั้น


จุดยืนของ พล.อ.อนุพงษ์ก็คือ หากเสื้อแดงก่อเหตุป่วนเมืองหรือไปยึดสถานที่อื่น หรือแม้แต่ ร.11 รอ. ฐานบัญชาการ ศอฉ. รัฐบาลและกองทัพก็คงยอมไม่ได้ ต้องประกาศกฏอัยการศึก ปะทะ ตายเจ็บต้องมี แต่หากเสื้อแดงยังคงชุมนุมโดยสงบที่แยกราชประสงค์ ทหารก็จะไม่เข้าสลาย เพราะฝ่ายทหารสีแดงคงตั้งรับเต็มที่ แถมมีอาวุธปืนหลายแบบที่ยึดไปจากทหารมากกว่า 60 กระบอก แม้แต่ปืน Tavor ใหม่เอี่ยมจากอิสราเอล ที่ ทบ. ซื้อมาใช้แทนปืนเอ็ม 16 จึงอาจเกิดการสูญเสียทั้งสองฝ่าย แต่จะจัดการกับกองกำลังติดอาวุธ กลุ่มก่อการร้าย และดำเนินคดีตามกฎหมายกับแกนนำที่ออกหมายจับ ทั้งแบบบนดินและใต้ดิน
บทเรียน 10 เมษายน ทำให้วันนี้ทหารที่ออกปฏิบัติหน้าที่ทุกคนต้องพกอาวุธ มีปืนเอ็ม 16 ติดตัวตามปกติ แถมมีการแจกจ่ายปืนลูกซองและกระสุนจริงไว้สลายม็อบ แทนแก๊สน้ำตาหรือกระสุนยาง ยกเลิกกฎการใช้กำลัง 7 ขั้น ที่หนักกว่านั้นคือ ทหารมีทั้งกระสุน “ลูก 9″ ที่ยิง 9 นัด จะแตกออกเป็น 9 ลูก และ “ลูก 70″ ที่จะแตกออกไป 70 ลูกเล็กๆ ที่สามารถหยุดม็อบแดงให้ร่วงผล็อยได้คราวละมากๆ เลยทีเดียว รวมทั้งการส่งพลซุ่มยิง หรือสไนป์เปอร์ ไปอยู่ตามตึกสูง เพื่อป้องกันกลุ่มก่อการร้ายขึ้นไปยึดพื้นที่รอจังหวะยิงทหารหรือสร้าง สถานการณ์ ทั้งยังปรับกลยุทธ์ด้วยการใช้ทหารนอกเครื่องแบบ พร้อมเข้าปฏิบัติการ
ส่วนนายทหาร ผบ.หน่วย หรือสัญญาบัตร ก็ต้องแต่งตัวให้กลมกลืนกับทหาร สวมเสื้อเกราะและหมวกเหล็ก ราวทำสงครามใหญ่ และปกปิดตัวเอง ไม่ให้ออกสื่อมาก จนคนจำหน้าได้ อันเป็นบทเรียนจากบูรพาพยัคฆ์
หากไม่มี “สัญญาณพิเศษ” หรือคำสั่งพิเศษมายัง พล.อ.อนุพงษ์ เขาก็จะประคองสถานการณ์ไปเรื่อยๆ เพื่อรอให้การเมืองแก้ปัญหากันเอง หรือให้สถานการณ์คลี่คลายด้วยตัวของมันเอง หรือบางทีม็อบสีเหลืองอาจเป็นทางออกในที่สุด เพราะหากต้องยึดพื้นที่ราชประสงค์คืนนั้น ทุกฝ่ายคาดการณ์ว่าต้องมีตายเป็นหลักร้อยหรือหลักพัน บาดเจ็บนับไม่ถ้วน ไม่ต่างจากเหตุนองเลือดที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน แล้วชื่อของ พล.อ.อนุพงษ์ ก็จะถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ที่ดำมืด และเป็น “ตราบาป” ไปตลอดชีวิต
นักการเมืองมาเป็นรัฐบาล ครองอำนาจอย่างมาก 4 ปี แล้วก็ไป แต่ทหาร หากมือต้องเปื้อนเลือด กองทัพจะอยู่อย่างไร นอกเสียจากเป็นจำเลยของสังคม
จึง ไม่แปลกที่จะเกิดข่าวลือ การปฏิวัติรัฐประหาร มาเป็นทางออกสุดท้าย ในเมื่อคำพูดของ ผบ.ทบ. ที่ให้การเมืองแก้ด้วยการเมือง ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้รับการตอบสนอง รัฐบาลคิดแต่จะโยนความรับผิดชอบภาระที่หนักอึ้งมาให้กองทัพ คิดแต่จะแก้ปัญหาการเมืองด้วยการทหาร โดยไม่สนใจว่านายทหารหรือพลทหาร จะตายอีกกี่คน เพราะทหารไม่อาจนั่งบัญชาการจากห้องแอร์ได้อย่างนักการเมือง แต่ต้องลงไปเสี่ยงกับลูกน้องด้วย หรือไม่สนใจว่าเสื้อแดงจะตายอีกกี่คน เพราะไม่ได้มองว่าเป็นประชาชน แต่ทว่าเป็นหนามยอกอก ด้วยการประโคมเรื่อง การก่อการร้ายมาเป็นข้ออ้างในการปราบปราม
“ชัยชนะบนซากศพของประชาชน มันช่างเป็นชัยชนะที่น่าเศร้าใจจริงๆ” บทเรียนแห่ง วอเตอร์ลู หรือ เทียนอันเหมิน มีอยู่แล้ว

โลกทั้งใบ จึงขึ้นอยู่กับ “นาย” คนเดียว พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา


เบื้องหลัง 10 เมษาฯ ถล่ม “บูรพาพยัคฆ์” ฆาตกรมือเปื้อนเลือดที่กุมอำนาจเบ็ดเสร็จวันนี้  (มติชนสุดฯ)

Monday, April 6, 2015

อีกครั้ง มาตรา 44 ตามคำสั่งโจร คสช. 3/2558 เลวร้ายแค่ไหน


อีกครั้ง มาตรา 44 ตามคำสั่งโจร คสช. 3/2558 เลวร้ายแค่ไหน


คำสั่ง คสช.3/2558 ให้นายทหารชั้นสัญญาบัตร เป็น “เจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย" สรุปภาพรวมเบื้องต้นดังนี้

-มีอำนาจดำเนินการป้องกันปราบปราบความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการฯ ตาม ม. ๑๐๗ ถึงม. ๑๑๒ ตาม ป.อาญา

-มีอำนาจดำเนินการป้องกันปราบปราบความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร ตามมาตรา ๑๑๓ ถึงมาตรา ๑๑๘ แห่งประมวลกฎหมายอาญา

-มีอำนาจดำเนินการป้องกันปราบปราบความผิดตามกฎหมายว่าด้วยอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน

-มีอำนาจดำเนินการป้องกันปราบปราบความผิดอันเป็นการฝ่าฝืนประกาศหรือคำสั่ง คสช. หรือคำสั่งหัวหน้า คสช.

-มีอำนาจออกคำสั่งเรียกให้บุคคลมารายงาน ตัวจับกุมตัวบุคคลที่กระทำความผิดซึ่งหน้า และควบคุมตัวผู้ถูกจับนำส่งตำรวจ

-มีอำนาจช่วยเหลือ สนับสนุน หรือเข้าร่วมในการสอบสวนกับตำรวจ ในการเข้าร่วมให้ถือว่าทหารเป็นพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

- มีอำนาจเข้าไปในเคหสถาน หรือสถานที่ใด ๆ เพื่อตรวจค้น รวมตลอดทั้งค้นบุคคลหรือยานพาหนะใด ๆ รวมทั้งยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่ค้นพบ

-กรณีมีความจำเป็นเพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่เป็นภัยต่อความมั่นคง ทหารมีอำนาจออกคำสั่งห้ามการเสนอข่าว จำหน่าย หรือแพร่หลายหนังสือ หรือสิ่งพิมพ์

- ทหารมีอำนาจเรียกตัวบุคคลมาสอบถามข้อมูล โดยสามารถควบคุมตัวได้ 7 วัน และห้ามควบคุมตัวที่สถานีตำรวจทัณฑสถาน หรือเรือนจำ

- ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของทหารต้องระวางโทษจำคุก
ไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

-ผู้ใดต่อสู้หรือขัดขวางทหารในการปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับ
ไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

-การชุมนุมทางการเมือง จำนวนตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

-ผู้ใดมีความผิดจากการชุมนุมทางการเมือง แต่สมัครใจเข้ารับการอบรมจากทหาร ไม่เกิน 7 วัน และทหารเห็นสมควรปล่อยตัว ให้ถือว่าคดีเลิก

- การกระทำตามคำสั่งนี้ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการ
ทางปกครอง และกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง

- ทหารที่กระทำการไปตามอำนาจหน้าที่ได้รับความคุ้มครองตาม ม.๑๗ แห่งพรก.ฉุกเฉิน
______________________________

แผนกอบโกยผลประโยชน์ที่จะเข้ามาในจังหวัดน่าน กลุ่มทุนอำมาตย์ครองธุรกิจประเทศไทยถึงกับไปสร้าง โรงงานอาหารฮัลลาลในพื้นที่จังหวัดน่านแล้ว มีการจัดเตรียมการนำคนของกลุ่ม กปปส.มุสลิมเข้าไปตั้งชุมชนเพื่อสร้างเมืองอย่างเร่งด่วนก่อนเปิดรับการโครงการไหลมาเทมาของธุรกิจอำมาตย์ ก่อนเปิดเป็นเขตเศรษฐกิจที่จะมากับถนนนสายหลักที่ตัดผ่านมาจากประเทศจีนเข้าไทย  ส่วนประชาชนชาวน่านเจ้าในพื้นที่ อำมาตย์ไม่เคยถามไถ่ กูจะเอาตามใจพวกกูทุกเรื่อง!!ชาวน่านจึงต้องรณรงค์ต่อต้านทุกรูปแบบ  ถ้าจะกดหัวเรา พวกเราก็จะเงยหน้าขึ้นสู้กับปัญหาที่กำลังสะสมไว้ให้ลูกหลายในอนาคตข้างหน้า
______________________________

ศึกชิงเก้าอี้ผบ.ทบ.มาผูกติดขาพลเอกประยุทธ์ไว้ก่อน เพื่อชิงการนำตั้งพลเอกปรีชา จันทร์โอชาขึ้นเป็น ผบ.ทบ.หลังพลเอกอุดมเดช สีตะบุตรอำลาเก้าอี้ หรือเกิดการเมืองสะดุดบิ๊กตู่จะใช้อำนาจเต็มของรัฐธรรมนูญชั่วคราว ม.44 ตั้งน้องชายตัวเองขึ้นเป็นผบ.ทบ.ได้ทันที ...ความในแตกเสียแล้วแหล่งข่าวร้อนผ่านมาทางคนใกล้ชิดของบิ๊กตู่เองกล่าวว่าแบบผยองการยึดอำนาจ ผบ.ทบ.มาอยู่ที่หัวหน้า คสช.ผ่านการใช้มาตรา 44 นั้นทำให้พลเอกประยุทธ์มีอำนาจเบ็ดเสร็จเต็มองค์รัฐาธิปัตย์ครอบคลุมการสั่งการทั่วราชอาณาจักรไทย มีเพียงเหตุผลส่วนตัวของสองพี่น้องสกุลจันทร์โอชาเท่านั้นที่ใช้เป็นเหตุจูงใจให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาฉกฉวยโอกาสนำมาตรา 44มาใช้ประโยชน์ในครอบครัว เพียงเพื่อการแต่งตั้งน้องชายขึ้นเป็น ผบ.ทบ.คนใหม่ในอีก 4-5 เดือน ข้างหน้า(เดือนกันยายนมีพล1 ตุลาคม 58)ให้ได้ นี่เป็นไปตามสันดานของพลเอกประยุทธ์ที่ไม่เคยนึกถึงชาติบ้านเมืองและประชาชนเลย ( ม. 44 ในรัฐธรรมนูญชั่วคราวมีเบื้องหลังได้ ดร.วิษณุ รองนายกฯชงให้ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว เพื่อสมประโยชน์กันทางอำนาจกับพลเอกประยุทธ์นั่นเอง)
______________________________

เปิดสถานที่ให้แดงชุมนุมหลายครั้ง คงจะถูกแก้เผ็ด                            
กระทรวงยุติธรรมนำเจ้าหน้าที่ลุยตรวจสอบโบนันซ่าเขาใหญ่ ของ ไพวงษ์ เตชะณรงค์  
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRReU9EQTRNRGt4TVE9PQ==&sectionid=
________________________________



Sunday, April 5, 2015

สหประชาชาติชี้มาตรา 44 ที่รัฐบาลไทยนำมาใช้เข้มงวดกว่ากฏอัยการศึก

สหประชาชาติชี้มาตรา 44 ที่รัฐบาลไทยนำมาใช้เข้มงวดกว่ากฏอัยการศึก

รับฟังเสียงจากรายงานของ VOA (Voice of America)
ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากรัฐบาลไทยยกเลิกกฏอัยการศึก และประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 มาตรา 44 แทน ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ Zeid Ra’ad Al Hussein ก็ได้มีแถลงการณ์ตำหนิรัฐบาลไทย โดยระบุว่าการยกเลิกกฏอัยการศึกครั้งนี้ยังไม่ใช่เรื่องน่ายินดี เพราะมาตรา 44 ที่นำใช้แทนนั้นมีความเข้มงวดกว่ากฏอัยการศึก และมีความคลุมเครือ อีกทั้งยังดูเหมือนเป็นการรวมศูนย์อำนาจไว้ทั้งหม

"คสช.​กำลังละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างรุนแรง" สุนัย จุลพงศธร 5 04 2015 รู้เขารู้เรา ภาคต่างประเทศ

รู้เขารู้เรา ภาคต่างประเทศ สุนัย จุลพงศธร 5 04 2015 "คสช.​กำลังละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างรุนแรง" สุนัย จุลพงศธร 5 04 2015 รู้เขารู้เรา ภาคต่างประเทศ

"คสช.​กำลังละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างรุนแรง" สุนัย จุลพงศธร 5 04 2015 รู้เขารู้เรา ภาคต่างประเทศ

รู้เขารู้เรา ภาคต่างประเทศ สุนัย จุลพงศธร 5 04 2015 "คสช.​กำลังละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างรุนแรง" สุนัย จุลพงศธร 5 04 2015 รู้เขารู้เรา ภาคต่างประเทศ

นักกฎหมายระหว่างประเทศ เตือน คสช.​ว่า "รัฐบาลสหรัฐ" ล็อคเป้าเล่นงานคณะเผด็จการไทย (มาระยะหนึ่งแล้ว)

นักกฎหมายระหว่างประเทศ เตือน คสช.​ว่า "รัฐบาลสหรัฐ" ล็อคเป้าเล่นงานคณะเผด็จการไทย (มาระยะหนึ่งแล้ว)
การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ (Secretary of State) ทำคำประกาศให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกประกาศในวันที่ ๔ สิงหาคม ปีค.ศ.๒๐๑๑ เมื่อนำมาวิพากษ์ท่านผู้อ่านเกิดความงุนงง จึงขอชี้แจงให้เห็นโดยแจ้งชัดด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้เรื่อง ที่ท่านผู้อ่านงง จะหายงง เมื่ออ่านข้อความต่อไปนี้: ............................ฯ ๑.ในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของ สหรัฐอเมริกา เป็นอำนาจ โดยเฉพาะของฝ่ายบริหาร (the Executive) ที่ฝ่ายนิติบัญญัติ (Legislatures) หรือ ฝ่ายตุลาการ (the Judiciary) ไม่อาจเข้าไปสอดแทรกใดๆได้ ในการที่ฝ่ายบริหาร ดำเนินนโยบายต่างประเทศในต่างประเทศ หรือต่อต่างประเทศ สหรัฐอเมริกาใช้หลักการปกครองประเทศในรูป แบบการแบ่งแยกอำนาจ (the Separation of Powers) โดยเคร่งครัด จะเห็นได้จากคำพิพากษาของศาล Supreme Court (ศาลรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา) ที่อธิบายถึงอำนาจของฝ่ายบริหาร ในการดำเนินนโยบายระหว่างประเทศ ที่ไม่ว่าฝ่ายใดในการบริหารประเทศ ที่เหลืออยู่จะเข้าไปสอดแทรกได้ ยกตัวอย่างเช่นคดี United States v. Pink..............................................................................................................ฯ ๒.ในการดำเนินนโยบายระหว่างประเทศ ในต่างประเทศ ฝ่ายบริหาร จะไปจัดตั้งหน่วยข่าวกรอง หรือหน่วยสืบราชการลับ ก็เพื่อประโยชน์ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาโดย รวม.....................................................................................................................ฯ
๓. เมื่อเกิดหน่วยข่าวกรอง และ หน่วยสืบราชการลับ ฝ่ายบริหาร ย่อมมีอำนาจโดยอิสระ ที่จะก่อตั้งหน่วยงานของตน มาตรวจสอบการทำงานของหน่วยสืบราชการลับ หรือ หน่วยข่าวกรอง และยิ่งมีหน่วยตรวจสอบมากเท่าใด? ความแม่นยำในการคาดการณ์ (Projection) ในสถานการณ์ ที่จะเกิดขึ้นในประเทศหนึ่งประเทศใด ย่อมมีความแม่นยำตามลำดับ ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง นายพลตรี Stevenson ก่อตั้งหน่วย SOS เป็นหน่วยงานต่อต้าน ระบบของฮิตเลอร์ และ จักรวรรดิ์นิยมญี่ปุ่น จนประสพผลสำเร็จ ท่านอาจไปหาความรู้นี้ได้จาก ยูทูป โดยการพิมพ์ชื่อหน่วยงาน SOS ลงไป...............................................................................................ฯ ๔. การที่รัฐมนตรีต่างประเทศ หรือ (รัฐมนตรีแม่บ้าน, Secretary of State) ขอออกคำประกาศนี้ในปีค.ศ.๒๐๑๑ นั่นคือ พุ่งเป้าเข้าหาประเทศไทย ที่มีที่ตั้งอยู่ใน Pacific Rims ที่อยู่กึ่งกลางโลก และ เป็นประเทศ ที่มียุทธศาสตร์ที่ตั้งในเชิงการเมือง (the Geographical & Political Strategic Location) ของโลก และ เป็นปีเดียวกัน กับที่ประเทศไทย ได้ให้สัตยาบันแก่ Convention Against Corruption, 2003 เมื่อเป็นดังนี้ แสดงว่าสหรัฐอเมริกา ได้ประเมินสถานการณ์ในประเทศไทย ไปเรียบร้อยแล้ว จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เมื่ออ่านความเห็นนี้แล้ว ท่านผู้อ่านคงจะเข้าใจ และ หายงง.

นักกฎหมายระหว่างประเทศ เตือน คสช.​ว่า "รัฐบาลสหรัฐ" ล็อคเป้าเล่นงานคณะเผด็จการไทย (มาระยะหนึ่งแล้ว)

นักกฎหมายระหว่างประเทศ เตือน คสช.​ว่า "รัฐบาลสหรัฐ" ล็อคเป้าเล่นงานคณะเผด็จการไทย (มาระยะหนึ่งแล้ว)
การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ (Secretary of State) ทำคำประกาศให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกประกาศในวันที่ ๔ สิงหาคม ปีค.ศ.๒๐๑๑ เมื่อนำมาวิพากษ์ท่านผู้อ่านเกิดความงุนงง จึงขอชี้แจงให้เห็นโดยแจ้งชัดด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้เรื่อง ที่ท่านผู้อ่านงง จะหายงง เมื่ออ่านข้อความต่อไปนี้: ............................ฯ ๑.ในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของ สหรัฐอเมริกา เป็นอำนาจ โดยเฉพาะของฝ่ายบริหาร (the Executive) ที่ฝ่ายนิติบัญญัติ (Legislatures) หรือ ฝ่ายตุลาการ (the Judiciary) ไม่อาจเข้าไปสอดแทรกใดๆได้ ในการที่ฝ่ายบริหาร ดำเนินนโยบายต่างประเทศในต่างประเทศ หรือต่อต่างประเทศ สหรัฐอเมริกาใช้หลักการปกครองประเทศในรูป แบบการแบ่งแยกอำนาจ (the Separation of Powers) โดยเคร่งครัด จะเห็นได้จากคำพิพากษาของศาล Supreme Court (ศาลรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา) ที่อธิบายถึงอำนาจของฝ่ายบริหาร ในการดำเนินนโยบายระหว่างประเทศ ที่ไม่ว่าฝ่ายใดในการบริหารประเทศ ที่เหลืออยู่จะเข้าไปสอดแทรกได้ ยกตัวอย่างเช่นคดี United States v. Pink..............................................................................................................ฯ ๒.ในการดำเนินนโยบายระหว่างประเทศ ในต่างประเทศ ฝ่ายบริหาร จะไปจัดตั้งหน่วยข่าวกรอง หรือหน่วยสืบราชการลับ ก็เพื่อประโยชน์ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาโดย รวม.....................................................................................................................ฯ
๓. เมื่อเกิดหน่วยข่าวกรอง และ หน่วยสืบราชการลับ ฝ่ายบริหาร ย่อมมีอำนาจโดยอิสระ ที่จะก่อตั้งหน่วยงานของตน มาตรวจสอบการทำงานของหน่วยสืบราชการลับ หรือ หน่วยข่าวกรอง และยิ่งมีหน่วยตรวจสอบมากเท่าใด? ความแม่นยำในการคาดการณ์ (Projection) ในสถานการณ์ ที่จะเกิดขึ้นในประเทศหนึ่งประเทศใด ย่อมมีความแม่นยำตามลำดับ ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง นายพลตรี Stevenson ก่อตั้งหน่วย SOS เป็นหน่วยงานต่อต้าน ระบบของฮิตเลอร์ และ จักรวรรดิ์นิยมญี่ปุ่น จนประสพผลสำเร็จ ท่านอาจไปหาความรู้นี้ได้จาก ยูทูป โดยการพิมพ์ชื่อหน่วยงาน SOS ลงไป...............................................................................................ฯ ๔. การที่รัฐมนตรีต่างประเทศ หรือ (รัฐมนตรีแม่บ้าน, Secretary of State) ขอออกคำประกาศนี้ในปีค.ศ.๒๐๑๑ นั่นคือ พุ่งเป้าเข้าหาประเทศไทย ที่มีที่ตั้งอยู่ใน Pacific Rims ที่อยู่กึ่งกลางโลก และ เป็นประเทศ ที่มียุทธศาสตร์ที่ตั้งในเชิงการเมือง (the Geographical & Political Strategic Location) ของโลก และ เป็นปีเดียวกัน กับที่ประเทศไทย ได้ให้สัตยาบันแก่ Convention Against Corruption, 2003 เมื่อเป็นดังนี้ แสดงว่าสหรัฐอเมริกา ได้ประเมินสถานการณ์ในประเทศไทย ไปเรียบร้อยแล้ว จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เมื่ออ่านความเห็นนี้แล้ว ท่านผู้อ่านคงจะเข้าใจ และ หายงง.

Saturday, April 4, 2015

รัฐประหาร ด้วยรถถังและลายมือกษัตริย์ ก่อให้เกิดรัฏฐาธิปัตย์ อย่างถูกกฎหมายสากล จริงหรือ?


รัฐประหาร ด้วยรถถังและลายมือกษัตริย์ ก่อให้เกิดรัฏฐาธิปัตย์ อย่างถูกกฎหมายสากล จริงหรือ?


By Ajaan Thanaboon Chiranuvat


เมื่อเกิดคำถามว่า การยึดอำนาจ และการรัฐประหาร ทำให้คณะบุคคลที่เข้าจับยึดกุมอำนาจรัฐที่ว่า กลายเป็นรัฏฐาธิปัตย์ หรือ Sovereignty หรือไม่? วิธีที่ถูกที่ควรต้องปฏิบัติในทางแก้ไขอย่างไร?
คุณ Donmuang นั่นเป็นความเข้าใจ ที่คลาดเคลื่อนต่อ ข้อกฏหมายของศาลไทยในอดีต ในวันนี้ เราไปลงนาม และ ให้สัตยาบันต่อ Convention Against Corruption, 2003 แล้วในวันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๔ หรือปีค.ศ.๒๐๑๑.......................................................ฯ


เมื่อประเทศไปก่อพันธกรณีในระหว่างประเทศ กับนานาชาติผูกพันตน เกิดเป็นภาระหน้าที่ๆต้องปฏิบัติตามสนธิสัญญานั้น คุณมาถามผมว่า ใครจะเป็นคนบังคับ คำตอบ ก็คือ ศาลโลก และองค์การสหประชาชาติไงเล่าครับ ขอยกตัวอย่างสนธิสัญญาว่าด้วยการป้องกัน และการลงโทษความผิดอาญาว่าด้วยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ปีค.ศ.๑๙๕๑ เมื่อมีการลงนามกันแล้ว และ ให้สัตยาบัน เพื่อการปฏิบัติแล้ว มีชาติคู่ภาคีสมาชิกชาติหนึ่ง หรือหลายชาติ ไปออกคำสงวนสิทธิ (Reservation) ที่จะเลี่ยง ไม่ปฏิบัติตามสนธิสัญญาในภายหลัง.......................................................................ฯ

""""
ฝรั่งเศสซึ่งเป็นหนึ่งในชาติคู่ภาคีสมาชิก นำเรื่องดังกล่าวนี้ ไปร้องเรียนในสมัชชาใหญ่ และ คณะมนตรีความมั่นคง ของสหประชาชาติ ในที่สุดเกิดการสอบสวน และนำไปให้ศาลโลกชี้ขาดในแผนก Advisory Opinion ศาลโลก ก็นำไปตีความชี้ขาด (เมื่อชี้ขาดแล้ว เกิดผลบังคับทันทีทั่วโลก) ศาลโลกชี้ขาดว่า "Reservation ของชาติคู่ภาคีใดๆ ที่ต้องการหลีกเลี่ยงจะไม่ปฏิบัติตามสนธิสัญญา Reservation เช่นว่านั้น ไม่มีผลบังคับต่อสนธิสัญญา" (ซึ่งคุณอาจไปศึกษาค้นคว้าเอาได้ด้วยตนเอง ผมคงไม่ต้องสอนคุณ โดยคุณเปิดไปหาคดีนี้ได้ในเว็ปไซด์ของศาลโลก)......................................ฯ


ทีนี้มาพิจารณาว่า "การทำการรัฐประหาร"ทำให้คณะผู้ทำการรัฐประหาร เป็นรัฏฐาธิปัตย์ หรือ Sovereignty "หรือไม่? คำตอบ คือ ไม่เป็นครับ เมื่อไม่เป็น เพราะเหตุใด? ไม่เป็นเพราะเรามี the Geneva Conventions, 1949 โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉบับที่ ๔ พร้อมบทบัญญัติที่ ๓ ร่วม ที่ประเทศนี้ ไปประกาศขอเข้าร่วม เป็นชาติคู่ภาคีสมาชิก และ ต้องให้สัตยาบัน ในวันที่ ๒๙ ธันวาคม ปีค.ศ.๑๙๕๔ หรือปีพ.ศ.๒๔๙๗ ขวางกั้นเอาไว้ คนไทย ยังมีความเข้าใจ ที่คลาดเคลื่อนต่อ the Geneva Conventions,1949 ที่คลาดเคลื่อนทั้งในข้อกฏหมายและข้อบัญญัติของสนธิสัญญาแบบผิดๆ แล้วไม่ศึกษา คิดว่าสนธิสัญญาบังคับเฉพาะพลเรือน ยกตัวอย่างเช่น ๑.บทบัญญัติที่ ๕๙ ของสนธิสัญญา บังคับฝ่ายที่เป็นทหารด้วย วัตถุประสงค์ของ the Geneva Conventions, 1949 ก็เพื่อช่วยมนุษย์ ที่กำลังอยู่ระหว่างภัยสงคราม และ การสู้รบในสนามรบ การประกาศใช้สนธิสัญญานี้ ก็เพื่อขจัดการปกครองทางทหารในแบบ NAZI เยอรมันที่โลกทั้งใบไม่ต้องการ คือสั่งคนทั้งประเทศ ให้ซ้ายหัน และขวาหัน ตามคนที่สั่ง ที่เราเรียกว่า "ใช้ Absolute Power" และมนุษยชาติ เพิ่งเผชิญภัยนั้นมา แบบสดๆร้อนๆ...ฯ

๒. เมื่อพัฒนาการทางกฏหมายของมนุษย์ และ พลวัตรในสังคมมนุษย์เจริญขึ้นเกิด Convention Against Corruption, 2003 ข้างต้น คำว่า Corruption Act ตามสนธิสัญญาฉบับนี้ ไม่หมายเฉพาะ การกระทำการ ลัก วิ่ง ชิง ปล้น ฉ้อโกง ยักยอก รับของโจร เพื่อเอาทรัพย์ หรือ การฟอกเงิน การกระทำใดๆ ที่ขัดขวางต่อกระบวนการยุติธรรมอย่างเดียว แต่ยังหมายถึง การกระทำใดๆที่เป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ เพื่อประโยชน์ตน (Abused of Powers for Private Gains) และประโยชน์เช่นนี้ไม่ต้องเป็นเงินเป็นทองก็ได้ เช่น ได้รับความพึงพอใจส่วนตนของผู้ปฏิบัติฯลฯ เป็นต้น ก็เป็น Corruption Act แล้วครับ......................................................................................................................ฯ


๓. เมื่อเป็นไปตามข้อกฏหมายดังที่ว่ามา การกระทำการยึดอำนาจ และ การรัฐประหาร เป็นการกระทำ ที่เข้าองค์ประกอบของคำว่า " Corruption" หรือไม่ ? ถ้าใช่ไทยมีพันธกรณีที่ต้องปฏิบัติตามสนธิสัญญานี้ หรือไม่? ถ้ามีพันธกรณีที่ไทย ต้องปฏิบัติ ประชาชนในชาติ ที่ได้รับความเดือดร้อน เขา ย่อมเกิดสิทธิ ที่จะไปร้องขอให้สหประชาชาติ ให้ต้องดำเนินการในการทำการสอบสวน ในเรื่องที่ร้องทุกข์มา แล้วส่งเรื่อง ที่ประมวลได้มาทั้งหมดไปยังศาลโลก เพื่อการตีความได้หรือไม่? โดยยกคดีของประเทศฝรั่งเศสข้างต้น ที่บรรยายมา เป็นคดีตัวอย่าง ในการร้องขอต่อองค์การสหประชาชาติ ............................................................................................................ฯ

นี่จึงเป็นการตอบคำถามในใจ ของคน ที่ยังมีความคลางแคลงสงสัยในเรื่องดังกล่าว ที่คุณยกมาถามผม เมื่อผมให้คำตอบแก่คุณ อย่างสิ้นสงสัยแล้วใช่ไหม? ครับ เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้.





Friday, April 3, 2015

ม.44 เหมือน"ปิดประเทศ"สถาปนารัฐเผด็จการ (เครดิต จอม เพชรประดับ + นรินท์พงษ์ จินาภักดิ์)




Published on Apr 3, 2015

นายนรินท์พงษ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ Thaivoicmedia กรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยกเลิกการบังคับใช้กฎอัยการศึกและประกาศใช­้ ม.44 ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ว่า ม.44 ทำให้่เจ้าหน้าที่รัฐมีอำนาจกว้างขวางมากย­ิ่งขึ้นในการดำเนินการกับประชาชนที่สงสัยว­่ามีพฤติการณ์ที่เป็นภัยมั่นคงต่อรัฐ ทั้งการจับกุม ตรวจค้น แต่จะเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือ สร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชนมากน้อยแค่­ไหนนัี้นขึ้นอยู่กับ การปฎิบัติของเจ้าหน้าที่ทหารเป็นหลัก และการยังคงให้ พลเรือนขึ้นศาลทหาร อยู่ต่อไป แต่เพิ่มกระบวนการให้ พลเรือนสามารถที่จะอุทรณ์ ฏีกาได้ ก็ทำให้ผู้ต้องหาได้รับความเป็นธรรมระดับห­นึ่งได้ แต่ห่วงว่าทหาร หรือบุคคลที่มาเป็นตุลาการในศาลทหารซึ่งไม­่ได้มาจากกระบวนการทางศาล ไม่จบเนติบัณฑิตมาก่อน จะเข้าใจกระบวนการสร้างความยุติธรรมได้มาก­น้อยแค่ไหน ดังนั้น การใช้ม.44 ที่นายกรัฐมนตรีสามารถใช้อำนาจได้เต็มทั้ง­สามอำนาจนั้น สร้างความเป็นกังวลให้กับนานาประเทศที่เห็­นว่าจะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นเผด็จการที่ส­มบูรณ์มากขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูการปฎิบัติว่าจะเป็นอย่­างนั้นจริงหรือไม่




ม.44 เหมือน"ปิดประเทศ"สถาปนารัฐเผด็จการ (เครดิต จอม เพชรประดับ + นรินท์พงษ์ จินาภักดิ์)

Thursday, April 2, 2015

ความชั่วร้าย ของมาตรา 44 ที่ภูมิพลและทหารของเขางัดมาใช้กับคนไทย

ความชั่วร้าย ของมาตรา 44 ที่ภูมิพลและทหารของเขางัดมาใช้กับคนไทย มาตรา 44 ให้ทหารของเครือข่ายภูมิพล ทำอะไรได้บ้าง?


คำสั่ง คสช.3/2558 ให้นายทหารชั้นสัญญาบัตร เป็น “เจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย" สรุปภาพรวมเบื้องต้นดังนี้


-มีอำนาจดำเนินการป้องกันปราบปราบความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการฯ ตาม ม. ๑๐๗ ถึงม. ๑๑๒ ตาม ป.อาญา
-มีอำนาจดำเนินการป้องกันปราบปราบความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร ตามมาตรา ๑๑๓ ถึงมาตรา ๑๑๘ แห่งประมวลกฎหมายอาญา

-มีอำนาจดำเนินการป้องกันปราบปราบความผิดตามกฎหมายว่าด้วยอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน

-มีอำนาจดำเนินการป้องกันปราบปราบความผิดอันเป็นการฝ่าฝืนประกาศหรือคำสั่ง คสช. หรือคำสั่งหัวหน้า คสช.

-มีอำนาจออกคำสั่งเรียกให้บุคคลมารายงาน ตัวจับกุมตัวบุคคลที่กระทำความผิดซึ่งหน้า และควบคุมตัวผู้ถูกจับนำส่งตำรวจ

-มีอำนาจช่วยเหลือ สนับสนุน หรือเข้าร่วมในการสอบสวนกับตำรวจ ในการเข้าร่วมให้ถือว่าทหารเป็นพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

- มีอำนาจเข้าไปในเคหสถาน หรือสถานที่ใด ๆ เพื่อตรวจค้น รวมตลอดทั้งค้นบุคคลหรือยานพาหนะใด ๆ รวมทั้งยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่ค้นพบ

-กรณีมีความจำเป็นเพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่เป็นภัยต่อความมั่นคง ทหารมีอำนาจออกคำสั่งห้ามการเสนอข่าว จำหน่าย หรือแพร่หลายหนังสือ หรือสิ่งพิมพ์

- ทหารมีอำนาจเรียกตัวบุคคลมาสอบถามข้อมูล โดยสามารถควบคุมตัวได้ 7 วัน และห้ามควบคุมตัวที่สถานีตำรวจทัณฑสถาน หรือเรือนจำ

- ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของทหารต้องระวางโทษจำคุก
ไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
-ผู้ใดต่อสู้หรือขัดขวางทหารในการปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับ
ไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
-การชุมนุมทางการเมือง จำนวนตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
-ผู้ใดมีความผิดจากการชุมนุมทางการเมือง แต่สมัครใจเข้ารับการอบรมจากทหาร ไม่เกิน 7 วัน และทหารเห็นสมควรปล่อยตัว ให้ถือว่าคดีเลิก
- การกระทำตามคำสั่งนี้ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการท
างปกครอง และกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
- ทหารที่กระทำการไปตามอำนาจหน้าที่ได้รับความคุ้มครองตาม ม.๑๗ แห่งพรก.ฉุกเฉิน


โปรดอ่านซ้ำ แล้วสรุปให้ได้ว่า เผด็จการสมบูรณาญาสิทธิราชย์ใหม่ แปลงร่างได้เนียนขนาดไหนก็ไม่รอดพ้นสายตาชาวไทยและชาวโลกได้อีกต่อไป

-มีอำนาจดำเนินการป้องกันปราบปราบความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการฯ ตาม ม. ๑๐๗ ถึงม. ๑๑๒ ตาม ป.อาญา
-มีอำนาจดำเนินการป้องกันปราบปราบความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร ตามมาตรา ๑๑๓ ถึงมาตรา ๑๑๘ แห่งประมวลกฎหมายอาญา
-มีอำนาจดำเนินการป้องกันปราบปราบความผิดตามกฎหมายว่าด้วยอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน
-มีอำนาจดำเนินการป้องกันปราบปราบความผิดอันเป็นการฝ่าฝืนประกาศหรือคำสั่ง คสช. หรือคำสั่งหัวหน้า คสช.
-มีอำนาจออกคำสั่งเรียกให้บุคคลมารายงาน ตัวจับกุมตัวบุคคลที่กระทำความผิดซึ่งหน้า และควบคุมตัวผู้ถูกจับนำส่งตำรวจ
-มีอำนาจช่วยเหลือ สนับสนุน หรือเข้าร่วมในการสอบสวนกับตำรวจ ในการเข้าร่วมให้ถือว่าทหารเป็นพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
- มีอำนาจเข้าไปในเคหสถาน หรือสถานที่ใด ๆ เพื่อตรวจค้น รวมตลอดทั้งค้นบุคคลหรือยานพาหนะใด ๆ รวมทั้งยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่ค้นพบ
-กรณีมีความจำเป็นเพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่เป็นภัยต่อความมั่นคง ทหารมีอำนาจออกคำสั่งห้ามการเสนอข่าว จำหน่าย หรือแพร่หลายหนังสือ หรือสิ่งพิมพ์
- ทหารมีอำนาจเรียกตัวบุคคลมาสอบถามข้อมูล โดยสามารถควบคุมตัวได้ 7 วัน และห้ามควบคุมตัวที่สถานีตำรวจทัณฑสถาน หรือเรือนจำ
- ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของทหารต้องระวางโทษจำคุก
ไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
-ผู้ใดต่อสู้หรือขัดขวางทหารในการปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
-การชุมนุมทางการเมือง จำนวนตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
-ผู้ใดมีความผิดจากการชุมนุมทางการเมือง แต่สมัครใจเข้ารับการอบรมจากทหาร ไม่เกิน 7 วัน และทหารเห็นสมควรปล่อยตัว ให้ถือว่าคดีเลิก
- การกระทำตามคำสั่งนี้ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการ
ทางปกครอง และกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
- ทหารที่กระทำการไปตามอำนาจหน้าที่ได้รับความคุ้มครองตาม ม.๑๗ แห่งพรก.ฉุกเฉิน



แอมเนสตี้ฯ วิพากษ์คำตัดสิน 'ไม่ปกติ' จำคุก 25 ปีคดี 112


แอมเนสตี้ฯ วิพากษ์คำตัดสิน 'ไม่ปกติ' จำคุก 25 ปีคดี 112

Thu, 2015-04-02 17:42

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล วิพากษ์การตัดสินลงโทษและสั่งจำคุกนักธุรกิจไทย 25 ปี ฐานวิจารณ์ราชวงศ์ผ่านเฟซบุ๊ก เป็นคำตัดสินที่ไม่ปรกติ ชี้ไทยจำเป็นต้องแก้ไข กม.หมิ่นที่ล้าสมัย

2 เม.ย. 2558 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 31 มี.ค. เรื่อง "บทลงโทษจำคุก 25 ปีที่ไม่ปรกติสำหรับการวิจารณ์ราชวงศ์ ท่ามกลางแผนการยกเลิกกฎอัยการศึก"
     
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลระบุว่า การตัดสินลงโทษและสั่งจำคุกนักธุรกิจไทยในเช้าวันที่ 31 มีนาคม 2558 เป็นเวลา 25 ปี ฐานการวิพากษ์วิจารณ์ราชวงศ์ผ่านข้อความในเฟซบุ๊ก เป็นคำตัดสินที่ไม่ปรกติ และแสดงให้เห็นความจำเป็นเร่งด่วนที่ประเทศไทยต้องแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่ล้าสมัย
     
ศาลทหารของไทยมีความเห็นว่า นายเธียรสุธรรม (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 58 ปี มีความผิดห้ากระทงฐานโพสต์ข้อความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงพฤศจิกายน 2557
     
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลชี้ว่า ในวันเดียวกับที่มีการตัดสินคดีนี้ นายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชามีคำขอพระบรมราชโองการเพื่อประกาศยกเลิกกฎอัยการศึก รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวมอบอำนาจที่ปราศจากการตรวจสอบให้นายกรัฐมนตรีที่จะประกาศใช้กฎหมายใหม่แทนกฎอัยการศึก โดยอ้างว่าเพื่อรักษาความมั่นคงของชาติ
     
นับแต่มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกในไทยเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2557 ประชาชนหลายร้อยคนได้ถูกควบคุมตัวโดยพลการ และอีกหลายสิบคนต้องเข้ารับการไต่สวนในศาลทหาร เนื่องจากใช้สิทธิการชุมนุมและการแสดงออกอย่างสงบ
     
รูเพิร์ต แอ็บบอตต์ (Rupert Abbott) รองผู้อำนวยการงานวิจัยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเปิดเผยว่า การยกเลิกกฎอัยการศึกจะไม่ช่วยให้สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในไทยดีขึ้น หากมีการนำกฎหมายที่กดขี่ปราบปรามฉบับนี้มาใช้ แทนที่จะทำเช่นนั้น รัฐบาลไทยควรฟื้นฟูหลักนิติธรรมและการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งได้ถูกทำลายไปอย่างสิ้นเชิงเนื่องจากรัฐประหารเมื่อปี 2557
     
“การตัดสินลงโทษนายเธียรสุธรรมครั้งนี้ เป็นหนึ่งในบทลงโทษรุนแรงที่สุดที่ทางเราได้เห็นมา แสดงถึงสัญญาณที่น่ากังวลว่าทางการไทยมุ่งปราบปรามบุคคลที่แสดงความเห็นต่าง”
     
“เป็นเรื่องน่าเศร้าใจที่ในศตวรรษที่ 21 นี้ยังมีการคุมขังบุคคลเป็นเวลาหลายทศวรรษเพียงเพราะการวิจารณ์สถาบันกษัตริย์ การแสดงความเห็นอย่างสงบไม่ใช่อาชญากรรม นายเธียรสุธรรมต้องได้รับการปล่อยตัวทันที และต้องมีการยกเลิกหรือแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เพื่อให้สอดคล้องกับพันธกรณีสิทธิมนุษยชนของไทย”
     
ศาลทหารตัดสินลงโทษจำคุกนายเธียรสุธรรม 50 ปี แต่ลดโทษลงกึ่งหนึ่งเนื่องจากรับสารภาพผิด เขาไม่มีสิทธิอุทธรณ์คดีนี้
     
ทั้งนี้ แถลงการณ์ระบุด้วยว่า นักธุรกิจคนดังกล่าวได้ถูกทหารควบคุมตัวเป็นเวลาห้าวันโดยไม่มีการตั้งข้อหา แต่เป็นการอ้างอำนาจตามกฎอัยการศึก เขาถูกเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัวโดยพลการและสอบปากคำจนกระทั่งเขายอมรับสารภาพต่อความผิดตามข้อกล่าวหา ในระหว่างนั้นเขาไม่ได้รับอนุญาตให้พบกับทนายความหรือครอบครัว
     
ในวันที่ 22 ธันวาคม 2557 นายเธียรสุธรรมถูกตั้งข้อหาอย่างเป็นทางการว่าละเมิดมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา (กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ) โดยถูกนำตัวไปควบคุมที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และถูกคัดค้านการประกันตัว


อายแทน!!! ประยุทธ์ โพล่ง I know everything! รีบอวดรู้ แต่ฟังคำถามภาษาอังกฤษฝรั่งไม่ค่อยออก และอ่อนศัพท์ภาษาอังกฤษ (น่าจะระดับ ม.3)

ไม่มีประชาธิปไตยตรงไหน ?

Speak English again 'พลเอกประยุทธ์' ตอบนักข่าวต่างชาติ จากสำนักข่าว ABC Newsชมคลิปย้อนหลังรายการ Wake Up Thailand วันนี้ (1 เม.ย.58) ได้ที่shows.voicetv.co.th/wakeup-thailand/186771.html#WakeUpTH #VoiceTV21

Posted by Voice TV on Wednesday, April 1, 2015
อายแทน!!! ประยุทธ์ โพล่ง I know everything! รีบอวดรู้ แต่ฟังคำถามภาษาอังกฤษฝรั่งไม่ค่อยออก และอ่อนศัพท์ภาษาอังกฤษ (น่าจะระดับ ม.3)

ประยุทธ์ สั่งล้มพิพิธภัณฑ์วิทย์ฯ ของเชียงใหม่และแพร่ ย้ายไปปทุมธานี มีนอกมีในเช่นไร?

_______________________________




ผมขอยกข่าวนี้มาเป็นประเด็น ชวนคิดชวนคุยนะครับ ว่าทำไมโจรกบฎที่ยึดอำนาจประชาชนไปครอง โดยวิถีทางเผด็จการ โดยอ้างว่าจะมาดูแลความสงบเพื่อวางกรอบปฏิรูปประเทศ  แต่วันนี้กลับเสือกทำทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับงบประมาณมหาศาล และส่วนที่ทำให้ประโยชน์ตกอยู่กับกลุ่มที่สนับสนุนและบงการการรัฐประหาร และการแช่แข็งประเทศ เพื่อกระชับระบอบราชาธิปไตย

ท่านลองไปสืบดูสิครับ ว่า ที่จะไปตั้งแถว ๆ ปทุมธานีนั้น ใครได้ประโยชน์!!!
ส่วนการยึดเอาสิ่งที่ชาวภาคเหนือ ลูกหลานคนแถวนั้นที่จะได้ลืมหูลืมตา สัมผัสกับสิ่งที่ก้าวหน้าต่าง ๆ ไปเสียนั้น มีเหตุทางการเมือง หรือเป็นใบสั่งจากใคร ลองนึกดูนะครับ 

ฤาประเทศไทย ต้องแยกกันอยู่ซะแล้ว!!?









ประยุทธ์ สั่งล้มพิพิธภัณฑ์วิทย์ฯ ของเชียงใหม่และแพร่ ย้ายไปปทุมธานี มีนอกมีในเช่นไร?

Wednesday, April 1, 2015

"แล้วใครให้อำนาจที่พวกเอ็งอ้าง ไอ้ประยุทธ์ จันทร์โอชา และไอ้เปรตตาเดียว?????????"


มีมิตรท่านหนึ่งฝากรูปนี้มาให้ พร้อมกับคำบรรยายภาพ ขอให้เผยแพร่แทนด้วย เพราะท่านอยู่เมืองไทย...

ขอสนองท่านด้วยน้ำใจ และเห็นด้วยครับ เครดิตภาพ จากประชาไท ครับ


"แล้วใครให้อำนาจที่พวกเอ็งอ้าง ไอ้ประยุทธ์ จันทร์โอชา และไอ้เปรตตาเดียว?????????"











"แล้วใครให้อำนาจที่พวกเอ็งอ้าง ไอ้ประยุทธ์ จันทร์โอชา และไอ้เปรตตาเดียว?????????"